รายการ “สนทนาประสาสมัคร” วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2551 เวลา 08.30-09.30 น.ออกอากาศสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แจงปัญหาราคาข้าวแพง พร้อมสาธยายเหตุผลต้องขึ้นราคาน้ำตาล ท้าให้บรรลัยหากได้ 500 ล้านตามที่มีคนเขียน ก่อนแว้งเหน็บ “ธีรยุทธ” ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก ตบท้ายโวยสื่อกล่าวหาคุกคาม ขู่เลิกให้สัมภาษณ์ต่างคนต่างอยู่ ยันไม่เปลี่ยนสไตล์พูด
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ สนทนาประสาสมัคร
“สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ รายการสนทนาประสาสมัคร มาพบเหมือนอย่างเคยนะครับ ท่านผู้ชมเขียนจดหมายมาถึงผมหลายฉบับ เขียนมาที่บ้านนะครับ มีรายหนึ่งบอกว่า ทำไมถึงเรียกว่า สนทนา เพราะว่าพูดอยู่ข้างเดียว อยากให้แก้ไขว่า พูดจาประสาสมัคร ฟังดูก็มีเหตุผลดี แต่ผมยังอยากจะว่า คือสนทนา ผมสนทนากับท่านอยู่ที่บ้าน ท่านทั้งหลายนั่งฟังผมสนทนา หนังสือพิมพ์เขาก็พูดจาเป็นทำนองว่า ผมพูดเอาข้างเดียว ความจริงมีคนเยอะเหมือนกันนะครับนั่งฟังผมคุย หมายความว่าผมสนทนากับท่าน และท่านส่งคำถามมา ก็เป็นอันว่าสื่อกันกลับมา ตำหนิว่าผมพูดเอาข้างเดียว รายการคนพูดข้างเดียวมีเยอะแยะไป มาว่าได้อย่างไร เป็นของธรรมดาครับ ผมก็ใช้ช่องของผมตรงนี้ ผมก็สนทนากับท่านทั้งหลาย ไม่มีปัญหาหรอกครับ
วันนี้เป็นวันฉัตรมงคล อ่านให้ถูกต้องอ่านว่า ฉัด-ตระ-มง-คน ผมเปิดพจนานุกรมแล้วครับ ไม่ใช่ ฉัด-ตระ-ระ-มง-คน แล้วไม่ใช่ ฉัด-มง-คน เฉย ๆ ฉัด-ตระ-มง-คน วันนี้เป็นวันที่ถ้าเผื่อวันธรรมดาก็หยุดราชการ วันที่ 5 พฤษภาคม คราวนี้หยุดติดต่อกัน 3 วัน แต่จริง ๆ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา วันฉัตรมงคลคือวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ ทำพิธีสรงมุรธาภิเษก ต่าง ๆ ก็เริ่มต้นวันนี้ครับวันจริง ๆ คือวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 และมีตลอดมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่ละพระองค์จะต้องมีวันอย่างนี้ อย่างรัชกาลที่ 6 ที่ผมจำได้คือวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่จำได้เพราะว่าเขาเลือกเอาวันฉัตรมงคลของรัชกาลที่ 6 เป็นวันเริ่มการแสดงละครที่หอวชิราวุธ ผมไปเป็นหัวหน้าคณะกับเขาที่นั่นด้วยถึงจำได้ วันทุกพระองค์จะมีวันของพระองค์ท่าน
ทีนี้วันนี้มีพิธีการอะไรบ้าง มี 3 วันนะครับเมื่อวานผมก็ไปเฝ้าฯ เมื่อวานนี้ 17.00 น.เมื่อวานนี้ก็มีสวดมนต์ เขาเรียกธรรมเทศนา ธรรมเทศนาเขาเรียกว่าวิเศษกถา เป็นเรื่องว่าดึงเอามาจาก คือมงคล 38 ประการจะมีว่า การไม่คบคนพาลอะไรต่าง ๆ เมื่อเช้านี้วันพระที่เทศน์ท่านก็หยิบเอามา 1 กถา และท่านก็มาเทศน์เมื่อวานนี้ เรียกว่า มงคลวิเศษกถา ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มีบังสุกุล พระที่สวดมนต์ก็รับบังสุกุล ก็จบเมื่อวานนี้ พิธีการเดี๋ยวนี้ไม่ยืดยาว แต่ว่าอัญเชิญพระโกศพระอัฐิของเจ้านาย พระมหากษัตริย์ 8 พระองค์มาตั้งข้างบน เขาเรียกว่าเริ่มต้นวันแรก แต่งกายครึ่งยศ
วันนี้ก็ครึ่งยศ วันนี้ก็มีอีกมีพิธีใกล้เคียงกัน เรียกว่าทักษิณานุประทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ และวันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายวันที่ 5 พฤษภาคม วันจริง ๆ ปกติหมายฯ จะมีว่าเช้าจะมีพิธีพระราชทานเลี้ยงพระ เวลาที่เลี้ยงพระจะแต่งเครื่องแบบ วันจันทร์จะเห็นว่าปกติขาวติดเหรียญ สำหรับท่านที่บังเอิญเป็นข้าราชการ ติดเหรียญ ๆ อะไร บางคนเอาแผงทั้งหมดที่เคยติดมาติดไว้ทั้งแผง เหรียญจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่แถบ ปกติขาวติดเหรียญ ยกมาทั้งแผงก็ได้ แต่เขาบอกมีตราอยู่หลายตราอยู่ตรงนั้น ส่วนมากจะต้องมีเหรียญเฉย ๆ เหรียญก็คือว่าเมื่อเวลาที่พระราชทานเหรียญออกมาเหรียญต่าง ๆ สมมติยกตัวอย่างว่า 2503 เสด็จพระราชดำเนินกลับจากต่างประเทศ มีเหรียญเสด็จนิวัติ เหรียญนี้เดี๋ยวนี้แพงนะครับ ราคา 20,000 กว่าบาทแล้วเวลานี้ เพราะว่าออกมาตามจำนวนจำกัดพอสมควร แต่ว่าให้ประชาชนทั้งประเทศ ใครที่เกิดในปีนั้นก็ติดเหรียญอันนี้ได้ เหรียญพวกนี้มี 10 เหรียญ สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อายุ 60 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 60 พรรษา จะมีเหรียญอะไรต่าง ๆ ออกมา พวกนี้เรียกว่าเหรียญ รวมทั้งเหรียญรัตนาภรณ์ด้วย มี 5 ชั้น ทั้งหมดนี้วันจันทร์จะแต่งปกติขาวติดเหรียญเป็นเหรียญธรรมดา ติดเหรียญตรงแผงนี้ เหรียญจริงนะครับ แต่แต่งปกติขาว ซึ่งเหมือนผิดปกตินะครับ ถูกต้องครับ
ในปีหนึ่งจะมีงานอย่างนี้สัก 3-4 งาน วันเฉลิมพระชนมพรรษาจะมีวันสำคัญเลี้ยงพระก็จะต้องปกติขาวติดเหรียญ วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็จะมีอย่างเดียวกัน และวันนี้วันฉัตรมงคล ทีนี้วันนี้วันธรรมดาวันที่ 5 พฤษภาคม หมายฯจะเป็นทรงเลี้ยงพระตอนเพล แล้วบ่ายจะมีพิธีเสด็จพระราชดำเนินที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระราชทานตราจุลจอมเกล้า ที่เขาเรียกว่าเหรียญตรา เหรียญที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ ตราก็อย่างนี้เรียกว่าตราจุลจอมเกล้า ก็พระราชทานฝ่ายหน้าฝ่ายใน ท่านเสร็จจากพระราชทานแล้วก็จะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปบนปราสาทพระเทพบิดร ธรรมดาปราสาทพระเทพบิดรจะเปิดปีละ 2 วัน เมื่อวันที่ 6 เมษายนวันจักรี ก็เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะวันหนึ่ง พอวันที่ 5 พฤษภาคม ก็จะเปิดอีกวันหนึ่ง เปิดตอนเช้า ธรรมดาพอห้าโมงเย็นก็จะหยุด เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นไปทรงสักการะสมเด็จพระมหากษัตริย์ทั้ง 8 พระองค์ ซึ่งมีพระบรมรูปหล่ออยู่ในนั้น
ทีนี้ถ้าพูดถึงตรงนี้แล้ว จะเป็นสารคดีสั้น ๆ ให้ท่านได้ฟังสักนิดหนึ่งคือว่า เวลาที่เรียกว่าตรา คืออย่างไร คือราชอิสริยาภรณ์ มีอยู่ทั้งหมด 6-7-8-9 ตระกูล ถ้าจะนับ 2 อันซ้อนกัน คือส่วนหนึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะพระราชทานให้ข้าราชการเป็นคนนำความเอาชื่อกราบบังคมทูลมาแล้วจะพระราชทาน สายสะพายทั้งหมด เหรียญตราทั้งหมดที่พระราชทาน จะทำในวันที่ 5 ธันวาคม ไม่ว่าสายมงกุฎไทย สายช้างเผือก สายจักรี สายอะไรสุดแท้แต่ทั้งหมด 7-8 สาย จะพระราชทานวันที่ 5 ธันวาคม มีอยู่สายเดียวที่เรียกว่า ตระกูลจุลจอมเกล้า ตราจุลจอมเกล้าจะพระราชทานวันที่ 5 พฤษภาคม ก็เป็นที่รู้กัน ปีนี้หมายตอนเย็นงด หมายเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปข้างบนก็งด เมื่องดแล้วก็จะคุยให้ฟังหน่อยหนึ่งว่า ปกติธรรมดาพอวันที่ 1 วันที่ 2 วันที่ 3 ก่อนวันที่ 5 จะมีข่าวมาจากสำนักพระราชวังว่าโปรดเกล้าฯ ว่าฝ่ายหน้าพระราชทานใครบ้าง ฝ่ายในพระราชทานใครบ้าง ฝ่ายหน้าคือพระราชทานผู้ชาย ฝ่ายในพระราชทานผู้หญิง ฝ่ายในพระราชทานผู้หญิงจะมีขั้นที่เรียงเป็นแถวกัน พูดปากเปล่าได้
ผมถามทางสถานีบอกมีไหมหนังสือ มาถึงก็ถามจะคุยเรื่องนี้ บอกว่ามีเป็นเทป เขาคงไม่ถ่ายเทปเรื่องนี้ไว้ ผมก็มานึกขึ้นได้ในรถว่าจะคุยเรื่องนี้ควรจะคือต้องหยิบหนังสือมาด้วยต้องเปิดให้ดูจะเห็นชัด แต่ว่าลองดูปากเปล่าแบบคำอธิบายแบบของผม พยายามอธิบายให้เข้าใจ คือว่าตราจุลจอมเกล้า ฝ่ายในคือผู้หญิง ผู้หญิงจะพระราชทานตราชั้นล่างสุดเรียกว่า จ.จ. จตุตถจุลจอมเกล้า โบสีชมพู และมีเหรียญสีทองลงยาสีม่วง คนธรรมดาถ้าได้รับพระราชทานผู้หญิงนะครับ ถ้ามีสามีจะได้เป็นคุณหญิง ถ้าได้รับพระราชทานโดยไม่แต่งงาน รับพระราชทานเป็น “คุณ” ถัดจากขั้นนั้นแล้วจะขยับไปอีกขั้นเรียกว่า ต.จ. ตติยจุลจอมเกล้า โบสีชมพูเหมือนเดิม แต่ตราจะเป็นรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ลงยามีสตาร์รอบ ๆ โบยังไม่ค่อยใหญ่เท่าไร เรียกว่า ชั้น 3 จ.จ. ชั้น 4 ชั้น 2 คือ ทุติยจุลจอมเกล้า ทั้งโบทั้งเหรียญใหญ่ขึ้น และถัดไป ท.จ.ว. ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ สายสะพายสีชมพูเส้นเดียว สายสะสายเส้นเดียวยังไม่มีอะไรเลย ก็เป็นท่านผู้หญิง ต่อไปก็พระราชทานตราอีกดวงเป็น ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ) มีเท่านั้นสำหรับฝ่ายใน ชั้น 4 ชั้น 3 ชั้น 2 2 ครึ่ง และชั้น 1 คือ ปฐมจุลจอมเกล้าฝ่ายใน
ถ้าฝ่ายหน้าคือฝ่ายผู้ชาย เขามีการสืบตระกูล สมมติว่าผมได้แล้ว ถ้ามีลูกเป็นลูกชาย ลูกชายผมจะได้สืบตระกูล เมื่อรับราชการมาพักหนึ่ง เพราะฉะนั้น ตราสืบตระกูลจะเริ่มต้นด้วยชั้น 3 เรียกว่า ตติยจุลจอมเกล้า (ต.อ.จ.) ฝ่ายหน้า แปลว่า ชั้น 3 แต่ผู้คนธรรมดาซึ่งรับสนองงานต่าง ๆ คือตรานี้เป็นส่วนพระองค์ โปรดเกล้าฯ มา ใครสนองงานทำงานต่าง ๆ พระราชทาน อันอื่น ๆ ทั้งหมด พระราชทานให้ข้าราชการเป็นคนไปจัดมา อันนี้จะทรงเลือกเองจะให้ใครอย่างไร ตราจุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า ถ้าสืบตระกูลก็เริ่มต้นที่ชั้น 3 ธรรมดา แต่ว่าคนทั่วไปที่รับพระราชทานจะเป็น 3 ครึ่งเรียกว่า ต.จ.ว. ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เป็นตราติดที่แผงติดกลางหน้าอก เป็นสีชมพูและมีเหรียญ ถัดไป ท.จ. คือทุติยจุลจอมเกล้า คล้องอยู่ในคอแล้วโผล่สายออกมาสีชมพู เป็นตรารูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ลงยา มีสตาร์เป็นแฉก คือได้คล้องคอเขาเรียกว่า ชั้น 2 ถัดไปก็ ท.จ.ว. ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ แปลว่ามีสตาร์อีกดวงตรงหน้าอก คล้องคอกับสตาร์ ถัดไปปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) ได้สายสะพายสีชมพู แต่ตอนรับพระราชทานสายสีชมพูจะพระราชทานสายสร้อยจุลจอมเกล้ามาด้วย เป็นโค้งแล้วมีโบสีขาวที่ไหล่
อันนี้จะมาพร้อมกับสายสะพาย แต่ว่ามีข้อความกำหนดไว้ว่า ห้ามใช้สายสร้อยจุลจอมเกล้ากับสายสะพานจุลจอมเกล้า ยังไงก็ลองถามสำนักพระราชวังกำหนดไว้อย่างนั้น จะใส่สายสร้อยจุลจอมเกล้าต่อเมื่อใส่สายสะพานอื่น ส่วนใหญ่จะใส่สีแดงช้าง จะได้มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ก็จะใส่ตราสายสร้อย อย่างสายอื่น สายชมพู วันไหนออกหมายฯว่าสายสะพานปฐมจุลจอมเกล้า ก็ใส่สายสะพายชมพู ไม่มีสายสร้อย แต่จะออกสายอื่น ๆ จะกำกับไว้ด้วยว่าสวมสร้อยจุลจอมเกล้า เป็นโบสีขาวที่ไหล่ ท่านคงเคยเห็น แล้วสายสะพายสีอื่น จะมีปฐมจุลจอมเกล้าอันนี้ ทีนี้จะมีเศษเล็กน้อยผมจะไม่ให้รุงรังพันเต ทั้งหมดทั้ง 2 ตระกูลทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน จะโปรดเกล้าฯ พระราชทาน จะออกมาเป็นข่าว 2-3 วัน แล้วปีนี้ใครจะได้เป็นคุณหญิง สำหรับผู้ชายถ้าสมัยก่อนนี้ตอนที่ได้ตราชั้น 3 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ส่วนมากจะได้รับพระราชทานราชทินนามต้องพูดถึงคำอีกคำ เขาเรียกว่า ยศถาบรรดาศักดิ์ ยศ ก็คืออย่างนายทหาร พันเอก พันโท พันตรี เรียกว่า ยศ ถา คือฐานะเป็นอะไร แปลว่าทำงานอะไร บรรดาศักดิ์จะเป็นชื่อบรรดาศักดิ์
ทีนี้สถานะจะเรียงว่า ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยา อย่างนี้ เวลาพระราชทานตราจุลจอมเกล้า เรียกว่า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ชั้น 3 ครึ่ง ส่วนมากจะได้รับพระราชทานเป็นเจ้าคุณ เวลาถ่ายรูปจะมีโต๊ะ มีกาน้ำ เรียกเจ้าคุณโต๊ะทอง ถัดไปทุติยจุลจอมเกล้าก็เป็นพานทอง เครื่องประดับ 6 ชิ้นไว้ข้าง ๆ ถ้าเป็นพระยาโต๊ะทอง ก็เป็นพระยาพานทอง เป็นเจ้าพระยา เป็นสมเด็จเจ้าพระยา เรียงแถวกัน แต่สมัยนี้เลิกหมด เพียงแต่ว่ายังพระราชทานอยู่ แต่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เพียงแต่พระราชทานตรา ก็เอาคร่าว ๆ ง่าย ๆ อย่างนี้แล้วกัน วันนี้ก็ไม่ได้คิดจะมาอธิบายอะไรนักหนา แต่ว่าอยากให้ได้เข้าใจเท่านั้นเองว่า สายสะพายที่รับพระราชทานตราพระราชทานในตระกูลอื่นนั้น วันที่ 5 ธันวาคม ส่วนวันที่ 5 พฤษภาคม จะพระราชทานเป็นส่วนพระองค์ออกมา ปีก่อนนั้นงด ปีที่แล้วพระราชทานวันสุดท้าย ปีนี้งดแน่นอน เพราะว่าไม่มีหมายฯ ให้เป็นความรู้เล็ก ๆ น้อยเท่านั้นเองครับ เดี๋ยวจะเรียกกันไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร
**ยันข้าวมีพอกิน
ทีนี้ถัดไปจะได้สนทนากับท่านเรื่องที่ว่าผมไปทำอะไรมาบ้างอาทิตย์ก่อนนี้ มีปัญหาเรื่องข้าวมากมาย เพราะว่าเวลามาคุยเรื่องนี้อธิบายความให้ฟัง ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์บอกมาพูดเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ไม่ต้องท่องหรอกครับ จำมัน คนที่มีความจำมาอธิบายให้ฟัง ต้องถูกดูแคลนเป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็เราอธิบายความให้ฟังได้ ท่านเชื่อไหมครับในโลกนี้มีประชากรอยู่ 6,000 ล้านคน ประชากร 6,000 ล้านคนเขาปลูกข้าว ไม่ใช่แต่ประเทศไทยปลูก ทั่วโลกปลูกข้าวได้ 600 ล้านตัน ประเทศไทยปลูกเท่าไร 30-31 เป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ท่านคิดคร่าว ๆ แต่ท่านถี่ถ้วนตามตารางเขาดู เราผลิตแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ออกมาถี่ถ้วน 4 เปอร์เซ็นต์ของโลก แต่ผมมักจะใช้ 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่า 600 ล้านในโลกผลิตมา ประชากร 6,000 ล้าน ผลิตข้าว 600 ล้าน เขาผลิตมากินกันเอง ของเราก็ผลิตมากินของเราเหมือนกัน แต่ว่าเราผลิต 30 ล้านตัน สีมาแล้วเป็นข้าวสาร 20 ล้านตัน เรากิน 9 ล้านตัน เราขาย 9 ล้านตัน แล้วเราเก็บไว้สำรอง 2 ล้านตัน เท่านี้ละครับ
ที่ขายไป 9 ล้านตันเป็นอันดับ 1 ของโลกในการขาย เห็นไหมครับ เมืองจีนก็ผลิตเยอะ อเมริกาก็ผลิต อเมริกาก็ขาย หลายประเทศขาย แต่ขายเป็นส่วนน้อยกว่าเราตั้งครึ่ง ของเรา ๆ ขายได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์ ก็เล่าให้ฟังเอาไว้อย่างนี้เพื่อจะบอกว่า วันหนึ่งคนที่เขาผลิต เขาไม่พอกินกัน ราคาก็ต้องเป็นเรื่องของอุปสงค์อุปทาน ทางจีนใต้โดนหิมะเข้า เวียดนามโดนพายุเข้า อินเดียก็โดน ของเราไม่โดน ของเราโดนเพลี้ยนิดหน่อย ในที่สุดเราก็มีข้าวออกตามปกติ ยังขายได้ตามปกติ คนอื่นไม่พอขาย เขาก็ประกาศเขาก็ไม่ขาย ก็เรื่องของเขา
ที่บอกให้ฟังอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อเวลาที่เราจะจัดการปลูกเพิ่มเติม ถูกต้องครับไม่มีอะไรเสียหาย แต่ว่าเราปลูกข้าวก็ปลูกข้าว เรามีที่ของเราปลูกอย่างอื่น ไม่มีใครปลูกในนาข้าวหรอกครับ เรื่องที่ไปปลูกมันสำปะหลัง ปลูกถั่ว ปลูกอ้อยอะไรต่าง ๆ เขามีเนื้อที่ของเขาอยู่ แต่ก็มีการตำหนิมาเป็นทำนองว่าข้าวขาดแคลนเพราะมัวไปปลูกพืชพันธุ์พรรค์อย่างนั้น ผมก็ต่อว่าไปว่าแล้วคุณขายน้ำมันราคาแพง จนกระทั่งมาปลูกเรื่องพรรค์อย่างนี้กัน เอ้าถูกตำหนิใช้ถ้อยคำไม่ดี หยาบคาบ ก็โอเคก็ว่าไป
พอเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องย้อนมาดูเรื่องข้าวทำอย่างไร ก็ปรากฏว่าข้าว คำว่าปรากฏว่า ห้ามใช้อีกเหมือนกันครับ ชอบใช้คำนี้บ่อยเกินไป เมื่อเวลาที่มีปัญหาเรื่องอย่างนี้เราจะต้องคิดหาหนทางแก้ไข เริ่มต้นคือว่าประกาศไหมว่าจะไม่ส่งข้าวออก บอกไม่ ผมใช้คำว่า “เสียเหลี่ยม” ของประเทศ ซึ่งประกาศว่าจะเป็นครัวของโลก ผลิตผลผลิตภัณฑ์ของเรา ๆ ส่งขาย ก็ไม่ต้องประกาศเพราะยังขายได้อยู่ ยังมีสำหรับจะขายอยู่ 9 ล้านเพิ่งขายไป 3 ล้าน เหลืออีก 5 ล้าน อยากขายก็ขายต่อไปก่อน ไม่ว่า ถัดไปก็เกิดปัญหาของเราก็คือว่าข้าวแพง ก็บอกว่าแพงชาวนาก็มีโอกาสได้ขายข้าว ก็กระแนะกระแหนกันเป็นทำนองว่า ไม่ได้หรอกพ่อค้าเอาไปหมด ก็บอกข้าวออกทุกวัน มีออกมาทุกวัน เขาเกี่ยวกันทุกวัน
ฉะนั้น เมื่อข้าวราคาแพงเขาก็ได้ราคาแพง ชาวนาก็ได้ราคาแพง เมื่อชาวนาขายข้าวได้ราคาแพง ก็จะบอกว่า คิดกันแรก ๆ เดือนก่อนบอกว่าถ้าอย่างนั้นเอาข้าวเรามาขายราคาถูก ถูกอย่างไร ก็ซื้อเก็บไว้ ราคาสีเป็นข้าวสารแล้ว 1,100 บาท ราคาขายข้างนอก 2,500 บาท ซื้อ 1,100 เขาขายอยู่ 2,500 จะไปขายเอากำไร ก็บอกว่าอยากเอากำไร เขาคิดทีแรก ทำข้าวถุงทีแรก จะทำข้าวถุง กิโลกรัมละ 11 บาท ถุงละ 5 กิโลกรัม ก็ 55 บาท บวกอะไรเสร็จจะขาย 70 บาท ผมบอกอย่าไปทำเอาหน้าเลย ปล่อยให้ชาวนาได้ขายของแพงบ้าง ก็คิดธรรมดา ไม่มีอะไรอื่น ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นละครับ แพงเอา ๆ ซื้อกัน เคยซื้อ 1 ก็ซื้อ 5 เคยซื้อ 2 ซื้อ 10
เอาเป็นว่าข้าวมีครับ แต่ว่าทำไม่ทัน ขึ้นไปเท่าไรครับ ขึ้นไปถุงละ 200 บาท ชักจะเกินเหตุ แล้วทำอย่างไร เราก็ประกาศเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเอาเลย เอาข้าวออกมา มีข้าวหอมมะลิอยู่ 3 แสนกว่า มีข้าว 5 เปอร์เซ็นต์อยู่ล้านกว่าตัน เอ้าทำเลย ทำข้าวถุงออกมาเลย และก็ไม่ได้ขาย 70 บาทแบบที่ว่านั่น เขาขายอยู่ 200 บาท เราก็บอกลดสัก 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ่วงน้ำหนัก สัก 170 บาท จะเอาลด 20 บาทก็สุดแท้แต่ ประกาศเท่านั้นครับวันที่ 12 พฤษภาคม ข้าวถึงจะเสร็จออกมาขายได้ 3 แสนถุงแรก ประกาศมา 2-3 วัน โวยวายกันใหญ่ เป็นทำนองทำให้ข้าวชาวนาตกต่ำ ก็ยังไม่ได้ขายจะตกต่ำได้อย่างไร ประกาศก็ตกต่ำแล้ว ข้าวที่สั่งซื้อชาวนาลด 500 บาททันทีต่อตัน แล้วถ้าข้าวหายออกมาเป็นแถว ๆ หมด รัฐบาลยังไม่ทันขายเลยบอกจะทำข้าวถุงออกมาราคาต่ำกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ออกมาวางขายกันเต็มหมดต่อไปนี้ แปลว่าอย่างไรครับ แปลว่าเรื่องพรรค์อย่างนี้ต้องมีการพูดจากันตามจังหวะจะโคน ออกมากำลังออก กำลังทำครับ ก็ขายได้กำไรไหมครับ พอได้กำไร เราขายราคาธรรมดา แทนที่จะขาย 75 บาท เราอาจขาย 145-150 บาท เขาขายกัน 200 บาท อย่างนี้จะได้ดึงราคาต่ำลงมา และเราได้ราคา เวลาเขาจะซื้อข้าวเก็บ ก็ข้าวเก่า ตั้งแต่ปี 2548 2549 2550 3 ปีมาแล้ว ก็ต้องระบายออกไปแล้วเอาใหม่เข้าไป ใหม่ก็ซื้อมาแพงชาวนาก็ได้ราคาแพง ก็เท่านั้นละครับ
**ชักแม้น้ำเหตุขึ้นราคาอ้อย
แก้ปัญหาราคาอ้อยตกต่ำยังไม่เท่าไรนะครับ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อวันศุกร์ก่อนนั้น ชาวไร่อ้อยบอกจะมาหานายกรัฐมนตรี จะยกมาที่ทำเนียบรัฐบาล ผมบอกนี่คุณอย่ามาเลยขอประทานโทษ มันเสียบรรยากาศ อยากจะเจอผม ๆ จะไปเจอ คุณจะเอาที่ไหนเลือกเอา เขาเลือกไปโคราช (นครราชสีมา) เขาเช่าโรงแรมสีมาธานี มากันพันกว่าคนเต็มห้องเลย ผมเข้าไป ก็จะไปช่วยแก้ปัญหาให้เขา ผมเป็นนักการเมืองมา ผมได้รับเลือกตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ดูสิครับ ผมอยู่ในแวดวง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าปัญหาเรื่องอ้อยเป็นอย่างไร ราคาน้ำตาล รู้อยู่กับหัวอก ผมต้องใช้คำว่า มันประหลาด ราคาน้ำตาลนะครับ ท่านลองฟังให้ดี ต้องมีเมืองนอก มีโควตา ก โควตา ข โควตา ค น้ำตาลในประเทศต้องขายแค่ 13 บาท 13 กับ 14 บาทมี 2 ราคา ขาวไม่ขาวอะไรของเขานี่แหละ ต้องขายราคานี้แพงกว่านี้ไม่ได้ ต้องดูราคาน้ำตาลนอก ต้องดูน้ำตาลจะขายเป็นน้ำตาลดิบไป
ที่ตลกคือคิดเป็นปอนด์ แล้วปอนด์ราคาเป็นอย่างไร ปอนด์ละ 3 เซ็นต์ 4 เซ็นต์ เมื่อไรน้ำตาลปอนด์ละ 7 เซ็นต์ แปลว่าน้ำตาลราคาดี ปอนด์น่ะฝรั่งอังกฤษ เซ็นต์อเมริกัน ตลกไหมครับ เสร็จแล้วก็เรียกกันอย่างนี้ คือฟังแล้วจะไม่มีวันเข้าใจเลย พ่อค้าต่าง ๆ จะต้องมีค่าเกี๊ยวค่าอะไรไม่รู้ คือคนปลูกอ้อยก็ลำบาก อ้อยแต่ก่อน 14 เดือน บางแห่งบอกว่าได้ 12 เดือนแล้ว แต่ตรวจไป 14 เดือน อ้อยปลูกแล้วจะต้องเอาเข้าโรงหีบ มันมีเหลื่อมกัน และตั้งราคาขาย ผมเคยคบกับพวกนี้ตั้งแต่ราคาตันละ 300 กว่า 400 กว่า 500 กว่า เดี๋ยวนี้ตันละ 600 ยังจะต้องมีไปกู้เงิน มีเงินมาให้กู้ กู้เพื่ออะไร กู้ให้เพิ่มราคาอ้อย ราคาเขาบอกซื้อ 600 โรงงานบอกซื้อ 600 ต้องไปกู้เงินมาเผื่อให้อีก 38 บาท 638 บาท ชาวไร่อ้อยบอกว่าเขาจะตายอยู่แล้ว ปุ๋ยก็ขึ้นแต่ก่อนนี้ถุงละ 400
เดี๋ยวนี้ถุงละ 1,100 จาก 400 เป็น 1,100 และผมก็ซักถามเมื่อรู้ถึงปัญหาแล้ว ที่ผมรู้มาแก่ใจคือว่าถ้าเผื่อน้ำตาลแพง 1 บาท ชาวไร่จะได้ 20 บาท น้ำตาลแพง 5 บาท ชาวไร่จะได้ 100 บาท เขาก็ร้องทุกข์ เขาอยากจะได้ 800 บาท คำนวณเสร็จแล้วบอก 807บาท พออยู่ได้ ถ้า 900 บาท ก็พอลืมตาอ้าปากกับเขาบ้าง แล้วถ้าอยากได้จริงอยากได้ 1,200 ผมบอก 1,200 ยังไม่ได้ แต่คุยได้ 1,200 ว่า คุณตอบคำถามผมมาสิว่าไร่หนึ่งได้เท่าไร เขาบอกว่าไร่หนึ่งเขาได้ 6 ตัน และบอกคุณเพิ่มผลผลิตทำให้ได้ 9 ตันได้ไหม เขาบอกทำได้ จะต้องใช้ระบบน้ำหยด จะต้องเปลี่ยนพันธุ์อ้อย บอกว่าเอาละรัฐบาลจะช่วยดูเรื่องน้ำ เรื่องพันธุ์อ้อย คือเขาได้ 600 ไร่ ไม่เกิน 900 คุณก็เคยได้ 800 คุณจะได้ 1,200 ก็คิดให้ฟังอย่างนี้ ไม่ได้ยืนยันว่าจะได้อย่างนั้น แต่ว่าจะต้องพัฒนาว่าเราจะต้องไปช่วยเขาเรื่องพันธุ์อ้อย เรื่องอะไรต่าง ๆ มาสอบดูจริง ๆ แล้วสามารถจะเพิ่มจาก 600 เพิ่มได้ถึง 1,200 คือเพิ่มได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้นะครับ ก็พอมองเห็นเข้าทาง แต่จะต้องช่วยเขาเรื่องพันธุ์อ้อย เรื่องน้ำ
พอเสร็จเรียบร้อยผมพูดกับเขาอยู่ 2 ชั่วโมง พูดบ่ายโมงครึ่ง สองโมงครึ่ง สามโมงครึ่ง เกือบสี่โมงเย็น เลิก อธิบายความหมด ก็ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลยครับ ตั้งใจอย่างเดียว พอตัดสินใจกลับมาท่านรองนายกรัฐมนตรีสุวิทย์ คุณกิตติ เพิ่งสั่งงานกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งดูแลเรื่องน้ำตาลอยู่ด้วย ไปพูดกับเขาวันเสาร์ วันจันทร์เขาประชุมกัน อ้อยน้ำตาลมีคณะกรรมการ ถึงวันลงตัวประชุมพอดี คุณสุวิทย์ฯ ก็เอาเรื่องนี้เข้าประชุม ที่ประชุมบอกไม่ขัดข้อง โรงงานก็ไม่ขัดข้อง ชาวไร่ก็ไม่ขัดข้อง พอเสร็จเรียบร้อยต่างฝ่ายต่างไม่ขัดข้อง แล้วทำอย่างไร วันจันทร์เขาเสร็จ ผมก็เอาเข้าวันอังคารเข้าครม. ครม.ก็ลงมติอนุญาต แต่ท่านรองสุวิทย์ฯ บอกแล้วว่าน้ำตาลเขาค่อย ๆ ทยอยขาย พ่อค้าไม่ได้ไปเก็บไปตุนไว้ เอาสั่ง freeze หมด เพราะเขาจะต้องมีการปรับราคาหมด แล้วปรับราคาเสร็จแล้ว คนขายก็จะได้เงิน คือว่ากำไรออกมาจากโรงงาน เคยกิโลกรัมละ 1.50 บาท ราคาขายปลีกกำไรอย่างนั้น แต่ก่อนเขาออกมา 14-15 บาท เขาขาย 16.50 บาท เดี๋ยวนี้จะต้องขายเพิ่มไปอีก 5.50 บาท
ผมมีเหตุผลอะไรถึงทำอย่างนั้นคือเวลาที่ข้าว เรากินข้าวหนึ่งจาน แต่ก่อน 1.50 บาท เดี๋ยวนี้เป็น 3 บาท ขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ก็พอเฉลี่ยกันได้ เพราะวันหนึ่งก็กินเท่านั้นเอง น้ำตาลยิ่งกว่าอีก น้ำตาลขึ้นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้กินน้ำตาลวันละครึ่งกิโล กินช้อนเดียว 2 ช้อนอย่างมาก ใส่กับข้าวหน่อยอะไรหน่อย แม่ค้าขายอาจจะราคาแพงขึ้นนิดหนึ่ง น้ำอัดลมก็ขึ้นแพงไปหน่อย ไม่ใช่ของจำเป็นแก่ร่างกาย แต่ทว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว แล้วชาวไร่อ้อยเขาปลูกอ้อยกันอยู่ เวลานี้เขาไปปลูกอ้อยทำเอทานอลเพื่อจะช่วยเรื่องน้ำมันด้วย มีอ้อยอยู่ 73 ล้านตัน ทำน้ำตาล 23 ล้านตัน เหลืออีก 50 ล้านตัน ก็ไปช่วยเขาเรื่องเอทานอล แต่ก่อนนี้ลิตรละ 20 บาท เดี๋ยวนี้เหลือมา 18-19 บาท ถ้าเขาขายได้ลิตรหนึ่ง 18-19 บาท เขาจะอยู่ได้ และดีกว่าเขาขายน้ำตาล ก็สนับสนุนเขา เท่านี้ละครับ
**ฉุนถูกหารับ 500 ล้าน-แช่งคอลัมนิสต์ให้บรรลัย
ไม่น่าเชื่อเลย ทำเสร็จเรียบร้อย ก็จัดการปรับปรุงเสร็จ มีหนังสือพิมพ์หน้า 3 ไทยรัฐ ชักธงรบ กิเลน ประลองเชิง อานิสงส์น้ำตาลทราย ผมไม่อยากอ่านให้เสียเวลานะครับ จะพูดเท่านั้น คือว่ากล่าวว่าผมมีส่วนได้เสียกับตรงนี้ คือหมายความว่า เขาว่าผมว่าเป็นคนไม่เต็มบาท คือพูดจากระแนะกระแหนมาผมไม่อยากจะให้มากเรื่องมากมาย ทีนี้ราคาน้ำตาลทรายเขาเกิดรู้ดีว่า ถ้าจะขึ้นราคาต้องขึ้นตอนเข้าโรงหีบ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยครับ เพราะน้ำตาลจะอยู่ที่โรงงาน มันคุมโดยโรงงาน เมื่อเขาขาย กำไรจะอยู่ที่โรงงานนั้น เขาจะต้องเอากำไรเข้าไปให้กับคน เพราะเงินกู้ 17,000 ล้าน เขาขายทันทีมีกำไรทันที เขาก็จะต้องตัดตอนเอากำไร เอาเข้าไปสะสมให้สำหรับจะต้องใช้หนี้ใช้อะไรต่าง ๆ เขามีระบบของเขา บางฉบับบอกว่ารายการนี้ผมล่อเข้าไป 500 ล้าน ไหวไหมครับอย่างนี้ นี่ตำหนิว่าผมหากินกับน้ำตาล จะอ่านตอนท้ายให้ฟังนิด เขาว่าอย่างนี้ครับ
บางคนผมจำได้ นักการเมืองชื่อดัง วันหนึ่งผมเห็นเขาทะเลาะกับไมโครโฟนขยายเสียง ที่มีปัญหาอยู่ 4 –5 นาทีแล้วก็เลิกแปลกใจ ทำไมเขาถึงทะเลาะกับใครต่อใครทั่ว ไม่เว้นกระทั่งนักข่าว อาการของนักการเมืองคนนี้ จิตแพทย์คนหนึ่งทางทีวีบอกว่าไม่น่าจะถือสา เพราะเขาบอกว่าเป็นการป่วยทางจิตแต่แสดงออกทางปาก คนที่มีอาการป่วยทางจิตอย่างนี้ สำนวนสมัยก่อนเขาเรียกว่าคนไม่เต็มบาท บางคนก็บอกสามสลึงเฟื้อง ขึ้นราคาน้ำตาลคราวนี้พูดเป็นสลึง ก็ได้ถึง 21 สลึงมากโข รัฐมนตรีอุตสาหกรรมท่านว่าผลกำไรนี้จะช่วยไปถึงชาวไร่อ้อย มีถึง 6,500 ล้านบาท แต่การแจกจ่ายมีกระบวนการขั้นตอนซับซ้อน จะถึงมือชาวไร่มากน้อยแค่ไหนก็คงต้องติดตามกันดูต่อไป การขึ้นราคาน้ำตาลทรายคราวนี้ คนเคยค้าขายทักให้ผมคิดว่า ถ้าเขาให้ชาวไร่อ้อยได้อานิสงส์ก็ต้องขึ้นตามฤดูกาลผลิตอ้อย แต่นี่มาขึ้นตอนที่น้ำตาลตกอยู่ในมือพ่อค้า กำไรทั้งหมดจึงอยู่ในมือพ่อค้า ผลงานอย่างนี้ไม่ใช่เกิดจากสมองคนไม่เต็มบาท รู้ไม่เท่ากันพ่อค้า แต่เกิดจากสมองเกินบาท หากินกับพ่อค้า งานนี้น่าเป็นห่วงจะมีหลายคนเป็นเบาหวาน ตามธรรมชาติน้ำตาลให้พลังงาน คุณอนันต์โทษมหันต์ มากเกินไปก็จะให้โทษมหันต์ นี่เขาเขียนกระแนะกระแหนอย่างนี้ แต่อีกฉบับหนึ่งบอกเลยครับ นายสมัครได้ไป 500 ล้าน แล้วเรื่องอย่างนี้คนอย่างผมจะทำอย่างไร
นี่สื่อสารมวลชนเขียนว่ากล่าวคนเป็นนายกรัฐมนตรี ว่ากล่าวว่าหากินกับราคาน้ำตาล ผมจะบอกครับว่าวิธีการของผม ผมจะต้องทำอย่างที่ผมจะต้องทำ คือใครจะว่าอย่างไรก็ว่าสุดแท้แต่ เรื่องนี้ต้องพูดกันอย่างนี้ว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ คอลัมน์นี้ เขียนว่ากล่าวผมอย่างนี้ได้ หากินกับน้ำตาล ผมก็จะต้องบอกได้เลยว่า ถ้าหากว่าผมหากินกับน้ำตาล ไปยุ่งเกี่ยวได้มาสักบาทเดียวนี้ต้องให้มีอันเป็นบรรลัยวายวอดทั้งวงศ์ตระกูล อย่าได้มีความเจริญเลยในบ้านเมืองนี้อีกต่อไปวันข้างหน้า หมดเลยครับ ให้เป็นอันบรรลัยวายวอดลงไปเลย
แต่ว่าถ้าผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปแตะต้องสักบาทเดียว ผมทำเพื่อบ้านเมืองของผม เพื่อคนที่เขาปลูกอ้อย ก็ขอให้คนเขียนคอลัมน์มีอันเป็นไปเถอะครับ ขอให้บรรลัยวายวอดไปเลย ขอให้มีอันเป็นไปเลย ถ้าผมไม่ได้แตะต้องสักบาทเดียวคนที่เขียนถึงผมในทางว่าร้ายนี้ขอให้คุณมีอันเป็น ให้บรรลัยวายวอดไปให้ทันตาเห็น รวมทั้งฉบับที่กล่าวหาว่าผมได้มา 500 ล้านด้วย ข้าวที่ทำมานี้บาทเดียวก็ไม่เคยแตะ น้ำตาลก็ทำให้ ผมบอกว่าผมทำให้ ผมไม่ได้ทำเอา แต่ว่าถ้าไม่ตัดสินใจไม่ดำเนินการแล้วจะไปทำตอนไหน ไปนั่งรอไหม ผมไม่รอหรอกครับ ผมทำให้เพราะผมรู้ว่าวงจรเขาควบคุมถึง เงินนี้เขาจะต้องจ่ายให้ทางนี้ได้ ไม่ว่าจะขึ้นราคาเวลาไหน สตางค์อยู่ที่โรงงานน้ำตาลที่เขาคุมสต๊อกกันอยู่เพราะฉะนั้นผมไม่ได้คิดอะไรอื่นหรอกครับ เพราะว่านั่งรอถึงหีบอ้อยเดือนพฤศจิกายน นายกฯ อาจจะไม่ได้ชื่อนายสมัครก็ได้
** เหน็บ “ธีรยุทธ” ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก
นี่ก็มีเวลายังพอเหลือ ผมต้องขออภัยนะครับ ใครที่บอกให้เรื่องต่อล้อต่อเถียงอะไร ผมไม่หรอกครับ แล้วบังเอิญตั้งใจไว้ว่าอย่างคุณธีรยุทธ บุญมี ที่มาวิพากษ์วิจารณ์ ว่ากล่าวมากมายก่ายกอง ผมก็ไม่หรอกครับ ผมก็ไม่ไปกล่าวหาว่าคุณธีรยุทธฯ เป็นโรคจิต ผมไม่กล้าว่าอย่างนั้นหรอกครับ ผมจะพูดแบบสำนวนไทยสบาย ๆ ธรรมดา คือคนที่พูดจาว่ากล่าวเขาข้างเดียวอย่างนี้ สำนวนโบราณเขาเรียกว่าเป็นคนประเภทละเลงขนมเบื้องด้วยปากครับ ไปดูสิครับไปที่วัดมหรรณพาราม หน้าวัดมหรรณฯ ร้านขนมเบื้อง ลองไปยืนดู ไม่เห็นจะยากเย็นเลย เอากระจาดเคาะลงไปหน่อยเละเลงไป ๆ ไม่ได้หรอกครับ แม่ค้าที่เขาละเลงมาตลอดครึ่งค่อนชีวิตเขาอย่างนั้นสิครับ ขนาดจะเอาขนาดไหน จะแผ่นเล็กแผ่นบาง ตัดอย่างไร นั่นละครับเรื่องขนมเบื้อง ถึงมีสำนวนไทยอย่างไรครับ คนที่สักแต่พูด ๆ พูดจาอย่างนั้น เขาเรียกว่าละเลงขนมเบื้องด้วยปาก คุณธีรยุทธ บุญมีก็ประเภทนี้ครับ ผมพูดถึงขนาดนั้น
ส่วนบรรดาสื่อสารมวลชนทั้งหลายที่เอิกเกริกกันใหญ่ ขอประทานโทษครับ ผมไม่ลงไปเล่นด้วยกับคุณด้วยหรอกครับ เชิญกันตามสบายเถิด ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมถึงมีความเก่งกาจ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกซึ่งแสดงความเก่งกาจ เล่นเอาวงการสื่อสารมวลชนต้องทำกิจกรรมอะไรกันต่าง ๆ เอาผมไปโขลกไปว่ากล่าวเสียหาย
**โวยโดนสื่อด่า-ยันต้องด่ากลับ
คนพวกนี้ไม่ย้อนดูตัวเองนะครับ ว่าผมมาเป็นนายกฯ 3 เดือนไปดูบทความสิ เขียนดุด่าว่ากล่าวกระทบกระแทกแดกดันผมเท่าไรครับ เขาออกเสื้อครับ เสื้อสีขาวติดป้าย ไปยืนเกาะรั้วทำเนียบฯ ถ่ายรูปกัน เหมือนกับเข้าทำเนียบฯ ไม่ได้ไปเกาะร้องเรียก ถ่ายรูปข้างหลังบอกว่า คุกคามสื่อเท่ากับคุกคามประชาชน แล้วกล่าวหาเลยว่าผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่คุกคามสื่อ ไม่เคยมียุคไหนเลยที่รัฐบาลคุกคามสื่อได้ขนาดนี้ ทำไมปากผมปากเดียวถึงเก่งขนาดนี้ ถึงทำให้วงการสื่อสารมวลชนได้ตื่นเต้นกันขนาดนี้ คุกคามนั้นต้องสั่งปิดหนังสือพิมพ์นะครับ ตำรวจจับเอาไปขังโดยไม่มีเหตุผล สั่งไม่ให้เขียนบทความ อย่างนั้นคุกคาม บอกคอลัมน์นี้ยกเลิก คอลัมน์นี้เขียนไม่ได้ อย่างนี้ปิด ปิดฉบับนี้ ๆ อย่างนั้นนะครับคุกคาม นี่ผมตอบคำถามตามแบบของผม เป็นเรื่อง ชุมนุมกัน ฟังดูแล้วน่าขำ เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
ผมไม่เคยคิดเลยครับว่าคนธรรมดาคนหนึ่งวันหนึ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็พูดจาอย่างเคยเป็น คิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น ผมเป็นคนอย่างนี้ละครับ และผมก็ไม่เห็นว่าจะเสียหาย กลายมาเป็นความเสียหาย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคุกคามสื่อ ข่าวจะต้องไปทั่วโลก คุกคามสื่อ ใช้ถ้อยคำอะไรต่าง ๆ ผมก็นั่งดู ผมเป็นคนประกาศยุติเองครับ ผมไปอ่านดูในเว็บไซต์ก็ด่าผม ใครก็ว่าอะไรต่าง ๆ ภรรยาผม ญาติพี่น้องผมก็บอกเบา ๆ อย่าไปพูด
ผมบอกโอเคอย่างนั้นผมจะเลิกพูด ผมคิดว่าไม่พูดก็ไม่มีเรื่อง ยิ่งมีอย่างนี้ยิ่งดีใหญ่ครับ ก็ไม่ต้อง ต่างคนต่างอยู่ ผมก็มีรายการของผม รายการนี้ไม่เลิกนะครับ ใครจะว่าอย่างไรจะกระแนะกระแหนอย่างไร ว่าจะให้ดีต้องเลิกรายการสนทนาประสาสมัครด้วย เลิกทำไม ก็คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาอยากฟังผม คุณไม่อยากฟังผมคุณก็ไปอยู่ที่อื่น คุณก็ไม่ต้องฟัง ผมมีเรื่องจะต้องสื่อสาร ผมต้องพูดให้ราษฎรเข้าใจว่า คุณไม่ต้องไปซื้อข้าวอย่างโน้นอย่างนี้ ข้าวมี คุณซื้อได้ 200 รัฐบาลจะเอามาขายถูกกว่าหน่อย จะได้รู้ว่าเอาเปรียบกันอย่างไร ก็อธิบายความให้ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ พูดจากันได้
รายการนี้ พูดข้างเดียว ไม่ได้อีกแล้วครับ นายสมัครใช้วิธีการสื่อสารสื่อความข้างเดียว ตลกไหมครับ รายการวิทยุออกพูดข้างเดียวไม่ได้นะครับ จะต้องพูดสองข้าง จะมีคนมานั่งซักด้วย มานั่งขัดคอกันมานั่งเถียงกันอย่างโทรทัศน์ ผมก็อธิบายความเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมไปทำอะไรมา ผมคิดอะไรจะทำอะไรอย่างไร
แล้วก็ตอบคำถาม คนต่อว่าบอกตอบคำถามน้อย ผมต้องขออภัยจริง ๆ ครับ ตอบคำถามมากตอบเมื่อไรก็มีเรื่องเมื่อนั้น ก็จ้องกันอยู่นี่ครับ ผมก็เพิ่งรู้นี่ละครับ เพิ่งรู้เมื่อวันวานนี้เอง เขาเรียกวันสื่อโลก บัน คี มูน (เลขาธิการสหประชาชาติ) ก็เขียน เขามาอ่านสดุดีเลย บัน คี มูน บอกสื่อต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เรื่องของบัน คี มูน บัน คี มูน จะยกย่องสื่อสารมวลชนไว้บนหัว บัน คี มูน ก็ช่าง แต่ผมก็บอกสื่อคุณก็ทำหน้าที่ของคุณไป ผมก็ทำหน้าที่ของผม ต่างคนต่างมีสถานะ แต่จะให้ผมไปประจ๋อประแจ๋พินอบพิเทา ผมทำไม่ได้หรอกครับ ไม่ใช่ผม แล้วสื่อก็ไม่ต้องมาอะไรกับผม ต่างคนต่างอยู่ ผมมีวิธีการ
ตอบคำถาม เขาบอกว่าผมตอบคำถามยั่วยวน ใช้ถ้อยคำดูแคลน ทำไมขนาดนั้น ทำไมคน ๆ เดียวถึงได้มีอะไรมากมายขนาดนั้น ท่านผู้ชมทั้งหลายท่านก็รู้จักผมมา ผมเป็นนักการเมืองมาค่อนชีวิต ผมก็เป็นอย่างนี้ละครับ ผมฟัดกับใครต่อใครมา ก็ทำไมใครฟัดผมได้ ผมจะฟัดกลับไม่ได้ ทำไมสื่อสารมวลชนโขลกรัฐบาล ดุด่าว่ากล่าวกระทบกระแทกแดกดันได้ แต่พอย้อนกลับไปบ้างไม่ได้ กลายเป็นนายกฯ เลว กลายเป็นคนเลว ผมว่าไม่ยุติธรรมหรอกครับ
ลองไปดูสิ 3 เดือนเขียนดุด่าว่ากล่าวผมเท่าไร กระแนะกระแหนพาดหัวอะไรต่าง ๆ ไปดูสิหลายฉบับ ไปดู พอไปว่าฉบับไหนเข้า อ้างบอกว่าไปยกย่องฉบับนั้นไม่มีคนอ่าน เลยคนได้อ่านกันใหญ่ ไม่ว่าฉบับใหญ่ที่ขายวันละล้าน หรือขายวันละ 8,000 ผมก็ต้องตำหนิได้เหมือนกัน เพราะพิมพ์ออกมา แล้วตำหนิผมออกชื่อผม ว่ากล่าวผม ผมก็ต้องตำหนิ คือนายกฯ คนอื่นจะไปประจ๋อประแจ๋พินอบพิเทายกไว้ ก็แล้วแต่ ผมก็ไม่ห้ามนี่ครับ
ใครจะเอาใจสื่อใครจะยกย่องสื่อ ผมไม่ได้ห้าม แต่ผมไม่ได้เหยียบย่ำนะครับ ผมก็ให้เกียรติ บอกพูดจาไม่มีหางเสียง ก็อย่างนี้พูดอย่างผมจะทำอย่างไร จะให้เปลี่ยน “หรือคร้าบ เป็นอย่างไรคร้าบ วันนี้ คร้าบ ๆ ๆ ๆ อย่างนั้นหรือคร้าบ อ๋อคร้าบ” สองคำก็ครับสามคำก็ครับ
ผมเป็นคนหลวม ๆ อย่างนี้ละครับ ผมไม่ครับตลอดหรอกครับ ทำไมถึงจะต้องอย่างนั้นละครับ ทำไมถึงจะต้องไปเปลี่ยนแปลงท่าที พอเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องนั่ง ขาต้องหุบพับมือต้องวางสองข้างหรือ พูดจาต้องจีบปากจีบคอ ไม่หรอกครับ ผมเป็นคนปกติธรรมดา แต่ใครจะว่าผมไม่เต็มบาท สองสลึง ถ้าผมว่าคุณบ้างจะว่าอย่างไร ถ้าผมย้อนเข้าไปบ้างคุณจะว่าอย่างไร เดือดร้อนทันที แต่ว่าหนังสือพิมพ์ว่าใครดุด่าใครได้ แต่เขาย้อนเอาบ้างไม่ได้
ก็ตอบคำถามกล่าวหาผม เมื่อวานกล่าวหาผมรุนแรง ก็เลยดีเลย ก็ไม่ต้องพูดจากัน ผมพูดข้างเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกไปเลย ถาวรไปเลย วันอังคารวันศุกร์ ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมก็มีที่พูดของผม ไม่เป็นปัญหา ไม่เสนอข่าวผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมก็ทำงานให้บ้านเมืองผม เอาเท่านี้ครับตั้งใจจะไม่ตอบโต้อะไร แต่บอกว่าอย่านึกว่าผม คุณทำตามสบายเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผมก็แล้วกัน ถึงเวลาตอบคำถามหน่อย ต้องพยายามระมัดระวัง ตอบไม่ได้มีเรื่องเลยนะครับ
คำถาม : ข้าว เรื่องพ่อค้าส่งออกกับรัฐบาลมีแนวทางในเรื่องข้าวส่งออกเหมือนกันหรือเปล่า หรือขัดแย้งกันเรื่องราคา
ก็อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ครับ พ่อค้าเขาอยากได้ราคาดี คนบริโภคก็อยากได้ราคาถูก รัฐบาลมีข้าวสำรองอยู่ก็เอาไปถ่วงน้ำหนักไว้หน่อย แล้วก็จะซื้อของใหม่เข้าไปเก็บไว้
คำถาม : อยากให้นายกฯ จัดรายการนี้ในต่างจังหวัดบ้าง
นี่ออกอากาศทั่วประเทศนะครับ ทั่วประเทศครับกรมประชาสัมพันธ์ หมดเลยครับทั่วหมดช่อง 11 จะไปต่างจังหวัด วันไหนไปงานต่างจังหวัดพอดีกลับมาไม่ได้ ก็จะมีอยู่ 8 สถานีครับ ผมถามไว้หมดแล้ว ที่ลำปางก็มี ขอนแก่นก็มี อยู่จังหวัดไหนก็ไปจังหวัดนั้น ออกอากาศเวลาเดียวกันเลยครับ ส่งมาได้เหมือนกัน ผมต้องการให้สด ๆ
คำถาม : ขณะนี้น้ำมันแพงมาก ควรเหลื่อมเวลาทำงานเพื่อแก้ปัญหารถติด หรือให้ลดวันทำงาน เพิ่มชั่วโมงทำงาน เช่น วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีทำงาน 9 – 10 ชั่วโมง
ก็เอาละครับผมอ่านให้ฟังแล้ว คนที่เกี่ยวข้องลองคิดดูหน่อยแล้วกัน
คำถาม : อยากให้รัฐบาลซื้อข้าวจากชาวนาราคายุติธรรม ไม่กดราคาเหมือนคนกลาง
ไม่กดแน่นอนครับ เขาประกาศซื้อราคา 13,000 – 14,000 บาท ไม่กดหรอกครับ
คำถาม : อยากให้นายกรัฐมนตรีพูดนโยบายทำงานเป็นระยะ ๆ
ทำงานก็พูด อธิบายให้ฟังครับ แต่บ้านเมืองต้องพูดกันเรื่องอื่นบ้างครับ มางาน ๆ อย่างเดียวแล้วจะมีใครฟังละครับ ผมก็ต้องการให้คนฟังรายการนี้ ต้องมีเล่าเรื่องนี้ ๆ บ้าง วันหลังผมจะเปิดรายการ มีคนเขาบอกพูดจาอย่างโน้นอย่างนี้ วันหลังผมจะเปิดรายการสนทนาเรื่องภาษาไทย เปิดรายการมาก็คุยเลย เอากันตั้งแต่อักขระวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ เล่าให้ฟังเลยครับว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะบอกบรรดาหนู ๆ ทั้งหลายที่ไม่เอาใจใส่ ที่คนไม่ชอบเรียนคัดไทย คนไม่ยอมอ่านไทย คนไม่เขียนไทย คนไม่เรียงความ คนไม่ย่อความ ภาษาไทยของเรา ผมนี่ละครับ ไม่ใช่ครูภาษาไทย แต่ผมสนใจภาษาไทย อย่างนี้คุยได้ แต่ก็คุยได้สักหนเดียว ก็ต้องเป็นเรื่องอื่นอีก
คำถาม : ขอให้รัฐบาลช่วยลดราคารถเมล์หรือยานพาหนะอื่นให้นักเรียนและนักศึกษาในเครื่องแบบ ลดครึ่งราคาเพื่อช่วยค่าครองชีพผู้ปกครอง ได้รู้คุณค่าของเศษสตางค์
จะบอกให้ฟังอย่างนี้ครับ การลดราคานี้ทำได้ แต่ทว่าต้องไปอุดหนุนเขา การที่ลดราคา ให้ราคาเป็นปกติแล้วให้มีรายได้ให้คุ้มค่า อย่างนี้จะเลือกหนทางนี้ดีกว่า ผมจะบอกให้ฟังเท่านั้นเองว่า ผมจะทำงานที่รัฐบาลอื่นเขาไม่เคยทำ ผมจะทำในสิ่งที่ราษฎรจะได้ประโยชน์ แต่ผมไม่นิยมการเอามาโฆษณาหาความนิยมก่อน พูดอย่างนี้เป็นนัย ๆ ให้รู้ไว้ครับ คือแทนที่จะไปลดราคานั้น ไปเพิ่มรายได้ดีกว่า กำลังดำเนินการอยู่ครับ
คำถาม : ขอให้เปิดมีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ขณะนี้ปิดมา 2 ปีแล้ว นายจ้างประกอบการส่วนใหญ่เดือดร้อน
อันนี้ละครับ เดี๋ยวนี้เมืองไทยก็โก้หรูหราครับมีคนต่างชาติมารับขึ้นทะเบียน ที่จริงก็น่าเห็นใจตรงที่ว่า เขาบอกว่าตำรวจชอบเอา ก็รู้ว่าบ้านนี้มีคนที่ไม่ขึ้นทะเบียนก็เอาขึ้น ขึ้นมอเตอร์ไซค์ เอาหมดครับนายโน้นนายนี้เอาหมด แล้วก็ปล่อยกลับมา สถานการณ์อย่างนี้ถ้าขึ้นทะเบียนแล้วมีบัตร ก็ไปรีดไถอย่างนั้นไม่ได้ ขอรับเอาไปคิดดูครับมัน มากเต็มทีแล้วเรื่องพรรค์อย่างนี้ ผมจะต้องให้คนที่เขามาช่วยผมคิด ผมจะตัดสินใจตรงนี้เองไม่ได้หรอกครับ คือมีเหตุผล ที่เรียกร้องมานี้มีเหตุผลพอฟังได้
คำถาม : ช่วยเรื่องความสะอาดของบ้านเมือง รถเก็บขยะชอบปล่อยน้ำทิ้งเหม็นเน่าไว้ตลอด มีอะไรที่ช่วยเก็บขยะ ปล่อยน้ำเหม็นเน่า
เรื่องนี้คนที่ดูแลเขาเป็นผู้ว่าฯ ครับ ผมจะบอกเขาให้ แต่ผู้ว่าฯ เขาคงจะ ไม่ต้องล่ะ เพราะว่าพอรู้จักกับคนที่ดูแล พวกดูแลรถขยะนี้ ผมจะติดต่อเขาเลยเรื่องนี้ มันเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ รถมันผุ น้ำก็ไหล ธรรมดาป้องกันได้ เอารถเข้าไปเขามียาง seal เขามีวิธีการครับ เรื่องนี้รับจะไปช่วยดูให้
คำถาม : ขอให้นายกฯ อย่าลืมขึ้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อย
ไม่ลืมหรอกครับ มีคนเขียนจดหมายมาน่าสงสารจริง ๆ เขาเรียกว่าลูกจ้างชั่วคราว ฟังดูแล้วได้เงินเดือน 4,100 บาท กรรมกรได้ 6,000 นะครับ วันละ 200 บาทได้ 6,000 บาท แต่ลูกจ้างชั่วคราวรับราชการมีอยู่ 100,000 กว่าคนได้เงินเดือน 4,100 บาท แล้วเวลาที่เขาขึ้นกันก็ไม่ได้ขึ้น เรื่องนี้หมอเลี้ยบ (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) กลับมาผมจะจัดการพูดจาให้รู้เรื่องกัน มันเกินเหตุไปนะครับ มันแย่จริง ๆ
คำถาม : ขอให้ส่งข้าวธงฟ้าไปขายลพบุรีด้วย
เขาส่งไปทั่วไปครับ 2 –3 วันเราไม่ต้องส่งไปก็มีคนเอาออกมาขายครับ
คำถาม : ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 4 เปอร์เซ็นต์น้อยไป ขึ้นน้อยกว่าผู้ใช้แรงงานเพราะค่าครองชีพปัจจุบันสูงมาก
อยู่ที่ฐานครับ ผู้ใช้แรงงานสมมตินะครับเขามี 200 บาท เขาได้ไปอีก 9 บาท ก็เป็น 209 บาท 200 นี้ถ้าเผื่อว่า 10 เปอร์เซ็นต์ก็ 20 บาท 5 เปอร์เซ็นต์ก็ 10 บาท เขาได้ขึ้น 9 บาทก็ขึ้นไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ เห็นไหมครับ แต่ทีนี้ข้าราชการเวลาถ้าขึ้น ถ้าขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ สมมติข้าราชการได้เงินเดือน 10,000 บาท 10 เปอร์เซ็นต์ก็ 1,000 บาท ขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ก็ 400 บาท ถ้าคิดกันเป็นเดือน ทางเขาได้ 9 x 4 = 36 เขาก็ได้ 360 ราชการได้ 400 นี่พูดถึงคนเงินเดือน 10,000 นะครับ เพราะฉะนั้นก็ดูตามสภาพที่เขาคำนวณ เขาคงมีอัตราการคิดของเขา
คำถาม : ให้รัฐบาลนำผลงานทุกกระทรวง แต่ละอาทิตย์ว่าทำอะไรบ้าง ประชาชนได้ทราบบ้าง
รายการกรองสถานการณ์ช่องนี้ เดี๋ยวนี้ไปอยู่ดึกหน่อยประมาณ 5 ทุ่ม แต่ละกระทรวงเขาก็ไปออกครับ แล้วจริง ๆ เขาก็มีสถานี เขาชอบใคร ๆ เขามีครับรายการ เขาชอบพรรคการเมืองไหนเขาก็พานักการเมืองไปดู ไปเที่ยว เมื่อคืนนี้ผมก็ดูรายการ อย่างนั้นก็มีครับ ก็สุดแท้แต่ โทรทัศน์เป็นเสรีครับ ใครจะเชียร์ใครอย่างไร แต่ว่าช่องนี้เขาต้องเอาราชการมาออก เขาก็จะมีคนมาชวนนั่งคุย
คำถาม : โครงการน้ำที่ผลิตใช้ได้ตลอดเวลา...ได้กำหนด
ได้ครับ หลังวันที่ 8 จะเริ่มประชุมครับ เล่าให้ฟังก่อนกำลังดำเนินการอยู่ครับ ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้วครับแต่ต้องรอนิดหนึ่งครับ
คำถาม : ขอทราบความคืบหน้าโครงการเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่ซอยอยู่วิทยา 6 หนองจอก ปีที่ 6 แล้วยังอยู่ไม่ได้ เดือดร้อนมาก
นี่เป็นหน้าที่ของผม ผมจะไปดูให้ เรื่องนี้เป็นของชอบ คือเรื่องที่อยู่อาศัยที่ทำไว้ไม่เข้าท่าอย่างไรผมจะตามไปดู และในขณะเดียวกันจะมีโครงการนี้ต่อไป แต่จะเลือกสถานที่ให้เข้าท่าเข้าทีหน่อย ให้อยู่ตรงที่รถขนส่งมวลชนจะผ่าน ตอนนี้ครับเรื่องนี้ถ้ามีเวลาดำเนินการผมดำเนินการแน่ เพราะว่าเข้าใจเรื่องนี้ว่าควรจะอยู่ตรงไหนอย่างไร และต้องอยู่ได้ พอที่จะอยู่ คือหมายความว่า แบบการเคหะฯ 32 ตารางเมตร ไม่เห็นด้วย อย่างน้อยต้อง 2 ห้องนอน ต้องมีบริเวณมากกว่า
คำถาม : ความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีแดง จะขยายถึงธรรมศาสตร์ รังสิต หรือไม่
ถึงแน่นอนครับ จริง ๆ ถึงอยุธยา สายนี้ 43 เดือนได้ใช้ ลงมือเขาประมูลแล้วครับ
คำถาม : ให้ท่านนายกฯ ช่วยดูบัญชีเงินเดือนทหารกับพลเรือน เมื่อไรจะปรับให้เสมอภาคกันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แล้วนี่ทหารเป็นคนร้องหรือเปล่า เดี๋ยวก่อน ขอให้ท่านนายกฯ ช่วยดูบัญชีเงินเดือนทหารกับพลเรือน เมื่อไรจะปรับให้เสมอภาคกันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นี่แปลว่าทหารเขียนถึงผมนะครับ ผมจะไปดูให้ ทำไมไม่ได้เท่ากัน เป็นข้าราชการเหมือนกัน
คำถาม : ขอให้มีการปันส่วนข้าวสาร น้ำตาล ตามความจำเป็นแบบเดียวกับปี 2485
กรุณาอย่าไปถึงขนาดนั้นละครับ คำว่าปันส่วนแปลว่าไม่มีพอครับ ไม่ต้องครับ เรามีพอครับ
คำถาม : อยากให้รัฐบาลสร้างห้างขายของถูก แข่งขันกับโลตัส บิ๊กซี ได้เงินเข้าประเทศ
ถึงป่านนี้ไม่ได้หรอกครับ ราชการทำอย่างนั้น คือเรื่องนี้มาถึงป่านนี้แล้วครับ ไปคิดทำอะไรเทียบเคียงอย่างนั้น ผมจะคิดอย่างอื่นแล้วกันครับ ขอความกรุณาหน่อย ยังตอบตรงนี้ทันทีไม่ได้
คำถาม : เห็นด้วยที่ข้าวขึ้นราคาเพื่อชาวนาไม่ต้องทำงานในเมือง อยากเป็นกำลังใจให้
ครับ ๆ ขอบคุณครับ
คำถาม : ชอบที่ว่าติดดิน ..... เพียงแต่ว่าอย่าใช้อารมณ์โกรธโต้ตอบ
ธรรมดาผมไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่ว่าทำเสียงให้เขาเห็นว่าผมทำเสียงอย่างนี้ ต้องย้อนถาม บางทีถามไปหัวเราะไปก็ได้ ถามไปเสียงดังหน่อย ตามธรรมดาผมก็คนธรรมดาครับ
คำถาม : อย่าทำให้เป็นภาพลบแก่ตัวท่าน นายกฯ รักษาสุขภาพ ไม่ให้สนใจสื่อ
ครับ ๆ กำลังใจตรงนี้เยอะ ไม่ต้องอ่านนะครับ เป็นกำลังใจ ขอประทานโทษนะครับ ท่านกำลังใจทั้งหลายไม่ต้องอ่าน
คำถาม : อยากทราบวิธีการที่นายกฯ จดจำข้อมูลได้แม่นยำ วิธีพูดในรายการมีข้อมูลชัดเจน
เขาตำหนินะครับ บางทีเขาบอกว่าใช้ข้อมูลมั่ว แต่ผมยืนยันกับท่านว่าผมไม่มั่ว เพราะว่าผมจำเรื่องต่าง ๆ ได้ ก็เป็นความบังเอิญเฉพาะตัวครับ ถ้าเป็นทางการเขาบอกเป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ถ้าใครจะเลียนแบบก็ได้เรื่องนี้ อันนี้ไม่ห้าม
คำถาม : เสนอข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข. สามารถกู้เงินด้วยตัวเองได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผมจะลองดูให้ กบข. เขาแข็งแรงนะครับ เขาเป็นหน่วยงานที่ค่อนข้างจะน่าสนใจมากครับ
คำถาม : ขอทราบว่าสื่อมวลชนมีอภิสิทธิ์ใดทำไมถึงถูกวิจารณ์บ้างไม่ได้ คุณอำนาจฯ จาก กทม.
ครับ ๆ
คำถาม : ขอให้นายกฯ พิจารณาเรื่องประกันสังคม รายได้กว่า 15,000 บาท
ครับ คือเรื่องการอะไรต่าง ๆ นี้กำลังสนใจที่จะให้มีหลักประกัน เรื่องป่วย เรื่องไข้ เรื่องอะไรต่าง ๆ คือถ้าเราทำให้เขาถูกที่ถูกทาง จะเสียน้อยและเขาก็ควบคุมดูแลเรา งานนี้ละครับต่างชาติเขาใช้กันอยู่ แต่ประเทศไทยไม่ค่อยใช้
คำถาม : ฝากเรื่องปุ๋ยทำอย่างไรจะนำเข้าราคาถูก
กำลังดำเนินการอยู่ครับ
หมดเวลาแล้ว วันนี้ตอบคำถามแบบไม่มีเรื่องครับ เขาว่ารายการก็พอใช้ได้ ขอเรียนนะครับว่ารายการนี้ยังจะคงมีอยู่ต่อไป แม้จะพูดเพียงข้างเดียว แต่ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับท่านผู้ฟังที่อยู่ทางบ้าน เป็นหน้าที่ของคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลจะต้องได้มาพบ มาพูดจาชี้แจง และเมื่อไรถ้ามีใครทำอะไรไม่ดีไม่งามก็ต้องพูดกันในรายการนี้ครับ แต่ที่ไม่ได้ไปตอบโต้สื่อสารมวลชนรุนแรงก็เพราะว่าพอรับได้ครับ เขาวิพากษ์วิจารณ์ก็เหมือนกระจกเงาซึ่งส่องให้เราดู แต่ว่าถ้าเราจะหัวเราะบ้างก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร คือไม่เคยคิดเลยครับว่าคน ๆ เดียวจะทำให้วงการสื่อสารมวลชนมีการประชุมอะไรกันเอิกเกริก และทำนิทรรศการอะไรถึงขนาดนั้น วันนี้เวลาหมดแล้วครับ อาทิตย์หน้าพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ