ขณะนี้ถือว่า คดี “3 อดีต กกต.จัดเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้พรรค ทรท.” เดินมาได้ครึ่งค่อนข้างทางแล้ว หลังศาลอุทธรณ์วันนี้ (24 เม.ย.) ยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 4 ปี เหลือเพียงหลังจากนี้ ศาลฎีกาจะยืนตามศาลอุทธรณ์หรือไม่? แต่เนื่องจากอดีต กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ได้สร้างผลงานเอาใจ ทรท.ไว้มาก จึงยังมีอีก 1 คดีที่ศาลอุทธรณ์จะตัดสินในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ว่า จะยืนตามศาลชั้นต้นเป็นคดีที่ 2 หรือไม่? นั่นคือ คดีที่อดีต กกต.ทั้งสาม “ประวิงเวลา-ยื้อเวลาสอบพรรค ทรท.จ้างพรรคเล็ก” ซึ่งศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ...ก่อนถึงนาทีตัดสิน เราลองมาย้อนพฤติกรรมฉาวของอดีต กกต.ทั้งในคดีดังกล่าวและคดีที่ตัดสินไปแล้วในวันนี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่วันนี้ (24 เม.ย.) ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก 3 อดีต กกต. คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และ นายวีระชัย แนวบุญเนียร คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ 42 อันเป็นผลจากการที่อดีต กกต.ทั้งสามได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.หลายรอบ และเปิดให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ 20% เวียนเทียนลงสมัครซ้ำได้และให้ลงสมัครข้ามเขตได้ ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 อดีต กกต.ดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2549 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ย่อมแสดงว่า พฤติกรรมและพยานหลักฐานชัดเจน-แน่นหนาจน กกต.ดิ้นไม่หลุด ลองมาย้อนกลับไปดูกันว่า 3 อดีต กกต.มีพฤติกรรมช่วยพรรคไทยรักไทยขนาดไหน ถึงต้องมาพบจุดจบแบบนี้
คงยังไม่ลืมว่า ในการเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ได้สร้างผลงานหลายอย่างที่ส่อว่า ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนทิศคูหาลงคะแนน ทำให้บุคคลที่ไปรอใช้สิทธิ และบรรดาหัวคะแนนพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคไทยรักไทย และกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่มีตัวแทนจากพรรคไทยรักไทยรวมอยู่ด้วย สามารถสังเกตเห็นได้ว่า ผู้ใช้สิทธิลงคะแนนในช่องใด แต่ พล.ต.อ.วาสนา ก็ออกมาสวนกลับด้วยการด่ากราดสื่อว่า เพราะสื่อจิตวิปริต ไปซูมภาพ ถึงได้เห็นว่าใครกาช่องไหน พร้อมอ้างว่า การเปลี่ยนทิศคูหา ก็เพื่อป้องกันผู้ใช้สิทธิทุจริตนำโทรศัพท์เข้าไปถ่ายรูปบัตรลงคะแนนและเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้สิทธินำบัตรปลอมเข้าไปใช้สิทธิ ส่วนการติดรูปและหมายเลขผู้สมัครไว้ในคูหาเลือกตั้ง ทั้งที่หน่วยเลือกตั้ง 280 กว่าหน่วยมีผู้สมัครพรรคไทยรักไทยลงสมัครแค่พรรคเดียวนั้น กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ก็อ้างว่า ติดรูปให้ดู เพราะกลัวผู้ใช้สิทธิจำผู้สมัครไม่ได้!?!
ที่ร้ายกว่านั้น ก็คือ หลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.เมื่อได้ ส.ส.ไม่ครบ 500 เพราะยังมีถึง 38 เขตใน 15 จังหวัด ที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 20% จึงไม่ได้เป็น ส.ส.แทนที่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยลงคะแนนใหม่เท่านั้น เพื่อยืนยันว่า ประชาชนไม่เลือกผู้สมัครพรรคไทยรักไทยคนนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่? กลับเปิดรับผู้สมัครใหม่ เพื่อให้มีผู้สมัครพรรคเล็กมาลงแข่งกับผู้สมัครพรรคไทยรักไทย จะได้เลี่ยงเกณฑ์ 20% ไม่แค่นั้น กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ยังให้สิทธิพรรคไทยรักไทยเปลี่ยนตัวผู้สมัครมาแทนคนเก่าที่ได้คะแนนไม่ถึง 20% แถมยังให้ผู้สมัครคนใหม่ของพรรคไทยรักไทยใช้เบอร์เดิมเบอร์ 2 ต่อไปได้ ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรายใหม่ ซ้ำร้าย กกต.ชุดดังกล่าวยังมีหนังสือเวียนให้ กต.เขต 38 เขต รับผู้สมัครพรรคเล็กที่เคยสมัครในเขตอื่น ให้ย้ายเขต-ย้ายจังหวัดมาลงสมัครในเขตใหม่ได้อีก หรือการเวียนเทียนลงสมัครนั่นเอง การปล่อยให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครดังกล่าว ถือว่าเป็นความผิดอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้านั้น ศาลฎีกาก็เคยพิพากษาแล้วว่า ผู้สมัครไม่สามารถสมัครข้ามเขตได้ กรณีที่ กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลในเขตเดิม ส่งผลให้ กกต.ชุดดังกล่าวหน้าแตกไปตามๆ กัน
พฤติกรรมที่ตอกย้ำว่า กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา จัดการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นกลาง แต่เอนเอียงเข้าข้างพรรคไทยรักไทย ไม่เพียงปรากฏชัดจากการเปิดรับสมัครใหม่รอบสอง และอนุญาตให้ผู้สมัครพรรคเล็กเวียนเทียนลงสมัครเพื่อเป็นคู่แข่งกับพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่การเปิดรับผู้สมัครใหม่ ยังเปิดหลายรอบและกระชั้นชิดกับวันเลือกตั้งมาก เช่น ที่ จ.สงขลา เปิดรับสมัคร 2 รอบ คือ วันที่ 8-9 เม.ย.และ 19-20 เม.ย.เพื่อเลือกตั้งในวันที่ 23 เม.ย.ซึ่งการเปิดรับสมัคร 2 วันก่อนเลือกตั้ง ย่อมส่งผลให้ กต.เขตไม่มีเวลาตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร หรือหากตรวจสอบแล้วผู้สมัครรายใดขาดคุณสมบัติและถูกตัดสิทธิ ผู้สมัครรายนั้นก็ไม่มีเวลาพอที่จะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ทัน
ทั้งนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า หาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงมีพระราชดำรัสผ่านตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรมเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2549 ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีพรรคเดียว คนเดียวลงสมัคร และทรงฝากให้ศาลช่วยหาทางออกเพื่อคลี่คลายวิกฤตเลือกตั้งครั้งนั้น กระทั่งศาลปกครองได้มีคำสั่งระงับการเลือกตั้งใหม่รอบ 3 แล้วละก็ เราคงได้เห็น กกต.ชุดนี้เดินหน้าจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่รอบ 3 ใน 14 เขตที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยยังได้คะแนนไม่ถึง 20% ในวันที่ 29 เม.ย.แน่ เพราะ กกต.อุตส่าห์ฝ่ากระแสต้านด้วยการเปิดรับสมัครใหม่เพื่อเลือกตั้งใหม่รอบ 3 ในวันที่ 26-27 เม.ย.แล้ว
แต่ กกต.อย่าง พล.ต.อ.วาสนา ก็หาได้สำนึกว่า ตนได้จัดการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเพื่อเอื้อต่อพรรคไทยรักไทยหรือไม่ กลับออกมาพูดสวนกระแสพระราชดำรัส ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเข้าข่ายดูหมิ่นพระราชดำรัสอย่างชัดเจน
“บอกว่า การเลือกตั้งลงคนเดียวไม่ประชาธิปไตย ใช่มั้ยครับ แล้วไปเขียนกฎหมายไว้ทำไมล่ะครับในมาตรา 74 ให้สมัครคนเดียวได้ เขียนสมัครคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ 20% ต้องเลือกตั้งใหม่ เขียนไว้ทำไม? ผมเขียนหรือใครเขียน? กฎหมายมาตรา 74 ใครเขียน ผมเขียนเรอะ? แล้วบอก เลือกลงคนเดียวไม่ประชาธิปไตย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด น่าเสียดาย น่าเสียใจนะครับท่าน บางคนมีความรู้ทางกฎหมายอย่างดี บางคนเรียนสูงกว่าผมอีกครับ จบ ดร. เวลาเอากฎหมายมาพูด ก็เอาบางตอนมาพูด เอาบางประโยคมาพูด เอาบางวรรคมาพูด ไม่พูดให้หมดหรอกครับ แล้วก็แปลความกฎหมายไร้จิตวิญญาณของนักกฎหมาย”
ไม่ว่าคำพูดของ พล.ต.อ.วาสนา ในวันนั้น จะตั้งใจปกป้องพรรคไทยรักไทย จนลืมไปว่าอาจเข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่ผลแห่งการพูดไม่ได้คิดในวันนั้น ก็ได้นำไปสู่การถูกประชาชนที่จงรักภักดีแจ้งความหลายท้องที่หลายจังหวัด ว่า พล.ต.อ.วาสนา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น นายนิติ แก้วปลายคลอง ชาว จ.นครศรีธรรมราช แจ้งความไว้ที่ สภ.อ.ปากพนัง, นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ แจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน และกลุ่มเรารักสงขลา แจ้งความไว้ที่ สภ.อ.หาดใหญ่ เป็นต้น
นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ก็จบลงด้วยการถูก นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องต่อศาลอาญาว่า 3 กกต.ดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดทั้งในแง่กฎหมายอาญาและกฎหมาย กกต.ฐานจัดเลือกตั้งหลายรอบและเปิดให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครซ้ำได้และลงสมัครข้ามเขตได้ ส่วน พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ซึ่งเป็น 1 ใน กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เช่นกันนั้น โชคดีไปที่แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกก่อน นายถาวร จึงได้ถอนฟ้อง ส่วน 3 กกต.อย่าง พล.ต.อ.วาสนา-นายปริญญา-นายวีระชัย ในที่สุด ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็เห็นพ้องให้จำคุก 3 อดีต กกต.ดังกล่าวคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี หลังจากนี้ 3 อดีต กกต.ดังกล่าวจะสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
นอกจากคดีดังกล่าวแล้ว ยังมีอีก 1 คดี ที่อดีต 3 กกต.ดังกล่าวถูก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องต่อศาลอาญาเช่นกัน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 157 และปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่พรรคการเมืองตามมาตรา 24 และ 42 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 จากกรณีที่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนามีอาการประวิงเวลา-ไม่จัดให้มีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ให้ครบทุกขั้นตอนและโดยเร็ว เพื่อชี้มูลความผิด
โดยที่มาของคดีนี้ ก็คือ หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศยุบสภาเพื่อหนีปัญหาตัวเอง ทั้งที่สภาไม่ได้มีปัญหา แถมจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างกระชั้นชิด ส่งผลให้ 3 พรรคร่วมฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์-ชาติไทย-มหาชน บอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยจึงเป็นพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียวที่ส่งผู้สมัคร และหากเขตใดมีผู้สมัครเพียงคนเดียว ไม่มีคู่แข่ง กฎหมายกำหนดว่า ผู้สมัครรายนั้นต้องได้รับเลือกด้วยคะแนนไม่ต่ำกว่า 20% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงจะได้รับการรับรองเป็น ส.ส.ซึ่งพรรคไทยรักไทย ย่อมคาดหมายได้ว่า ตนอาจประสบปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของไทยรักไทย
ไม่มีใครรู้ว่าพรรคไทยรักไทยจะแก้ปัญหาเรื่องเกณฑ์ 20% อย่างไร แต่มีข่าวเข้าหูพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคไทยรักไทยมีการจ้างพรรคเล็กเพื่อให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อที่ผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยจะได้มีคู่แข่ง ต่อให้ได้คะแนนไม่ถึง 20% ก็สามารถเป็น ส.ส.ได้ นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อติดตามเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ซึ่งปรากฏว่า มีผู้สมัครพรรคเล็กหลายพรรคติดต่อขอให้ข้อมูลกับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ทางด้านผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ นายไทกร พลสุวรรณ ก็ร่วมกับเพื่อนลุกขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งภายหลัง นายไทกร ได้มอบข้อมูลพยานบุคคลและพยานหลักฐานให้พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อ เพราะเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถคุ้มครองพยานได้ดีกว่าตน
ซึ่งในที่สุด นายสุเทพ ก็ได้นำข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ร้องต่อ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ให้สอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก แต่ กกต.ก็ทำเหมือนอ้อยอิ่งไม่อยากสอบเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อทนกระแสผลักดันให้สอบเรื่องจ้างพรรคเล็กไม่ไหว กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบในที่สุด โดยให้นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกา เป็นประธาน
แต่ปัญหาก็คือ เมื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนแล้วเสร็จ และเสนอให้ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนาแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้บริหารพรรคไทยรักไทย และผู้เกี่ยวข้องกรณีจ่ายเงินจ้างพรรคเล็ก ประกอบด้วย 1.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม 2.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีคมนาคม 3.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และ 4.พล.ท.ผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม รวมทั้งมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า สมควรแจ้งข้อกล่าวหาแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป!
ปรากฏว่า กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ก็ทำเหมือนถ่วงเวลาอีก โดยให้อนุกรรมการไปสอบเพิ่ม อ้างว่า ยังสอบไม่ครบถ้วน เมื่ออนุกรรมการไปสอบเพิ่ม แล้วเสนอผลสรุปให้ กกต.อีกครั้ง (8 พ.ค.49) กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ก็ยังสั่งให้อนุกรรมการไปสอบเพิ่มอีก โดยอ้างเหมือนเดิมว่า ยังสอบไม่ครบถ้วน ขณะที่ทางพรรคไทยรักไทย ก็ร้องเรียนว่า อนุฯ ยังไม่เคยเรียกสอบกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องเรื่องนี้แต่อย่างใด
ซึ่งสุดท้าย อนุกรรมการชุด นายนาม ได้ยืนยันกับ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ว่า อนุกรรมการสอบครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบอะไรเพิ่มอีก ทั้งนี้ นายนาม ยืนยันว่า การสอบของอนุกรรมการนั้น ใช้ระบบไต่สวน ดังนั้น จึงเป็นการสอบพยานฝ่ายผู้กล่าวหาฝ่ายเดียว หากมีมูล ก็เสนอให้ กกต.แจ้งข้อกล่าวหา แต่ถ้าไม่มีมูล ก็ยกฟ้องได้เลย ดังนั้น โดยขั้นตอนแล้ว เมื่ออนุกรรมการสรุปผลสอบให้ กกต.ก็เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องเรียกผู้บริหารพรรคไทยรักไทยและผู้เกี่ยวข้องมาแจ้งข้อกล่าวหา และเมื่อนั้น ผู้ถูกกล่าวหาสามารถมาชี้แจงได้อย่างเต็มที่
ท่าทางและอาการประวิงเวลาของ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ที่สะท้อนว่าไม่อยากสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก และไม่อยากให้พรรคไทยรักไทยมีความผิด เพราะจะนำไปสู่การยุบพรรคได้นั้น ส่งผลให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ส่งเรื่องนี้ให้ กกต.ตรวจสอบ ตัดสินใจฟ้องต่อศาลอาญาเพื่อเอาผิด 3 กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา
ซึ่งในที่สุด ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2549 ว่า จำเลยทั้ง 3 กระทำผิดจริงตามมาตรา 24 และ 42 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 และประมวลกฎหมายอาญา ม.83 ให้จำคุก 3 อดีต กกต.ดังกล่าวคนละ 3 ปี และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้ง 3 นำสืบ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี แต่ยังคงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ศาลยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ด้าน พล.ต.อ.วาสนา-นายปริญญา-นายวีระชัย ได้สู้ต่อในชั้นอุทธรณ์
ซึ่งล่าสุด ทราบจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันพรุ่งนี้(25 เม.ย. 09.00น.) ก่อนจะถึงนาทีตัดสิน คนที่จะระทึกที่สุด คงหนีไม่พ้นจำเลยอย่าง 3 อดีต กกต.ที่ต้องลุ้นว่า คดีที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ จะซ้ำรอยคดีแรกในวันนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสามหรือไม่ คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ 3 อดีต กกต.ยากจะหลับตาลง!!