“ยงยุทธ ติยะไพรัช” จ้อผ่านเพ็ญทีวี อ้างเหตุลาออกจากตำแหน่งประมุขนิติบัญญัติ เพราะไม่อยากเป็นเงื่อนไขให้สังคมขัดแย้ง เพ้อตกเป็นแพะการเมือง ผลมาจากการแย่งชิงอำนาจของคนสองฝ่าย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ กรองสถานการณ์
วานนี้ (8 พ.ค.) นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ในรายการ กรองสถานการณ์ ทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายอดิศักดิ์ ศรีสม ถึงเหตุผลของการลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า หัวใจสำคัญ คือ ตนอยากให้บ้านเมืองสงบ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง และอยากรักษาความสง่างามของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเอาไว้ เพราะหากประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องไปเป็นจำเลยที่ศาลในข้อกล่าวหาโกงการเลือกตั้งก็คงไม่เหมาะ
ผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณีที่มีผู้กล่าวว่า การแก้ไข รธน.จะถือเป็นการจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้ง และความขัดแย้งจะยิ่งปะทุยิ่งขึ้น เมื่อนำเรื่องการแก้ รธน.เข้าสู่สภา นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับคนที่ออกมากล่าวเช่นนั้น เพราะมันเป็นเหมือนกับการพูดในสิ่งที่ตนเห็นดีเห็นชอบแล้วก็จะทำให้คนอื่นคล้อยตามไปด้วย ซึ่งตนอยากให้มองว่าเนื้อหาสาระของ รธน.ปี 40 และ รธน.ปี 50 นั้นมันมีข้อแตกต่างกันอยู่ อยากให้คนในสังคมได้พิจารณาเนื้อหาและที่มาของ รธน.ทั้ง 2 ฉบับให้ดีก่อนว่ามีข้อดี เสียต่างกันอย่างไร ไม่อยากให้มาคิดแค่ว่าจะแก้ รธน.เพื่อยกเลิกมาตรา 327 เพื่อพรรคการเมืองของตัวเอง
ซึ่งโดยส่วนตัวตนก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 327 เพราะตนและผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนก็ไม่อยากเป็นเหยื่อทางการเมือง เพราะจะมาว่าได้ว่าเราต้องการแก้เพื่อตัวเอง แต่เมื่อเรามองไปแล้วว่าในอนาคตหากมีผู้ต้องการที่จะล้มล้างพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ก็ทำได้ง่ายโดยการหาแพะมาสักคนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ แล้วก็ฟ้องร้องให้ กกต.สอบ พอมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทำผิดก็สามารถยุบพรรคได้แล้ว เช่นเดียวกับกรณีของผม
นายยงยุทธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตอนนี้ตนคิดว่า ควรจะหาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ทุกคนยอมรับนับถือได้เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ตอนนี้ ซึ่งตอนนี้ตนก็พบแล้วและก็เคยไปพูดคุยแล้วแต่ผู้ใหญ่คนนั้นเคยบอกตนว่า ตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่ถึงที่สุดอย่างเพิ่งอ้างชื่อท่าน ดังนั้น ตอนนี้จึงไม่อยากพูดถึง
ผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณีที่วันนี้ นายยงยุทธ ไปขึ้นศาล กรณีถูกล่าวหาวากระทำผิดการเลือกตั้ง จนถูก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบแดง และกำลังต่อสู้ในกระบวนศาล ว่าหนักใจหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตนถูกฟ้อง 3 คดี คือ เป็นคดีเกี่ยวกับการนายทหารยศพลเอกฟ้องร้องตนว่ากล่าวปราศรัยพาดพิงทหารและกองทัพ และคดีที่กล่าวหาว่าตนปลอมแปลงลายเซ็นการสมัคร ซึ่งสองเรื่องนี้ตนไม่ค่อยหนักใจ เพราะคิดว่าคงผ่านไปได้ แต่เรื่องตนยังกังวล ก็คือ เรื่องที่กำนันคนหนึ่งมาเยี่ยมตน แล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐาน แล้วมากล่าวหาว่าตนเรียกมาเพื่อให้เงินซื้อเสียง ซึ่งเรื่องนี้ กกต.3 ท่านก็เชื่อว่ากำนันคนนั้นมาจริง และเจอผมจริง ก็คิดแค่นั้นแล้วให้ใบแดงเลย โดยที่ไม่ได้ฟังเลยว่ากระบวนการก่อนหน้านั้นมีการจัดฉากไว้อย่างไรกำนันคนดังกล่าวจัดฉากหรือไม่ เพราะหลังจากกำนันคนดังกล่าวกลับไปถึงบ้านก็มีนายทหารมารับไปกินข้าว ซึ่งตอนแรกก็ปฏิเสธว่าไม่มีทหารมารับ แต่วันนี้ (7 พ.ค.) เมื่อศาลไต่สวน กำนันดังกล่าวก็ยอมรับไปแล้ว เพราะมีหลักฐานชัดว่ามีทหารมารับไปจริง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนลุ้นมากพอสมควรกลุ่มแรกคือคนในพรรคก็ไหว้พระให้ตนทุกคน เพราะหากตนแพ้ในคดีนี้พรรคก็อาจการถูกยุบ ส่วนอีกฝ่ายก็คิดว่า หากตนพ้นคดีพวกเขาก็จะไม่ได้อำนาจทางการเมืองที่หวังไว้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้คดีนี้เป็น เรื่องของผลประโยชน์ และการแย่งชิงอำนาจอย่างแท้จริง
ต่อคำถามว่า ข่าวลือเรื่องการปฏิวัตินั้นคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนคิดว่าถ้าเงื่อนไขมันเกิดขึ้นจากความขัดแย้ง เช่นมีการปลุกระดม ตั้งเวทีประท้วงด่ากัน แล้วก็มีมือที่สามโจมตีสถาบันเบื้องสูงแล้วก็โทษว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำ ก็ยิ่งเกิดการให้เกิดความเข้าใจผิดจนนำมาซึ่งการเผชิญหน้ากัน ก็อาจทำให้เกิดรัฐประหารขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเงื่อนไขในเรื่องนี้ก็มีอยู่สองอย่างคือ ความขัด และกลุ่มมือที่สามซึ่งคอยจะสร้างความขัดแย้ง และตนอยากยืนยันว่า เรื่องของการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงนี้ พวกของตนไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน ต้องต่อต้านอย่างสุดที่ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็รับไม่ได้