xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ” ชี้รัฐตำรวจเกิดแล้ว! ประเดิมจับ “สมเกียรติ” สังเวยนายใหญ่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พิภพ” จวกตำรวจเลือกปฏิบัติ ดอดเร่งขอออกหมายจับ “สมเกียรติ” อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ตั้งคดีไม่มีมูลและใช้เวลาดำเนินการเพียง 5 วัน ขณะที่สำนวนคดี “เพ็ญ” จาบจ้วงชัดเจน กลับปล่อยลอยนวลเป็นเดือนๆ ชี้สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุค “รัฐตำรวจ” หวั่นประชาชนถูกกดขี่ด้วยความอยุติธรรมทางกฎหมาย ย้ำแผนล้ม รธน.50 เข้าขั้นรุนแรง เชื่อ “แม้ว” เตรียมหักดิบ ลดอำนาจองค์กรอิสระและตุลาการ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย 

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.เวลา 23.16 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ฟ้องหมิ่นประมาทแกนนำพันธมิตรฯ โดยกล่าวหาว่าแถลงการณ์พันธมิตรฯประมาณ 5 ฉบับแรก ก่อนมาเปิดเวที โดยไปฟ้องที่ชัยภูมิและฉะเชิงเทรา ทั้งที่เราพูดที่กรุงเทพฯ คิดว่าต่อไปกฎหมายนี้จะต้องมีการแก้ไข มิฉะนั้นก็อ้างว่าได้ยินเราที่โน่นที่นี่ แล้วก็ฟ้องที่โน่นที่นี่

นายพิภพ กล่าวว่า เรื่องรัฐตำรวจคิดว่าตอนนี้รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ได้ยึด สตช.ทำตัวเป็นรัฐตำรวจขึ้นมาแล้ว เดิมทีนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ ว่าแกนนำพันธมิตรฯพูดเวอร์เกินไป เพราะรัฐตำรวจเกิดขึ้นในสมัยพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มาวันนี้เห็นได้ว่ารัฐบาลพลังประชาชนได้ทำให้ตำรวจเป็นรัฐตำรวจในการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างชัดเจนเลย

“อย่างกรณีคดีของนายสมเกียรติเทียบกับคดีของจักรภพ ที่พูดประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหมิ่นเบื้องสูงใดๆเลย และไม่ได้ระบุชัดว่าพูดถึงโรงเรียนใด กลับหาว่าหมิ่นเบื้องสูง ขณะที่จักรภพ เพ็ญแข ที่เราอ่านคำสัมภาษณ์มีการหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นเบื้องสูงแทบทุกย่อหน้าเลย แต่กรณีคุณจักรภพกลับแจ้งให้มารายงานตัวเท่านั้น” นายพิภพ กล่าว

นายพิภพ กล่าวต่อว่า 1สัปดาห์หลังจากนั้นจักรภพไปรายงานตัวแล้วจึงสอบสวน ทั้งที่แจ้งข้อกล่าวหาเป็นเดือนกว่าจะดำเนินการสอบสวนว่ามีมูลหรือไม่ จนป่านนี้ยังไปไม่ถึงไหน แต่ของนายสมเกียรติ มีคำสั่งทันที ตามคำสั่งของกองบัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อวันที่ 10 ก.ค.51 แล้ววันที่ 15 ก.ค.51 ก็ให้มีการสรุปสำนวน แล้ววันนี้ ก็ขอศาลออกหมายจับเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค ใช่หรือเปล่า กับคนของรัฐบาลใช้อีกแบบหนึ่ง กับแกนนำพันธมิตรฯใช้อีกแบบหนนึ่ง

นายพิภพ กล่ากอีกว่า คดีนี้เป็นคดีที่พิสูจน์ว่าตำรวจรับใช้นักการเมือง ใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค กรณีนายจักรภพก็ไม่ได้ออกหมายจับด้วย แจ้งให้มารายงานตัวเท่านั้น แต่สำหรับนายสมเกียรติ มีศักดิ์และมีศรีมากกว่าจักรภพ เพ็ญแข เป็นครูบาอาจารย์มานาน เขียนคอลัมน์มาหลายปี แล้วยังได้รับเลือกเป็น ส.ส.แล้วก็ยังเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเมืองแบบใหม่ ที่ ส.ส.ไม่ควรทำหน้าที่แต่ในสภาฯ เมื่อประชาชนเดือดร้อนต้องมาร่วมชุมนุมกับประชาชนอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าการเมืองใหม่ มิฉะนั้นจะเอาอะไรไปพูดในสภาเพื่อแก้กฎหมายหรือกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน ส.ส.เวลาหาเสียงไปถึงบ้านเขาเลย แต่พอประชาชนเดือดร้อน ส.ส.หายหน้าไปเลย ฉะนั้น ส.ส.ในการเมืองใหม่จะต้องมีบทบาททั้งในและนอกสภา ใกล้ชิดกับปัญหาประชาชน

“นี่เปรียบเทียบระหว่างคดีนายจักรภพ กับอาจารย์สมเกียรติ ว่าตำรวจเลือกปฏิบัติ ถ้าฟ้องได้ก็ฟ้องตำรวจสักทีดีไหม นี่ขนาดคนมีชื่อเสียง มีประชาชนสนับสนุนมากมายเรือนแสนเรือนล้าน อย่างอาจารย์สมเกียรติยังถูกเลือกปฏิบัติ นึกถึงประชาชนในชนบทเถอะจะถูกเลือกปฏิบัติขนาดไหน ฉะนั้นเราสู้เรื่องการปฏิบัติเสมอภาคไม่ใช่สู้เพื่ออาจารย์สมเกียรติ แต่สู้เพื่อให้มาตรฐานทางด้านกระบวนการยุติธรรมได้มาตรฐานเสียทีให้สมกับที่บอกว่าจะเป็นนิติรัฐ แต่วันนี้รัฐบาลกำลังทำลายระบบนิติรัฐ” นายพิภพ กล่าว

นอกจากนั้น นายพิภพยังกล่าวถึงบทบาทของกองทัพกับการเมือง โดยระบุว่า วันนี้สังคมให้ความสนใจมากว่าในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่กำลังกระเตาะกระแตะแบบไทย ควรหรือไม่ที่จะกำหนดบทบาทของทหารกับการเมืองให้เหมาะสมกับการพัฒนาประชาธิปไตยขของบ้านเมืองเรา อย่าไปดูแบบสหรัฐหรืออังกฤษที่ผ่านการพัฒนาประชาธิปไตยมานานจนไม่เป็นรัฐบาลไม่ได้เป็นเผด็จการรัฐสภา เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย พรรคการเมืองในยุโรปและสหรัฐก็เป็นพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่มีผู้นำพรรคการเมืองแล้วก็ชี้เป็นชี้ตายส.ส.ในพรรค

นายพิภพ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นเวลาเปรียบเทียบอย่างนี้นักวิชาการมักจะบอกว่า ในการเมืองแบบสหรัฐหรืออังกฤษ ทหารไม่มีทางที่จะมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ตรงข้ามกับรัฐบาล ใช่ เพราะเขาเป็นประชาธิปไตย สภา รัฐบาล และพรรคการเมือง ประชาชน ก็เป็นประชาธิปไตยอยากมีส่วนรว่มทางการเมือง ขาถึงแบ่งอำนาจหน้าที่ไว้ชัดเจนได้ แต่ของเรามีแต่รัฐบาลเผด็จการรัฐสภา การซื้อสิทธิ์ขายเสียงก็รุนแรงมาก รัฐบาลก็มีพรรคการเมืองที่อยู่หลังรัฐบาลก็เป็นเผด็จการ ฉะนั้นการต่อสู้ของเราก็จะซับซ้อนมาก ตั้งแต่การต่อสู้กับความเป็นประชาธิปไตยของนักการเมือง จริยธรรมของนักการเมือง ฯลฯ ในสหรัฐและยุโรปเขาสามารถคานอำนาจกันได้ และเมื่อนักการเมืองทำผิดตุลาการสามารถลงโทษนักการเมืองที่ทำผิดได้

นายพิภพ กล่าวอีกว่า ฉะนั้น ในสภาวะการเมืองที่แตกต่างกัน การที่จะเปลี่ยนระบบเผด็จการรัฐสภาให้มาเป็นประชาธิปไตย ต้องใช้ความสามารถศักยภาพของทุกหมู่เหล่า ประชาชนทุกชนชั้น จะต้องออกมาร่วมกันที่จะกำกับไม่ให้สภาและฝ่ายบริหารเป็นเผด็จการ อำนาจตุลาการก็จะต้องถูกรื้อฟื้นตามแนวพระราชดำรัส ให้เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศตามที่กฎหมายรองรับ แต่วันนี้เมื่อตุลาการเริ่มออกมาตัดสินคดีที่นักการเมืองทำผิด ฝ่ายการเมืองกลับบอกว่า ตุลาการกำลังก้าวก่ายอำนาจบริหาร ถามหน่อยว่า ถ้าตุลาการจะนำคดีเข้าไปสู่การพิพากาษตัดสินคดีได้ ต้องมีสาเหตุเป็นคดีก่อน อยู่ๆดีตุลาการจะมาตั้งคดีเองได้ยังไง ไม่ได้ก้าวก่ายกัน ถ้านักการเมืองว่าก้าวก่ายเพราะนักการเมืองทำผิด ทุจริตคอรัปชั่น ซื้อสิทธิขายเสียง

นายพิภพ กล่าวด้วยว่า การแก้รัฐธรรมนูญเรื่ององค์กรอิสระ เชื่อว่า เขาจะแก้ให้โดยเพิ่มจำนวน และใช้วิธีสรรหาใหม่ กลับไปใช้แบบรัฐธรรมนูญปี40 ที่ทำให้การเมืองแทรกแซงองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็จะทำให้คดีความต่างๆที่กำลังเข้าสู่ศาล ไม่สามารถดำเนินคดีอย่างยุติธรรมได้

“การแก้รัฐธรรมนุญเที่ยวนี้ ทักษิณต้องหักดิบ เพราะกำลังจนตรอกเรื่องคดีความต่างๆ เพราะถ้าเขาไม่ทำครั้งนี้ ก็อาจนำเขาเข้าสู่ศาลได้ และอาจทำให้เขาติดคุก เมื่อแก้รัฐธรรมนูญได้เรียบร้อย ก็จะออกพรบ.นิรโทษกรรม 111 คนไทยรักไทยเดิม และคดีที่ถูกตัดสินโทษไปแล้ว รวมทั้งเอาคดีความต่างๆออกจากระบบกระบวนการยุติธรรม นี่คือเส้นทางของคุณทักษิณที่คุณสมัครรับปากว่าจะทำให้ การเมืองก็จะกลับไปสู่รัฐธรรมนูญ40 และเหตุการณ์บ้านเมืองตอนไทยรักไทยเป็นรัฐบาล” นายพิภพ กล่าว

นอกจากนั้น นายพิภพ ยังกล่าวย้ำด้วยว่า การแก้รัฐธรรมนูญตามที่นายสมัคร ได้ระบุไว้ล่าสุด จะเป็นเรื่องที่หักดิบและรุนแรงกว่าครั้งแรกที่เคยบอกว่าจะแก้เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลใหม่ๆ ส่วนที่ อ้างว่ารัฐมนตรีรู้สึกเสียเกียรติที่ไม่สามารถลงนามได้ใน เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 190 บังคับไว้ ถามหน่อยว่า รัฐบาลประเทศอื่นเขาก็มีข้อกำหนด ประเทศอื่นเขาก็ไม่รู้เสียหน้าเลย เพราะเขาอยู่ในประชาธิปไตย และไม่ให้ผู้นำตัดสินเรื่องใหญ่ๆเพียงคนเดียว แต่เนื่องจากประเทศเราเป็นเผด็จการประชาธิปไตย รัฐบาลจึงไม่พร้อมที่จะให้รัฐสภาตรวจสอบ อันนี้ล่ะ ที่อยากจะชี้ให้เห็นว่าการแก้มาตรา 190 จะทำให้เป็นเผด็จการรัฐสภามากขึ้น

ทั้งนี้ นายพิภพ ได้อ่านบทนำเรื่อง กองทัพกับการเมือง ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก พร้อมกับระบุว่า วันนี้หนังสือพิมพ์เริ่มพูดถึงมากขึ้นถึงบทบาทของทหารเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม นายพิภพชื่นชมจุดยืนพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่ผบ.ทบ.ระบุว่าจะพาชาติพ้นวิกฤตได้ รวมทั้งจุดยืนของพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. ที่เรียกได้ว่าเป็นบทบาทของทหารกับประชาธิปไตยร่วมกับประชาชน เป็นทิศทางที่ทหารควรจะแสดงออกเพราะเขาก็เป็นประชาชน

“ขอชื่นชมและหวังว่าท่านจะมีจุดยืนอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง เกี่ยวกับการทำไม่ถูกต้องของรัฐบาล โดยท่านไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลจะรังแกท่านได้ เพราะถ้าท่านทำถูกต้อง ประชาชนเป็นล้านจะรักษาท่าน เราจะขับไล่รัฐบาลพลังประชาชน” นายพิภพ กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น