โดย “ทัพหน้า” อดีตนักข่าวปี 2509-2516
สื่อสารมวลชนหนังสือพิมพ์เสนอข่าวตรงกันว่า มีนักการเมืองปากอ้างประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง (แต่ในหัวใจมีธาตุเผด็จการเต็มตัว) กำลังจะร่วมมือกันรื้อ พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ ตั้งบอร์ด กสทช.คุมสื่อสารมวลชนตามใบสั่ง ทั้งแอบสั่งข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์พลิกหากฎหมาย ทำทุกวิธีเพื่อที่จะฉุดหยุด สื่ออิสระ เช่น ASTV ลงให้จงได้
ด้วย ASTV เป็นสื่อทีวีอิสระหนึ่งเดียวที่สะท้อนความจริงของนักการเมืองชั่วกลายพันธ์หุ่นเชิด ให้ความรู้ประชาชน ให้สติปัญญารู้เท่าทัน คอยปรามการกระทำของบรรดานักการเมืองพันธุ์ชั่ว ซึ่งกำลังครองบ้านครองเมือง มิให้ทำอะไรออกนอกลู่นอกทางได้ตามใจชอบ
หากย้อนอดีตมองประวัติศาสตร์ตัวนักการเมืองไทยที่ผ่านมา ความพยายามปิดกั้นการทำหน้าที่อย่างอิสระของสื่อสารมวลชนไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องอย่างนี้ได้เกิดมาครั้งแล้วครั้งเล่า บนเส้นทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยปรากฏว่า นักเลือกตั้งปากอ้างประชาธิปไตย มักใช้วิธีเรียนลัดขึ้นสู่อำนาจบนตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ก็ปล่อยให้ประชาชนอดอยากครบ 4 ปีเมื่อไหร่ ก็มาไหว้นับญาติกันครั้ง
เมื่อครั้งอดีต มีนักการเมืองหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งนับถือ นายธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นปรมาจารย์ทางการเมือง ได้ออกไปใช้ฝีปากออกอากาศ ช่วยปลุกระดมทางวิทยุยานเกราะร่วมกับ นายทหารยศพันเอก จนเกิดกรณี 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีนิสิตนักศึกษาทั้งชายหญิงต้องเสียเลือดเนื้อบาดเจ็บ เสียชีวิตหลายคน ณ บริเวณสนามหลวง มีการล้อมปราบจับนิสิตนักศึกษาซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หลายคนไปคุมขัง
นักการเมืองหนุ่มคนนี้สมัยนั้น ถูกจัดกลุ่มอยู่ในฝ่ายขวาจัด เป็นพวกขวาตกขอบ ในที่สุดเมื่อเกิดเหตุจลาจลขึ้น...พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ทำการยึดอำนาจตลอดทั้งวันที่ 6 ตุลาคม-7 ตุลาคม ปี 2519 หนังสือพิมพ์รายวันซึ่งตีพิมพ์วางจำหน่ายตอนเช้าทุกฉบับต้องหยุดตีพิมพ์โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน มีคำสั่งคณะปฏิรูปฯ ให้เจ้าของ, บรรณาธิการ, ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาไปรายงานตัวที่กองบัญชาการคณะปฏิรูปฯ สนามเสือป่า ไปเซ็นรับทราบคำสั่งของคณะปฏิรูปฯ ลงวันที่ 6 ตุลาคม2519
เป็นที่ทราบกันดีในวงสื่อสารมวลชน ว่า นักการเมืองหนุ่ม ขวาจัดตกขอบใจเผด็จการคนนั้น ได้ปรากฏตัว ณ กองบัญชาการคณะปฏิรูป มีส่วนจัดการเรื่องจัดระเบียบหนังสือพิมพ์ ซึ่งต่อมาเมื่อนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ปรากฏรายชื่อของเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญในคณะรัฐมนตรีชุดดังกล่าวด้วย
ครั้งเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครอง 6 ตุลาคม 2519 นั้น บรรดาบรรณาธิการ, ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวัน หากตีพิมพ์จำหน่ายรายวัน ต้องมาเซ็นรับทราบคำสั่ง ประกาศฉบับที่ 5 ของคณะปฏิรูปการปกครอง (6 ตุลาคม 2519) ตามแบบฟอร์มใจความว่า
ตามที่ข้าพเจ้า...................................ในฐานะเจ้าของ ในฐานะบรรณาธิการหรือในฐานะผู้พิมพ์โฆษณา หนังสือพิมพ์..........................................ซึ่งพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นราย ....... ให้ยื่นคำร้องต่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เพื่อขออนุมัติให้เป็นการเฉพาะราย ตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 แล้วนั้น
บัดนี้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องของบุคคล หรือนิติบุคคล เพื่อดำเนินการพิมพ์ หนังสือพิมพ์รายวันหรือสิ่งพิมพ์ต่อประชาชน ได้พิจารณาคำร้องของข้าพเจ้าแล้ว และได้อนุมัติให้ข้าพเจ้าดำเนินการออกหนังสือพิมพ์ …………………ต่อไปได้ ข้าพเจ้าผู้ลงนามไว้ข้างท้ายนี้ ขอให้คำรับรองต่อคณะกรรมการฯว่า ข้าพเจ้าจะดำเนินการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันหรือสิ่งตีพิมพ์ต่อประชาชน โดยจะไม่ตีพิมพ์โฆษณาสิ่งต่อไปนี้คือ-
1.ข้อความหรือภาพซึ่งมีลักษณะละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
2.ข้อความหรือภาพซึ่งมีลักษณะเป็นการบิดเบือน หรือกล่าวร้าย เสียดสี หรือเหยียดหยามประเทศไทย หรือประชาชนชาวไทย หรืออาจทำให้ต่างชาติเสื่อมความเชื่อถือประเทศไทย หรือประชาชนชาวไทย
3.ข้อความหรือภาพซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือมีลักษณะเป็นการยุยงประชาชนให้เกิดความแตกแยกอันอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
4.ข้อความหรือภาพซึ่งส่งเสริมให้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์
5.ข้อความหรือภาพซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือมีลักษณะเป็นการยุยงประชาชนให้เกิดความแตกแยกอันอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
6.ข้อความหรือภาพซึ่งยั่วยุกามารมณ์ หรือลามกอนาจาร หรือหยาบคายอันเป็นเหตุให้เสื่อมเสียทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมของชาติ
7.ข้อความหรือภาพซึ่งเป็นความลับทางราชการ
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และหากได้ปรากฏว่าการตีพิมพ์จำหน่ายฉบับใดของหนังสือพิมพ์............................ของข้าพเจ้า มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้นนี้
ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าได้ปฏิบัติขัดต่อคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 5 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519
จึงของลงชื่อไว้เป็นสำคัญ
นาย…..............................................................ในฐานะเจ้าของ
นาย....................................................................ในฐานะบรรณาธิการ
นาย.....................................................................ในฐานะผู้พิมพ์โฆษณา
จากนั้นก็เป็นรายชื่อของ ประธานกรรมการ และกรรมการและกรรมการเลขาณุการรวม เป็น 6 คนด้วยกัน และนี่คือแบบฟอร์ม ซึ่งทุกคนต้องไปรับทราบที่กองบัญชาการคณะปฏิรูปและเมื่อได้รับการอนุญาตจึงมาตีพิมพ์หนังสือได้
การขัดต่อคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองเป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ถูกปิด คอลัมนิสต์ถูกขจัด!
ต่อมาการทำหนังสือพิมพ์ช่วงคณะปฏิรูปฯ ถอยห่างออกมาเป็น “เปลือกหอย” ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ “รัฐบาลหอย” แม้จะมีรัฐบาลซึ่ง นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม การทำหน้าที่สื่อหนังสือพิมพ์ยังคงยากลำบาก ไม่มีเสรีภาพ เพราะรัฐมนตรีหนึ่งเดียวคนนั้น ที่ทำหน้าที่ว่าการกระทรวงบำบัดทุกข์บำรุงสุข ดำเนินการกดขี่ แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันกับบรรดาคนหนังสือพิมพ์เป็นพิเศษ ผู้มีอำนาจใช้ให้คนโทรฯ ไปแจ้งให้เจ้าของหนังสือพิมพ์ให้เอา คอลัมนิสต์คนนั้นคนนี้ออก เขาฉวยโอกาสที่มีคณะปฏิรูปฯ ให้เป็นเปลือกหอยเป็นพี่เลี้ยงให้รัฐบาลนี้ชำระสะสางล้างแค้นบรรดาคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์รายวันในเมืองกรุงหลายคนที่แสดงความคิดเห็นต่างกับเขามาในอดีต อย่างสะใจ
เจ้าของนามปากกา “ศิวะ รณชิต” หรือ นายสุวัฒน์ วรดิลก แห่งคอลัมน์ ลมตะวันออก ซึ่งเป็นทั้งศิลปินและนักเขียนผู้ใหญ่ของวงการสื่อสารมวลชน จากหนังสือพิมพ์เดลิไทม์ ก็ถูกหักปากกาลง เช่นเดียวกันกับ เจ้าของนามปากกา “สนทะเล”หรือ นางเสริมศรี เอกชัย ก็ถูกนำไปเขียนด่าไว้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันในพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ สันดานหนังสือพิมพ์ ว่า “อึ่งอ่าง..ทะเล”อะไรทำนองนั้น
ยิ่งเจ้าของปากกา “ทหารเก่า” ยิ่งโดนด่าโดนประจานยับเยินกว่าใคร เช่นด่าในข้อเขียนชิ้นหนึ่งว่า “เรื่องของไอ้แก่หลายนามปากกา” เป็นต้น
ส่วนคอลัมนิสต์หน้า 4 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เช่น “สามตา”และอีกหลายคนถูกหักปากกาลง “ศรี อินทปันตี” ข้าราชการหนุ่มของกรมประชาสัมพันธ์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศเพราะถูกจับจ้องมองว่ามีพฤติกรรมเป็นพวกฝ่ายซ้าย
พฤติกรรมของ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ขณะนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่นักสื่อสารมวลชนคนทำงานหนังสือพิมพ์ว่า นักการเมืองปากประชาธิปไตยคนนี้ มีใจเผด็จการเต็มรูปแบบ เอาแต่ใจตัวเอง เขาฉวยโอกาสขณะเป็นรัฐมนตรีมีอำนาจมากนั้น แฝงอำนาจของเปลือกหอยคือคณะปฏิรูปฯ ปฏิบัติการราวีกับสื่อสารมวลชนทุกฉบับ จนตกเป็นข่าวทะเลาะกับคนหนังสือพิมพ์ได้ทุกวัน
พฤติกรรมควบคุมสื่อโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ขณะนั้น ยิ่งกว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือภาวะสงคราม ซึ่งต้องเซ็นเซอร์ข่าวสาร ต่อมาเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2519 คณะที่ปรึกษาแก่เจ้าพนักงานการพิมพ์ ซึ่งมี นายประหยัด ศ. นาคะนาท เป็นประธานคณะที่ปรึกษาแก่เจ้าพนักงานการพิมพ์ได้ออกคำสั่งที่ 130/2519 สำทับ เรื่องขอความร่วมมือใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม เช่น
1.ถ้อยคำหยาบคาย คำด่า คำต่ำช้า ตลอดจนคำเรียกที่ขาดสัมมาคารวะตามธรรมเนียมไทย ฉายาที่แสดงความดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ที่พูดถึง อาทิ ไอ้ฉิบหาย ไอ้สัตว์ ยัดห่า โป้งเหน่ง หน้าด้าน อัปรีย์ชน ฯลฯ
2.ถ้อยคำส่อเสียด กำกวมชวนให้คิดในแง่ร้าย ผิดศีลธรรม ดูถูกเหยียดหยามทำความเสียหายให้แก่ผู้ที่พูดถึง
3.ถ้อยคำที่เป็นเท็จ และขัดแย้งกันเองในพาดหัวข่าว และเนื้อในข่าว
4.ถ้อยคำภาษาพูดซึ่งนำมาใช้แทนภาษาเขียนทั้งนี้ เพราะผู้อ่านหนังสือพิมพ์ของท่านที่เป็นเยาวชน อาจจะรับถ้อยคำเหล่านี้ไว้ทีละเล็กละน้อยโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งจะเป็นผลเสียหายแก่พื้นที่ฐานการใช้ภาษาไทยของเยาวชนเป็นอันมาก
อนึ่ง การใช้ถ้อยคำทั้งสี่ประการดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นสุภาพชนด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดประกาศให้ผู้เขียนข่าว และคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ของท่านได้โปรดพิจารณาถึงผลเสียของการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม และโปรดให้ความร่วมมืองดใช้ถ้อยคำภาษาสี่ประการดังกล่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของท่านด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
ลงชื่อนาย ประหยัด ศ. นาคะนาท
ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาเจ้าของ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาจะได้รับหนังสือขอความร่วมมือหรือตักเตือนจาก พ.ต.ต.อาทร บุญปสาท ที่ปรึกษาและเลขานุการ คณะที่ปรึกษาแก่เจ้าพนักงานการพิมพ์อยู่เนืองๆ พ.ต.ต.อาทร บุญปสาท ก็คือนายตำรวจกองเอกสารหนังสือพิมพ์ ซึ่งเรียกกันติดปากคนข่าวสมัยนั้นว่ากองเซ็นเซอร์ หรือ สันติบาล
นักการเมืองปากประชาธิปไตยใจเผด็จการ ซึ่งใช้อำนาจแฝงอำนาจของเปลือกหอย ได้ออกล้างผลาญคนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ด้วยการกระซิบให้ประธานที่ปรึกษาและกองเอกสารหนังสือพิมพ์ปิดหนังสือพิมพ์รายวันเป็นว่าเล่น จนกระทั่งนายทหารหนุ่มๆ ที่ร่วมคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เกิดความอิดหนาระอาใจ และต่อมาในเวลาไม่นานนักรัฐบาลหอย ก็สิ้นสุดลง...สิ้นสุดลงเร็วกว่าที่คาด วงการสื่อสารมวลชนคนหนังสือพิมพ์จึงกลับมาสู่ภาวะปรกติอีกครั้งหนึ่งเมื่อ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” หมดอำนาจลง
ปัจจุบัน.. นักการเมืองปากประชาธิปไตย ใจเผด็จการขวาจัดตกขอบ ซึ่งมีส่วนในเหตุการณ์นองเลือดคนไทยฆ่าคนไทย ก่อนจะมีการปฏิรูปฯ 6 ตุลาคม2519 คนนี้ กำลังเสวนากับฝ่ายอดีตนิสิตนักศึกษา ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “ฝ่ายซ้ายจัด” ซึ่งขณะนั้นต้องหนีกระเจิดกระเจิงเข้าป่าพนาไพร เป็นเวลาหลายปีจึงออกจากป่าคืนสู่นคร
บรรดาสหายซ้ายจัดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สหายหมอนาม ล. นาย ภ. นาย จ. นาย ก. นาย ส.ธ. ผู้เขียนบันทึกสะท้อนเหตุการณ์จริง 6 ตุลาคม 2519 จากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ขณะอยู่ในเรือนจำ และบรรดาสหายคนอื่นๆ
สำหรับ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” คนนี้ เรื่องที่เล่ามานั้นเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนหนึ่ง บนเส้นทางสายการเมืองของเขา หากประชาชนทั่วๆ ไปได้ศึกษารู้เรื่องโดยละเอียดแล้ว ก็จะไม่แปลกใจว่าทำไมเขาจึงมีพฤติกรรมมี่ก้าวร้าว และเป็นได้ถึงขนาดนี้
สำหรับผู้ที่กระทำการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ อย่างโจ่งแจ้งอย่างเช่นนายจักรภพ เพ็ญแข หากเป็นช่วงหลัง 6 ตุลาคม 2519 “ซ่าส์จอมเผด็จการ” คงสั่งตำรวจเอาถึงตายไปแล้วตามข้อห้ามข้อ 4. หรืออย่างน้อยก็ต้องลี้ภัยไปประเทศอื่นอยู่เมืองไทยไม่ได้เป็นเด็ดขาด
ครั้งหนึ่งเมื่อพรรคการเมืองของเขาได้ครองที่นั่ง ส.ส.ในกรุงเทพฯ มากกว่าพรรคการเมืองอื่น เขาจึงเติมฝันให้ตัวเองว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นของเขาสักวันหนึ่ง.
แต่จนรอดจนรอด ความฝันของเขาก็นับวันจะเลือนรางออกไป แต่จู่ๆ ฝันของเขาก็เป็นจริงขึ้นมาในบั้นปลายของชีวิตแล้ว นักการเมืองขวาจัดตกขอบอย่างเขา จึงยอมลดตัวลงมา ยอมเป็นหุ่นเชิด ร่วมสังฆกรรมพวกฝ่ายซ้ายจัดตกป่า เพื่อจะได้มีอำนาจเป็นเบอร์หนึ่งของทำเนียบฯ
บ้านนี้เมืองนี้ของเราเกิดอาเพศอะไรขึ้นมา ทั้งขวาจัดตกขอบ กับซ้ายจัดตกป่า ที่เคยจะกินเลือดกินเนื้อกันในช่วง 6 ตุลาฯ กลับมาสังวาสกันหน้าตาเฉย ราวกับข่าวสัตว์เลื้อยคลานสมสู่กันในสระน้ำข้างทำเนียบ เมื่อตอนจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ใหม่ ๆ ทั้งซ้ายตกป่า ทั้งขวาตกขอบ ต่างก็มายอมเป็นลูกน้อง เป็นทาสปล่อยไม่ไปของผู้ที่ได้ฉายาว่า “หน้าเหลี่ยมทรราช” คนนั้น
แต่...ถึงเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน พฤติกรรมที่ต้องการจะฟาดฟันกับสื่อแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ยังคงอยู่ในใจของ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ไม่เปลี่ยนแปลง
ซ่าส์จอมเผด็จการผูกใจเจ็บ ASTV และหนังสือพิมพ์ที่เกาะติดเสนอข่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อาทิ ไทยโพสต์ คมชัดลึก หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์รายวันฉบับอื่นๆ หากเสนอข่าวไม่ถูกใจ พาดหัวข่าวขัดใจ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ก็จะนำมาออกอากาศด่าทอวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางทีวีกรมประชาสัมพันธ์ทุกวันอาทิตย์
นี่เป็นวิธีการที่เขาจะจัดการกับสื่อได้อย่างสะใจเขาที่สุดในเวลานี้..หากมีโอกาสออกกฎหมายบังคับเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์รายวันทีวีได้อย่างเมื่อก่อน “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ต้องออกกฎหมายมาบีบบังคับเป็นแน่
แต่นี่เป็นโลกปัจจุบัน ที่อยู่ในปี 2551 แล้ว ไม่ใช่ปี 2519 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน ปัจจุบันการสื่อสารเชื่อมโยงกันไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ข่าวสารกระจายไปถึงไหนต่อถึงไหนภายในเวลาไม่กี่นาที กระทำการแบบปิดฟ้าด้วยมือ ไม่อาจทำได้อีก เพราะประชาชนคนไทยผู้รักชาติจะไม่ยอมแน่
พฤติกรรมในอดีตบอกตัวตนในปัจจุบันของแต่ละคนได้ กรณี 31 พฤษภาคม “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ออกทีวีด้วยท่าทีแข็งกร้าว จะจัดการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาดด้วยการเตรียมกำลังทหารตำรวจไว้พร้อมแล้ว อ้างจะลบรอยแผลเป็น อ้างมีการซ่องสุมคนร้าย ด่าทอ 5 แกนนำ ขู่ทางทีวีว่าไม่ยอมแน่ ให้รู้บ้างว่าเขาเป็นใคร..เขาเป็นใคร รู้จักเขามั้ย
พลันเมื่อจบคำออกอากาศทางทีวีของ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ก็เกิดปรากฎการณ์ ที่ประชาชนคนไทยผู้รักชาติซึ่งเบื่อหน่าย “ซ่าส์จอมเผด็จการ” กับคณะพรรคฯ รวมทั้ง “ปื๊ด บางบอน” อย่างสุดทน ก็พากันออกจากบ้านไปชุมนุมกัน ณ ถนนราชดำเนิน เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์นับแสนคน และเพิ่มถึง 2 แสนคนในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้น ผู้มาร่วมชุมนุมวันทำงานก็มีมากกว่า 2-3 หมื่นคนทุกวันพอศุกร์-เสาร์ก็เพิ่มมากกว่า 5 หมื่นคน
“ซ่าส์จอมเผด็จการ” และบรรดาซ้ายตกป่านั้นอีกไม่นานเวลาเกินไปนัก จะได้พิสูจน์สัจจธรรมและคงจะได้รู้กันว่า ใครหลอกใช้ใคร แต่ที่ชัดเจนแล้วนั้น พฤติกรรมการแสดงออกของ คน 2 กลุ่มนี้ล้วนเป็นทาสรับใช้ หน้าเหลี่ยมคนนั้น คนเดียวอย่างไม่เปลี่ยนใจ
“ซ่าส์จอมเผด็จการ” ได้เป็นเบอร์หนึ่ง ส่วนซ้ายตกป่า 5 คนนั้นบางคนมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี อีกหลายคนทำงานในบริษัทของหน้าเหลี่ยม ร่ำรวยกันถ้วนหน้า เก็บอุดมการณ์ที่จะทำเพื่อประชาชนเอาไว้ชั่วคราว
“ซ่าส์จอมเผด็จการ” ที่เคยฝันไว้ตั้งวัยหนุ่มว่าจะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี วันนี้ได้ทิ้งพรรคการเมืองที่เขาตั้งขึ้นเอง หันมาสังฆกรรมกับหน้าเหลี่ยม วันนี้ก็สมใจแล้ว แต่การขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น ต้องยอมเป็นทาสทางใจ และทางกาย
แต่สิ่งที่ติดตัวเขามาตลอด คือความเป็นคนอาฆาตมาดร้ายเป็นที่หนึ่ง เจ้าถ้อยหมอความ เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ขณะที่ภาพลักษณ์การเทิดทูนต่อสถาบันหายไป หลังจากปล่อยให้นายจักรภพ เพ็ญแข ลอยชายเหนือกฎหมายอยู่เป็นเวลานาน
ในใจของเขายังมีความพยายามหยุดยั้งการเติบโตของ ASTV แต่เมื่อยิ่งหาทางปิด ยิ่งเรียกประชาชนให้ออกมามาร่วมชุมนุมกับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ มากขึ้น ถ้าถึงขั้นต้องออกกฎหมายปิด ASTV หรือกฎหมายเซ็นเซอร์ ให้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องกรอกแบบฟอร์ม บ้านเมืองคงได้นองเลือด เพราะประชาชนทนพฤติกรรมของ “ซ่าส์จอมเผด็จการ” ไม่ได้อีกต่อไป
หรือนี่จะเป็นชนวนให้เกิด 14 ตุลาคม 2516 ภาค 2 ขณะที่เงาลางๆ ของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” จอมนาซีกระหายเลือดเริ่มปรากฏ ควบคู่กับ “ไฮริช ฮิมเลอร์” สมุนคู่ใจคนสำคัญของฮิตเลอร์ แห่งหน่วย เอส.เอส. ผู้ตั้งรัฐตำรวจ มีอำนาจครอบจักรวาล จับใครก็ได้รวมทั้งทหาร
ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้รักชาติทั่วประเทศต้องจับตา ถ้าจะเป็นแบบนั้น ถือว่าเป็นกรรมของบ้านเมือง ที่มีคนบ้าอำนาจ บ้าตำแหน่ง ขึ้นมาครองเมือง ทางเดียวที่จะปราบลงได้อยู่ที่พลังของผู้รักชาติทุกคน ที่มีจุดยืนตรงกันจะช่วยหยุดวิกฤตครานี้ มาออกชุมนุมแสดงพลังกันให้มากเข้าไว้ เพราะธรรมย่อมชนะอธรรมแน่นอน