“หมัก” ส่ง “สหัส” เป็นตัวแทนบัวแก้ว ลงนามกับสมาชิกอาเซียน ด้าน “อธิบดีอาเซียน” ยันเอกสาร 5 ฉบับ ที่ต้องลงนาม ไม่ขัด ม.190 (2) แต่ถ้าผู้รู้เห็นว่าขัดก็พร้อมหยุด อ้างเรื่องเขมรโดนหนักพอแล้ว ตอนนี้จำเป็นต้องเดินหน้า เพื่อกู้เกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ประเทศกลับมา โวย ม.190 วางกรอบไว้กว้าง ทำคู่เจรจาเห็นไพ่ในมือ
วันนี้ (16 ก.ค.) นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเตรียมการเดินทางร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายหลังได้รับมอบหมายจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้เป็นตัวแทน รมว.ต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมแทนว่า นายสหัส จะเดินทางไปในวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการเป็นประธานอาเซียนของไทยหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ต้องแยกภาพระหว่างการเมืองภายในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ คิดว่าในแง่ความสัมพันธ์อาเซียนไม่มีผลกระทบอะไร เราพร้อมรับตำแหน่งประธานอาเซียน เรามียุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ อยู่แล้ว และหลังจากวันที่ 24 ก.ค.ที่เราได้รับการแต่งตั้ง ไปจนถึงปลายปีหน้า ไทยจะเป็นประธานการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนถึง 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 15-18 ธ.ค.2551 และครั้งที่ 2 ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.2552 และจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในเดือน เม.ย.2552 ด้านการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ด้านความมั่นคง การรักษาความปลอดภัยได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 15-18 ธ.ค.นี้ ซึ่งกฎบัตรอาเซียนมีผลในทางปฏิบัติในประเทศไทย ซึ่ง 41 ปีที่แล้ว นายถนัด คอมันตร์ เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา
เมื่อถามว่า นายสหัส มีความกังวล หรือบ่นเสียวเรื่องใดหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า จริงๆ แล้ว นายสหัส มีความพร้อมพอสมควร
“ท่านไม่บ่นอะไร เพราะท่านมีประสบการณ์ในเวทีต่างประเทศมาเยอะ ซึ่งล่าสุด ท่านเพิ่งกลับจาก เวทีเอฟเอโอ ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี และก่อนหน้านี้ ก็เดินทางมาเยอะ แต่ท่าจะเสียวเรื่องอะไรหรือไม่ ผมตอบแทนท่านไม่ได้ ที่แน่ๆ เมื่อวานนี้ ครม.ก็เสียวกันทั้งคณะ สำหรับกระทรวงต่างประเทศเสียวที่สุด แต่เราก็มั่นใจ ดีอย่างคือกระทรวงต่างประเทศมีสิทธิเสรีภาพในการทำงาน โดยไม่มีข้อครหามาเป็นเวลากว่าร้อยปี นับแต่ตั้งกระทรวงมาไม่มีเหตุใดๆ ความเห็นที่ให้ไปในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นทางการ ในขณะที่กฎหมายภายในคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ให้ความเห็น ถ้ากฎหมายระหว่างประเทศ กระทรวงต่างประเทศเป็นคนให้คำแนะนำหมด เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ทำให้หน่วยงานนี้ต้องฟื้นฟูเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ขึ้นมา เพราะกระทรวงต่างประเทศให้ความเห็นด้านกฎหมายโดยบริสุทธิ์ใจ” นายวิทวัส กล่าว
เมื่อถาม นายสหัส ได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย ว่าจะขัดมาตรา 190 หรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า เรื่องนี้ในที่ประชุม ครม.ได้เป็นห่วงกันมาก ซึ่งตนได้ยืนยันไปแล้วว่าการลงนามทั้ง 5 ฉบับไม่มีส่งผลใดๆ และไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) ซึ่งใน 5 ฉบับนั้น จะเป็นเรื่องที่ต้องลงนาม 2 ฉบับ ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างไทย- ออสเตรเลีย และไทยในที่นี้หมายถึงในฐานะประธานอาเซียน จะทำการแทน 10 ประเทศ เป็นเรื่องโครงการด้านการพัฒนาให้ความช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ประมาณ 57 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งไม่มีข้อใดๆ แสลง หรือขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ การลงนามฉบับนี้สิงคโปร์สามารถลงนามในนามประธานอาเซียนได้ ส่วนอีก 3 ฉบับ เป็นเรื่องที่ต้องรับรอง
เมื่อถามว่า นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ส.ร.ระบุว่า การลงนามทั้ง 5 ฉบับถือเป็นการลงนามระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นเข้าข่ายตามมาตรา 190(2) นายวิทวัส กล่าวว่า คงต้องมีการปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ผิดรัฐธรรมนูญ จะคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้ว และไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราเตรียมการไว้แล้วโดยจะมีการอธิบายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าใจในเงื่อนไขกฎหมายสูงสุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุม ครม.วานนี้ ดูเหมือนนายกรัฐมนตรี และ ครม.เองก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจในคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังจากมีปัญหากรณีปราสาทพระวิหารมาแล้ว อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีปราสาทพระวิหารก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของสมาคมประชาชาติอาเซียน เป็นผลประโยชน์ของไทย ดังนั้นตนมั่นใจว่าสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินตามกรอบความสัมพันธ์อาเซียน จะมีความรอบด้าน แต่หากจะมีเหตุขัดกับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ย่อมทำไม่ได้จึงต้องอธิบายให้ประเทศสมาชิกเข้าใจ ไม่ใช่ว่าต้องการแก้ไขการเมืองภายในประเทศ แล้วไปกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“ยืนยันว่า ทุกฉบับสามารถลงนามได้โดยไม่ต้องผ่านสภาแต่ถ้ามีผู้รู้ชี้ขาด ก็เชื่อว่ารัฐบาลจะรับฟัง และในที่ประชุม ครม.ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ” อธิบดีกรมอาเซียน กล่าว
ต่อข้อถามว่า ทางกลุ่มประเทศอาเซียนได้สอบถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ไม่มี ปีครึ่งมีแต่คนตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าน่าจะทำให้เป็นประโยชน์จากโอกาสนี้ ส่งเสริมผลประโยชน์ให้เข้าประเทศไทยให้มากที่สุด ส่วนประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งต้องพยายามขีดวงให้อยู่ในประเทศอย่าให้ออกไปนอกประเทศ
เมื่อถามว่า หากในอนาคตมีการตีความว่าขัดต่อมาตรา 190 จะทำอย่างไร นายวิทวัส กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ต้องบอกสมาชิกอาเซียนถึงข้อกฎหมายภายในไทยให้เขารับทราบ ซึ่งข้อตกลงทั้งหลายก็สามารถเปิดเผยได้ และสื่อสามารถนำไปดูได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตีความว่าจะขัดต่อมาตรา 190 หรือไม่นั้น จะต้องตีความทุกฉบับหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ต้องไปถามผู้มีอำนาจในการตีความ แต่เรื่องการลงนามสัญญาส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องแล้วแต่กรณี ทั้งนี้ มาตรา 190 ค่อนข้างที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางในแง่ข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลาย ส่วนมุมมองในอนาคต ต้องใช้วิธีการตรวจสอบ และใช้อำนาจตรวจสอบให้ดีที่สุด ทำอย่างไรให้ได้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งฝ่ายที่ตรวจสอบ ฝ่ายที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ความร่วมมือ ทั้งฝ่ายบริหาร ตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ ตนคาดหวังว่า ทั้ง 3 ฝ่ายจะดำเนินการไปได้ด้วยดี สามารถแสดงหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายกำหนด ขณะเดียวกัน การแสดงหน้าที่ก็ส่งเสริมผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้มีความมุ่งหมายโต้เถียงหรือโต้แย้งไปหมิ่นอะไรใคร อยากให้หาทางออก ช่วยกันเพื่อปลดพันธนาการกระบวนการตรวจสอบก็อยู่ได้ ประชาชนมีสิทธิรับรู้ในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการ
เมื่อถามว่า ระหว่างที่ไม่มีวิธีการ ยังนึกไม่ออก รู้สึกลำบากหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ความจริงวิธีการมีคนนึกๆไว้แล้ว แต่จังหวะที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะต้องมาคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องรอให้สภาเปิด ทางกระทรวงการต่างประเทศต้องแสดงความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียน แสดงภาวะผู้นำ นำประชาคมอาเซียนไปสู่เป้าหมายได้ในปี ค.ศ. 2015 รวมทั้งผลักดันกฎบัตรอาเซียน กลไกสิทธิมนุษยชน แต่งตั้งทูต ส่งเสริมเสาหลัก การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องเหล่านี้เขามองดูผู้นำไทยอยู่ ต้องทำให้ดี
นายวิทวัส กล่าวต่อว่า เรื่องการลงนามที่ออสเตรเลีย หากสิงคโปร์จะลงนามในฐานะประธานสมาชิกอาเซียนก็ไม่ขัดข้อง ถือเป็นความช่วยเหลือจากออสเตรเลีย ไม่มีใครขัดข้องฟังดูแล้วไม่มีเหตุอันใดที่คนที่ได้รับความช่วยเหลือจะไม่ลงนามด้วย เรื่องความสมบูรณ์ ครบถ้วนถือว่าได้ เมื่อไทยมาเป็นประธานอาเซียน แล้วจะไปลงนามกับออสเตรเลีย ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ไทยจะไม่ลงนามกับออสเตรเลีย หากเป็นประธานอาเซียน ต่างชาติเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยดี ไม่ตื่นเต้นเลย บางทีเขาอาจจะเข้าใจดีกว่าคนไทยเองด้วยซ้ำ
นายวิทวัส ยังกล่าวย้ำว่า เราเจอเรื่องเขมรก็ถือว่าหนักแล้ว เมื่อถามถึงการเปิดสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายวิทวัส กล่าวว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 190 ไม่ทราบว่ามีการปฏิบัติอย่างไร อะไรบ้างที่เข้าข่าย หรือไม่เข้าข่าย จะต้องจัดทำประชาพิจารณ์หรือไม่ หรือต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา การซักซ้อมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นท่าทีการปกป้อง ท่าทีของไทยในเวทีต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น เราถือไพ่อะไรไปก็เท่ากับ เราเอาไพ่ใบนั้นเปิดเผยไปทั่วประเทศก่อน ก่อนที่จะไปเจรจา ซึ่งไม่มีใครทำอย่างนั้น มันกว้างมากที่กฎหมายระบุว่า กระทบกระเทือนต่อสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง หากมีคนไม่พอใจมาถือป้ายชุมนุมประท้วงถึง 200 คน ก็เข้าข่ายแล้ว ดังนั้นอะไรที่กว้างเกินไป ก็ต้องหาทาง
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีการสอบถามถึงการใช้มาตรา 190 ไปยังสภาหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า พยายามทำอยู่ แต่จังหวะเวลาไม่อำนวย ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 รัฐบาลต้องฟื้นฟูภาพลักษณ์ แก้ไขปัญหาภาคใต้ เลือกตั้งใหม่ เข้ามาแล้วยังมีการโต้แย้งกันในประเทศ สภาเปิดก็มีเรื่องต่างๆ เต็มไปหมด จนสภาปิด จังหวะเวลาเป็นอย่างนี้ เรามีแผนในการปฏิบัติการพร้อมเสมอ นักกฎหมายมีการเตรียมการ การเจรจาต้องให้คนรับรู้ ในกระบวนการหารือทุกฝ่ายเข้าใจ ดังนั้นมาตรา 190 ต้องมีการปรับอย่างไรเพื่อให้ชาติไม่เสียท่าที การเจรจาระหว่างประเทศ คิดว่าเข้าใจ สมมติว่าถ้าเอาทุกอย่างมาเป็นประเด็นการเมือง จะเป็นอีกภาพหนึ่ง เป็นการเอาชนะคะคานกัน แง่มุมทางการเมืองต่างๆ แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศพยายามหลีกเลี่ยงภาพเหล่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส ถ้าจะต้องแก้มาตรา 190 ก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้ก็ต้องมีเหตุผลกัน
วันนี้ (16 ก.ค.) นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเตรียมการเดินทางร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายหลังได้รับมอบหมายจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้เป็นตัวแทน รมว.ต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมแทนว่า นายสหัส จะเดินทางไปในวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการเป็นประธานอาเซียนของไทยหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ต้องแยกภาพระหว่างการเมืองภายในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ คิดว่าในแง่ความสัมพันธ์อาเซียนไม่มีผลกระทบอะไร เราพร้อมรับตำแหน่งประธานอาเซียน เรามียุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ อยู่แล้ว และหลังจากวันที่ 24 ก.ค.ที่เราได้รับการแต่งตั้ง ไปจนถึงปลายปีหน้า ไทยจะเป็นประธานการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนถึง 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 15-18 ธ.ค.2551 และครั้งที่ 2 ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.2552 และจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในเดือน เม.ย.2552 ด้านการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ด้านความมั่นคง การรักษาความปลอดภัยได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 15-18 ธ.ค.นี้ ซึ่งกฎบัตรอาเซียนมีผลในทางปฏิบัติในประเทศไทย ซึ่ง 41 ปีที่แล้ว นายถนัด คอมันตร์ เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา
เมื่อถามว่า นายสหัส มีความกังวล หรือบ่นเสียวเรื่องใดหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า จริงๆ แล้ว นายสหัส มีความพร้อมพอสมควร
“ท่านไม่บ่นอะไร เพราะท่านมีประสบการณ์ในเวทีต่างประเทศมาเยอะ ซึ่งล่าสุด ท่านเพิ่งกลับจาก เวทีเอฟเอโอ ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี และก่อนหน้านี้ ก็เดินทางมาเยอะ แต่ท่าจะเสียวเรื่องอะไรหรือไม่ ผมตอบแทนท่านไม่ได้ ที่แน่ๆ เมื่อวานนี้ ครม.ก็เสียวกันทั้งคณะ สำหรับกระทรวงต่างประเทศเสียวที่สุด แต่เราก็มั่นใจ ดีอย่างคือกระทรวงต่างประเทศมีสิทธิเสรีภาพในการทำงาน โดยไม่มีข้อครหามาเป็นเวลากว่าร้อยปี นับแต่ตั้งกระทรวงมาไม่มีเหตุใดๆ ความเห็นที่ให้ไปในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นทางการ ในขณะที่กฎหมายภายในคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ให้ความเห็น ถ้ากฎหมายระหว่างประเทศ กระทรวงต่างประเทศเป็นคนให้คำแนะนำหมด เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ทำให้หน่วยงานนี้ต้องฟื้นฟูเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ขึ้นมา เพราะกระทรวงต่างประเทศให้ความเห็นด้านกฎหมายโดยบริสุทธิ์ใจ” นายวิทวัส กล่าว
เมื่อถาม นายสหัส ได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย ว่าจะขัดมาตรา 190 หรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า เรื่องนี้ในที่ประชุม ครม.ได้เป็นห่วงกันมาก ซึ่งตนได้ยืนยันไปแล้วว่าการลงนามทั้ง 5 ฉบับไม่มีส่งผลใดๆ และไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) ซึ่งใน 5 ฉบับนั้น จะเป็นเรื่องที่ต้องลงนาม 2 ฉบับ ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างไทย- ออสเตรเลีย และไทยในที่นี้หมายถึงในฐานะประธานอาเซียน จะทำการแทน 10 ประเทศ เป็นเรื่องโครงการด้านการพัฒนาให้ความช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ประมาณ 57 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งไม่มีข้อใดๆ แสลง หรือขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ การลงนามฉบับนี้สิงคโปร์สามารถลงนามในนามประธานอาเซียนได้ ส่วนอีก 3 ฉบับ เป็นเรื่องที่ต้องรับรอง
เมื่อถามว่า นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ส.ร.ระบุว่า การลงนามทั้ง 5 ฉบับถือเป็นการลงนามระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นเข้าข่ายตามมาตรา 190(2) นายวิทวัส กล่าวว่า คงต้องมีการปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ผิดรัฐธรรมนูญ จะคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้ว และไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราเตรียมการไว้แล้วโดยจะมีการอธิบายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าใจในเงื่อนไขกฎหมายสูงสุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุม ครม.วานนี้ ดูเหมือนนายกรัฐมนตรี และ ครม.เองก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจในคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังจากมีปัญหากรณีปราสาทพระวิหารมาแล้ว อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีปราสาทพระวิหารก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของสมาคมประชาชาติอาเซียน เป็นผลประโยชน์ของไทย ดังนั้นตนมั่นใจว่าสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินตามกรอบความสัมพันธ์อาเซียน จะมีความรอบด้าน แต่หากจะมีเหตุขัดกับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ย่อมทำไม่ได้จึงต้องอธิบายให้ประเทศสมาชิกเข้าใจ ไม่ใช่ว่าต้องการแก้ไขการเมืองภายในประเทศ แล้วไปกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“ยืนยันว่า ทุกฉบับสามารถลงนามได้โดยไม่ต้องผ่านสภาแต่ถ้ามีผู้รู้ชี้ขาด ก็เชื่อว่ารัฐบาลจะรับฟัง และในที่ประชุม ครม.ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ” อธิบดีกรมอาเซียน กล่าว
ต่อข้อถามว่า ทางกลุ่มประเทศอาเซียนได้สอบถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ไม่มี ปีครึ่งมีแต่คนตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าน่าจะทำให้เป็นประโยชน์จากโอกาสนี้ ส่งเสริมผลประโยชน์ให้เข้าประเทศไทยให้มากที่สุด ส่วนประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งต้องพยายามขีดวงให้อยู่ในประเทศอย่าให้ออกไปนอกประเทศ
เมื่อถามว่า หากในอนาคตมีการตีความว่าขัดต่อมาตรา 190 จะทำอย่างไร นายวิทวัส กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ต้องบอกสมาชิกอาเซียนถึงข้อกฎหมายภายในไทยให้เขารับทราบ ซึ่งข้อตกลงทั้งหลายก็สามารถเปิดเผยได้ และสื่อสามารถนำไปดูได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตีความว่าจะขัดต่อมาตรา 190 หรือไม่นั้น จะต้องตีความทุกฉบับหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ต้องไปถามผู้มีอำนาจในการตีความ แต่เรื่องการลงนามสัญญาส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องแล้วแต่กรณี ทั้งนี้ มาตรา 190 ค่อนข้างที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางในแง่ข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลาย ส่วนมุมมองในอนาคต ต้องใช้วิธีการตรวจสอบ และใช้อำนาจตรวจสอบให้ดีที่สุด ทำอย่างไรให้ได้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งฝ่ายที่ตรวจสอบ ฝ่ายที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ความร่วมมือ ทั้งฝ่ายบริหาร ตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ ตนคาดหวังว่า ทั้ง 3 ฝ่ายจะดำเนินการไปได้ด้วยดี สามารถแสดงหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายกำหนด ขณะเดียวกัน การแสดงหน้าที่ก็ส่งเสริมผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้มีความมุ่งหมายโต้เถียงหรือโต้แย้งไปหมิ่นอะไรใคร อยากให้หาทางออก ช่วยกันเพื่อปลดพันธนาการกระบวนการตรวจสอบก็อยู่ได้ ประชาชนมีสิทธิรับรู้ในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการ
เมื่อถามว่า ระหว่างที่ไม่มีวิธีการ ยังนึกไม่ออก รู้สึกลำบากหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า ความจริงวิธีการมีคนนึกๆไว้แล้ว แต่จังหวะที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะต้องมาคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องรอให้สภาเปิด ทางกระทรวงการต่างประเทศต้องแสดงความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียน แสดงภาวะผู้นำ นำประชาคมอาเซียนไปสู่เป้าหมายได้ในปี ค.ศ. 2015 รวมทั้งผลักดันกฎบัตรอาเซียน กลไกสิทธิมนุษยชน แต่งตั้งทูต ส่งเสริมเสาหลัก การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องเหล่านี้เขามองดูผู้นำไทยอยู่ ต้องทำให้ดี
นายวิทวัส กล่าวต่อว่า เรื่องการลงนามที่ออสเตรเลีย หากสิงคโปร์จะลงนามในฐานะประธานสมาชิกอาเซียนก็ไม่ขัดข้อง ถือเป็นความช่วยเหลือจากออสเตรเลีย ไม่มีใครขัดข้องฟังดูแล้วไม่มีเหตุอันใดที่คนที่ได้รับความช่วยเหลือจะไม่ลงนามด้วย เรื่องความสมบูรณ์ ครบถ้วนถือว่าได้ เมื่อไทยมาเป็นประธานอาเซียน แล้วจะไปลงนามกับออสเตรเลีย ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ไทยจะไม่ลงนามกับออสเตรเลีย หากเป็นประธานอาเซียน ต่างชาติเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยดี ไม่ตื่นเต้นเลย บางทีเขาอาจจะเข้าใจดีกว่าคนไทยเองด้วยซ้ำ
นายวิทวัส ยังกล่าวย้ำว่า เราเจอเรื่องเขมรก็ถือว่าหนักแล้ว เมื่อถามถึงการเปิดสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายวิทวัส กล่าวว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 190 ไม่ทราบว่ามีการปฏิบัติอย่างไร อะไรบ้างที่เข้าข่าย หรือไม่เข้าข่าย จะต้องจัดทำประชาพิจารณ์หรือไม่ หรือต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา การซักซ้อมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นท่าทีการปกป้อง ท่าทีของไทยในเวทีต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น เราถือไพ่อะไรไปก็เท่ากับ เราเอาไพ่ใบนั้นเปิดเผยไปทั่วประเทศก่อน ก่อนที่จะไปเจรจา ซึ่งไม่มีใครทำอย่างนั้น มันกว้างมากที่กฎหมายระบุว่า กระทบกระเทือนต่อสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง หากมีคนไม่พอใจมาถือป้ายชุมนุมประท้วงถึง 200 คน ก็เข้าข่ายแล้ว ดังนั้นอะไรที่กว้างเกินไป ก็ต้องหาทาง
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีการสอบถามถึงการใช้มาตรา 190 ไปยังสภาหรือไม่ นายวิทวัส กล่าวว่า พยายามทำอยู่ แต่จังหวะเวลาไม่อำนวย ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 รัฐบาลต้องฟื้นฟูภาพลักษณ์ แก้ไขปัญหาภาคใต้ เลือกตั้งใหม่ เข้ามาแล้วยังมีการโต้แย้งกันในประเทศ สภาเปิดก็มีเรื่องต่างๆ เต็มไปหมด จนสภาปิด จังหวะเวลาเป็นอย่างนี้ เรามีแผนในการปฏิบัติการพร้อมเสมอ นักกฎหมายมีการเตรียมการ การเจรจาต้องให้คนรับรู้ ในกระบวนการหารือทุกฝ่ายเข้าใจ ดังนั้นมาตรา 190 ต้องมีการปรับอย่างไรเพื่อให้ชาติไม่เสียท่าที การเจรจาระหว่างประเทศ คิดว่าเข้าใจ สมมติว่าถ้าเอาทุกอย่างมาเป็นประเด็นการเมือง จะเป็นอีกภาพหนึ่ง เป็นการเอาชนะคะคานกัน แง่มุมทางการเมืองต่างๆ แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศพยายามหลีกเลี่ยงภาพเหล่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส ถ้าจะต้องแก้มาตรา 190 ก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้ก็ต้องมีเหตุผลกัน