ชมรมผู้ค้าน้ำมันสงขลาทนวิกฤตน้ำมันไม่ไหวยื่นข้อเสนอเรียกร้องรัฐช่วย

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – ประธานชมรมผู้ค้าน้ำมัน จ.สงขลา ออกแถลงการณ์ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประกอบการน้ำมัน จี้รัฐกำหนดค่าการตลาดและชดเชยให้สมดุลกับต้นทุนที่สูงขึ้น พร้อมออกมาตรการรองรับการประหยัดต้นทุนแก่ผู้ประกอบการ และรื้อ กม.ห้ามขายเหล้าขายบุหรี่ในปั้มน้ำมันเพื่อจะนำรายกำไรส่วนนี้มาพยุงกิจการ

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 5 มิ.ย.ชมรมผู้ค้าน้ำมัน จ.สงขลาและเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันในพื้นที่ จ.สงขลา รวมตัวออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันหลังจากที่ประสบกับภาวะวิกฤติอย่างหนักจากภาวะต้นทุนที่สวนทางกับกำไร

นางระเบียบ จิตเกื้อ ประธานชมรมผู้ค้าน้ำมัน จ.สงขลา เปิดเผยว่า ทางออกเพื่อให้ปั๊มน้ำมันอยู่ได้ คือ ให้รัฐบาลกำหนดค่าการตลาดให้ผู้ค้าให้ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากปัจจุบันไม่สามารถบริหารการทำงานได้แล้ว เพราะกำไรขั้นต้นต่ำมากแค่ลิตรละ 40-80 สตางค์ ไม่สมดุลกับค่าใช้จ่ายที่ทวีคูณ โดยให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างที่หายไป ให้กับผู้น้ำมันเช่นเดียวกับบริษัท ขณะเดียวกัน ควรยกเลิกกฎหมายการห้ามขายเหล้าขายบุหรี่ในปั๊มน้ำมัน เพราะในความเป็นจริงแม้ไม่ขายเหล้าและบุหรี่ในปั๊มยอดการผลิตสินค้าทั้งสองอย่างก็ไม่ได้ลดลง แต่กลับมาจำกัดกับปั้มน้ำมันแทนที่จะได้กำไรจากส่วนนี้ไปช่วยพยุงกิจการ

และควรยกเลิกค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตในส่วนที่ปั๊มต้องจ่าย เนื่องจากปัจจุบันธนาคารคิดค่าธรรมเนียมจากปั๊ม 1.5-25% บริษัทแม่ควรต่อรองธนาคารให้เหลือ 0.5-1% ให้รัฐบาลออกกฏหมายเปิดปั๊มน้ำมันระหว่างเวลา 6 นาฬิกาถึง 18 นาฬิกา และหยุดวันอาทิตย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งค่าไฟฟ้าและค่าจ้าง และสุดท้ายคือ ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีป้าย โรงเรือน เฉพาะกิจการสถานีบริการให้เป็นธรรม โดยขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทบทวนการจัดเก็บให้เป็นธรรมและมีหลักเกณฑ์เหมือนกันทุกปั๊ม

นอกจากนี้ นายจรัล ขาวหนูนา เจ้าของกิจการปั๊มน้ำมัน ในสะท้อนปัญหาที่นอกเหนือจากการต้นทุนที่สวนทางกับกำไร โดยระบุว่า ขณะนี้ปั๊มน้ำมันกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีประสบการณ์ เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่หันไปประกอบอาชีพอื่น เช่น กรีดยางพารา ซึ่งได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้ปั๊มน้ำมันต้องสร้างแรงจูงใจโดยการจ่ายค้าจ้างที่แพงกกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งทางออกของปัญหานี้ปั้มหลายแห่งใน จ.สงขลา อาจจะต้องปรับระบบโดยให้ลูกค้าบริการตัวเองเหมือนในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยประหยัดต้นทุน