“อธิบดีกรมกร๊วก” อ้างแค่ให้ข้อมูล จนท.ด้านความมั่นคง เอเอสทีวีแพร่สัญญาณ ยอมรับมีการร้องขอจากรัฐบาล ยันไม่มีอำนาจเพราะ พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุบังคับใช้แล้ว ฟุ้ง “NBT” เสนอข่าว 2 ด้านลั่นเป็นกลางมากที่สุด มอง “แย่งพวงหรีด” สนทนาประสาสมัครแค่เดินชนกัน
วันนี้ (10 มิ.ย.) นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเผยแพร่สัญญาณของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีว่า เป็นเรื่องของกรมประชาสัมพันธ์ในการดูถึงกรณีการฟ้องร้อง สามารถทำได้โดยตรงโดยไม่ต้องมารายงานให้ตนทราบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ฉะนั้น การดำเนินการอย่างไรนั้นตนไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องของกรมประชาสัมพันธ์ แต่เป็นเพียงการบอกด้วยวาจาเท่านั้นเอง แต่เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ทราบ
เมื่อถามว่า การที่ศาลคุ้มครองการออกอากาศของเอเอสทีวีแล้วทางเราจะพิจารณาเรื่องเนื้อหาการออกอากาศจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางกฎหมายได้หรือไม่ นายจุลยุทธ กล่าวว่า ขอให้คณะทำงานที่ดูแล ตนไม่สามารถตอบได้ มีฝ่ายกฎหมายดูแล อย่างที่เรียนแล้วว่า เรื่องไม่ได้ผ่านมาที่ตนเลย
ด้าน นายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ด้านการศึกษาเรื่องกฎหมายไม่ต้องศึกษาเลย ทางกรมประชาสัมพันธ์ได้รับการร้องขอจากทางฝ่ายบ้านเมือง โดยข้อเท็จจริงในอดีตกรมประชาสัมพันธ์ตั้งขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ในอดีตกรมประชาสัมพันธ์เคยฟ้องร้องเรื่องการออกอากาศ เนื่องจากตั้งขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งศาลปกครองได้คุ้มครองการออกอากาศของเอเอสทีวี ต่อมากรมประชาสัมพันธ์ได้ขอให้บริษัท กสท. จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการเชื่อมโยงสัญญาณไฟเบอร์ออฟติกไปขึ้นสัญญาณดาวเทียมที่ฮ่องกง แล้วศาลยกคำร้องเรื่องทั้งหมดอยู่ที่ศาล ทางกรมประชาสัมพันธ์มีหน้าที่ให้ข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือ วานนี้ (9 มิ.ย.) ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ไปพบฝ่ายความมั่นคงมอบข้อมูลหลักฐาน
“วันนี้กรมประชาสัมพันธ์ไม่มีอำนาจในฐานะเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต เนื่องจากปัจจุบันพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ 2551 มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งในมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ยกเลิกกฎหมายพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 วันนี้กรมประชาสัมพันธ์ไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตเปิดกิจการ แต่เรายินดีให้ความร่วมมือด้านข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่” นายเผชิญ กล่าว
เมื่อถามว่า การรวบรวมเอกสารให้ฝ่ายปกครองหรือฝ่ายความมั่นคงคาดว่าจะสามารถเอาผิดในประเด็นไหนบ้าง นายเผชิญ กล่าวว่า ตรงนี้เรื่องการฟ้องร้อง ทุกอย่างอยู่ที่ศาลเพราะได้คุ้มครองการออกอากาศ ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายบ้านเมืองว่าจะเข้ารวบรวมหลักฐานเอกสารต่อไป ประเด็นต่างๆ ต้องถามคณะกรรมการเนื่องจากตนไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการดังกล่าว ข้อมูลต่างๆไม่ต้องศึกษาเพราะมีข้อมูลพร้อมแล้ว วานนี้ 16.00 น.ได้มอบให้ผู้อำนวยการกองกฎหมายและระเบียบของกรมประชาสัมพันธ์นำข้อมูลหลักฐานไปพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งต้องไปสอบถามว่าจะมีข้อมูล ข้อพิจารณาอย่างไร
เมื่อถามว่า ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐานว่าจะดำเนินการกับเอเอสทีวีได้หรือไม่ นายเผชิญ กล่าวว่า เรื่องพยานหลักฐานอยู่ที่ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินการว่าจะข้องเกี่ยงแง่กฎหมายข้อใด ต่อข้อถามว่า ข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมายังกรมประชาสัมพันธ์เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอะไร นายเผชิญ กล่าวว่า ข้อมูลทั้งหมดทั้งเรื่องข้อมูลกรมประชาสัมพันธ์ฟ้องร้องเอเอสทีวี และคำพิพากษาของศาลปกครอง รายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องซึ่ง เป็นข้อกฎหมายเดิม เมื่อถามว่า ทางกรมประชาสัมพันธ์ได้เสนอแนะเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงข้อผิดหรือไม่ นายเผชิญ กล่าวว่า ตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เข้าใจว่าน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน ตนไม่ทราบเข้าใจว่า หลังประชุมครม.จะหารือกับผู้อำนวยการกองกฎหมายฯอีกครั้ง ทางเราคงจะไม่เข้าไปตัดสิน
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ขณะนี้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันเอง นายเผชิญ กล่าวว่า NBT ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ใคร เสนอเป็นกลาง ตรงไปตรงมาเสนอข่าว 2 ด้าน ทั้งด้านที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่ได้เชียร์รัฐบาล และเห็นว่า เอเอสทีวียังให้เวลากับฝ่ายค้าน หรือฝ่ายที่ต้านรัฐบาลเสียมากกว่า จะสังเกตุเห็นช่วงข่าวหลักๆนำเสนอข่าวของฝ่ายค้านหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ถือว่าเราเป็นกลางมากที่สุด แต่ถ้าจะเห็นว่าไม่เป็นธรรมนั้น ขอให้ดูด้วยความเป็นกลาง ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถือว่าเราเป็นกลางมากที่สุด
เมื่อถามว่า ต่อจากนี้ทุกวันอาทิตย์จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยกรมประชาสัมพันธ์อย่างไร หลังจากมีการปะทะกัน นายเผชิญ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นายกฯ ไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นการเดินชนกัน และคว้าพวงหรีดไปเฉยๆ ส่วนการออกอากาศก็ออกอากาศสดเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตามปกติ
เมื่อถามว่า มองการนำเสนอข่าวของไทยทีวี (ไทยพีบีเอส) อย่างไร นายเผชิญ กล่าวว่า ไทยพีบีเอสตั้งใจเสนอความเป็นกลาง แต่มุมมองบางท่านก็อาจจะแตกต่างกันแต่ถ้ามองความตั้งใจนั้น ทุกสถานีตั้งใจจะให้เกิดความเป็นกลาง