xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “หมัก”ฟูมฟายเหตุผลแก้ รธน.-ว้ากสื่อจับชน “แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายการ “สนทนาประสาสมัคร” วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2551 เวลา 08.30-09.30 น. ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงความหมายของการรดน้ำดำหัวของวันสงกรานต์ ก่อนอ้างสิทธิในการตอบโต้ นสพ.ที่วิพากษ์วิจารณ์ ยกเหตุผลที่ต้องกลับคำแก้รัฐธรรมนูญ โดยอ้าง่าเป็นกับดัก ใครไม่โดนกับตัวไม่รู้ สวนกลับคนกล่าวหาไม่มีผลงาน อ้างเป็นรัฐบาลำม่ใช่เพาะถั่วงอก ก่อนปิดท้ายด้วยเรื่องของครอบครวตัวเอง

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการสนทนาประสาสมัคร

“สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ รายการสนทนาประสาสมัคร กลับมาเหมือนเคยนะครับ วันนี้ 8 โมงครึ่งกับอีก 5 นาที เข้าช้า 5 นาที ก็เลิกไปช้า 5 นาที คราวที่แล้วโดนว่า หาว่าปล่อยให้พูดเยอะไม่จบ ก็ครบถ้วนตามเวลาที่เขาให้ 1 ชั่วโมงครับ เขาก็ต่อให้เพราะเข้าช้า คนช่างสังเกตนะครับจับเวลาดูกันเลย พูดอะไร ขาดเกินนิดหน่อยไม่ได้ ส่วนมากตอนท้าย จะต้องสนุกก็อยู่ตอนท้าย

วันนี้เป็นวันสงกรานต์ วันนี้ก็ประหลาด อ่านหนังสือพิมพ์แว็บๆ ตอนเช้า เขาบอกว่าท่านรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ) เกิดปรารภขึ้นมาว่า วันสงกรานต์ทำไมเอาวันที่ 13 ยืนตรง ไม่เอาตามจันทรคติ ผมอ่านตำรามาเขาก็คิดตามสุริยคติ นับ 13, 14, 15 มีวันหนึ่งมา แต่ก็น่าสนใจ ผมจะไปอ่านดูก่อนว่าอย่างไรแต่ที่น่าสนใจคือหนังสือสงกรานต์ใน 5 ประเทศเปรียบเทียบกันทางวัฒนธรรม ผมให้ดูหน้าปกเป็นอย่างนี้

เขาชวน คนมาเล่นสงกรานต์ ที่ในหัวมุมตรงนั้นละครับ ตรงไทย ลาว พม่า ที่มาเจอกัน 3 ประเทศ แต่ข้างบนก็เป็นจีน ข้างล่างเป็นกัมพูชา ก็ 5 ประเทศมา ที่เหมือนกันแน่นอนคือมีการสาดน้ำกัน ธรรมดาก็รดน้ำ คนนี้รดคนนี้ เล่นกันเอง เขาเรียกว่าสาดน้ำ ไม่ใช่รดน้ำ รดน้ำคือว่าคนไทย นี่ธรรมเนียมภาคกลาง ขออภัยภาคอื่นด้วย ภาคกลางถ้ามีอายุยืนยาวมาถึง 60 ปี ทางจีนเรียก “แซยิด” 60 ปีแปลว่า 5 ครบ และก็ทำบุญ ทำบุญวันนั้นละครับ จะตั้งรับน้ำตั้งแต่วันนั้นลูกหลานก็มา ต้องนั่งเอาอ่างขันรองทำมือ สองมือ มือเดียวจะจากไปแล้ว จะต้องสองมือ ใครไปแบมือรดน้ำไม่ได้ นะครับ

แล้วส่วนใหญ่คนมาจะมารด คนอายุมากกว่า 60 ปี เขาไม่รดครับ คนที่ต่ำกว่า 60 ปีจึงมารดคน 60 ปีแล้ว เขาเรียกว่า รดน้ำขอพร พอมารด ก็บอกขอให้มีความสุขความเจริญ คนที่มารดทุกคน คนที่ถูกรดจะรู้จักทุกคนที่มา จะบอกเลยคนนั้นใคร ถ้าเผื่อเขาเป็นร้อยโทก็บอกให้ไปเป็นร้อยเอกเร็ว ๆ คนนั้นได้เป็นรองผู้ว่าอยู่ก็บอกให้ได้ เป็นผู้การในไม่ช้า เป็นความสนุกสนานของความผูกพันระหว่างคนที่ได้รับน้ำที่มารด และการให้ศีลให้พร ธรรมดา ก็สุขภาพดีแข็งแรงไม่ป่วยไข้ เดินทางวันไหนด้วยความปลอดภัย

ผมก็จะใช้อย่างนี้ ให้สุขภาพดี แข็งแรง ไม่ป่วยไข้ เดินทางไปไหนด้วยความปลอดภัย คนเรามี 2 อย่างนี้ก็พอ ยาวก็ไม่ได้ เพราะคนเข้าคิวรอกันอยู่ นี่คือธรรมดาภาคกลางเรียกว่ารดน้ำขอพร แต่ทางภาคเหนือจะมีรดน้ำดำหัวก็ไม่เป็นปัญหา แต่ที่ผมเองก็คิดถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวง วัฒนธรรม ก็ควรจะต้องคิดด้วยว่าตัววัฒนธรรมที่ต่างภาค แล้วมาเกลื่อนกลืนกันเข้า จะเป็นอย่างไร ในกรุงเทพฯ

เดี๋ยวนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับรับคำนี้สนิทสนมเลย รดน้ำดำหัว โทรทัศน์ก็รดน้ำดำหัว และที่กรุงเทพฯ มีใครเอาหัว มาดำ หัวยังดำอยู่เพราะย้อมผม ก็มี แต่ดำหัวแปลว่าอะไร เอาอ่างใหญ่ ๆ มาและเอาหัวลงไปกด รดน้ำดำหัว บางคน มีอารมณ์ขัน เขาบอกรดน้ำตรงไหนดำหัวแม่มือ ความจริงหัวแม่มือไม่โดนหรอกครับ อยู่ข้าง ๆ พูดไปอย่างนั้น ทางเหนือเขาเรียกอย่างนั้น ก็ไม่ว่านะครับ ที่วิตกทุกข์ร้อนอยู่คือว่า คนภาคกลางถือครับ อายุไม่ 60 ไปรดน้ำ เขาบอกอายุสั้น บอกคนภาคเหนือได้ คนภาคเหนือใครมีตำแหน่งสูง ท่านรดหมด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคน ผู้ว่าฯ ภาคเหนือกี่คน ๆ ยังไม่ 60 ทั้งนั้น ก็รดน้ำ ตกลงใครจะรดก็รดไป

แต่ว่าธรรมเนียมคุยได้ไหม ต้องคุยได้ ต้องบอกเล่าได้ วันนี้ผมชวนผู้สื่อข่าวว่าคุณไปรดน้ำผม ผมจะเปิดบ้าน เฉพาะผู้สื่อข่าวนะครับ ผมเรียนท่านตรงนี้ ใครฟังอยู่อย่าไปบ้านผม เพราะไปแล้วบ้านคับแคบครับ ชวนผู้สื่อข่าวไปรดน้ำ มีคนว่าอีกเดี๋ยวจะอ่านให้ฟังว่าเขาว่า ๆ อย่างไร แต่ว่าผมต้องการให้ผู้สื่อข่าวทราบว่าทางภาคกลางเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น รดน้ำขอพร ผมเชื่อว่าผมอาวุโสมากกว่าผู้สื่อข่าวทุกคน แม้แต่คุณยุวดีก็อายุน้อยกว่าผม เธอเกิน 60 ปีแล้วนะครับ แต่อายุน้อยกว่าผม

อย่างนี้ครับ ธรรมดาแล้วคนอายุน้อยกว่ารดน้ำ คือพอ 60 ปีแล้วก็เริ่มรดน้ำ วันที่ทำแซยิดนะครับ แล้วต่อไปทุกปีก็รับน้ำได้ ปีใหม่คนไทยไม่รดน้ำปีใหม่ไทย รดตอนสงกรานต์ก็รดน้ำครับ รดก่อนวันที่ 13 เพราะว่าวันที่ 13 หยุด วันที่ 12 ก็วันเสาร์ เขาก็รดกันวันที่ 10-11 รดน้ำสงกรานต์ ถูกต้อง รับน้ำถูกต้อง แต่ว่าสาดน้ำสงกรานต์กันเป็นอย่างไรรู้ไหมครับ แปลว่าไม่เป็นไร สาดน้ำไม่ใช่รดน้ำนะครับ สาดน้ำสนุกไหม สนุกครับ ยิ่งเล่นยิ่งชอบกันใหญ่ ยิ่งอันตรายเราก็ห้ามทำโน่นทำนี่ต่าง ๆ ก็พยายามปรับปรุง

เหมือนคนเล่นดอกไม้ไฟ สาดน้ำก็สาด แต่สาดใส่รถมอเตอร์ไซด์ เขาขี่มาดีๆ เอาน้ำสาดโครม พลิกดิ้น คนสาด วิ่งหนีไปไหนแล้ว ถามว่าอย่างนั้นควรไหม ไม่ควร ถ้าเขาไม่ได้เล่นด้วย ไปสาดเขา มันต้องจับต้องตั้งข้อหา ผมต้องเอาอย่างนั้นถึงจะแก้ไขได้ ไม่อย่างนั้นเขาตายเปล่าครับ มอเตอร์ไซด์วิ่งมาสาดน้ำ เขาไม่ได้เล่นด้วย เขาแต่งตัวดี ๆ ถ้าบอกสงกรานต์นะครับ เอาน้ำไปหยอดมือเขา ๆ ต้องยินดีแน่นอน ไปถึงเขาเดินแต่งตัวจะไปทำงาน สาดโครม อย่าลืมนะวันหยุดเขาก็ทำงานมีกะ เขาแต่งตัวดีจะไปไหนแล้วแต่ เอาน้ำไปสาดเขา ยุติธรรมไหมครับ

อ้างว่าประเพณีที่จริงเราควรจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในย่านที่เขาเล่นกัน ถามว่าต้องเล่นกันทุกย่านไหม ไม่ครับ เดี๋ยวนี้เรามีขอบเขต เล่นถนนข้าวสาร เล่นถนนจักรพงษ์ เราแบ่งถนนให้เลย ก็ค่อย ๆ พัฒนากัน ถนนวิสุทธิกษัตริย์แต่ก่อนสงกรานต์ เดี๋ยวนี้ก็เล่นไม่ได้ เพราะถนนค้ำอยู่ข้างบน เขาก็ย้ายไปสวนสันติชัยปราการตรงป้อมพระสุเมรุ ทุกอย่างก็มีความเปลี่ยนแปลง

แต่การสาดน้ำรดกัน เป็นธรรมเนียมไหม เป็นธรรมเนียม ไม่เห็นมีปัญหา สาดน้ำรดกัน คุณสาดผม ผมสาดคุณ ถูกต้องไหม ถูกต้อง ยุติธรรมไหม แต่ว่าสาดข้างเดียวแล้วอีกข้าง จะสาดกลับ บอกไม่ได้ ยุติธรรมไหมครับ ไม่ยุติธรรม ในบ้านเมืองเรา

**อ้างมีสิทธิ “สาดน้ำกลับ”สื่อที่วิจารณ์

เอาละ ฐานันดรที่ 4 จะเป็นฐานันดรทำ หนังสือพิมพ์ ทำวิทยุ ทำโทรทัศน์ ก็เป็นฐานันดร มีรัฐบาลก็มีสถานะรัฐบาล ถามว่าหนังสือพิมพ์จะเขียน วิพากษ์วิจารณ์ว่ากล่าวรัฐบาล ว่าได้ไหมครับ ว่าได้ครับเป็นสิทธิเสรีภาพ ตราบใดที่ไม่รุกล้ำกล้ำเกินตามกฎหมาย ได้เลย ไม่มีปัญหา แต่ถามว่าเมื่อเวลาคนอยู่ซีกรัฐบาล ตอบโต้กลับไปบ้าง ได้ไหมครับ เขาบอกไม่ได้ ได้อย่างไร ละครับ นี่ก็เหมือนกับสงกรานต์สาดน้ำรดกัน คุณสาดผม ผมสาดคุณ มันสุดแท้แต่ว่าคุณว่าผม ทำดี เรียบร้อยดี ว่าได้เถียงไม่ได้ก็ไม่กล้าเถียง

แต่ว่าในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องเถียงครับ ต้องอธิบายกลับไป ก็ปล่อยให้ว่าความโครม ๆ ข้างเดียว ต่อไปเปาะเดียวหลุดเลย ตัวอย่างมีมาแล้วครับ ว่าเอา ๆ ไม่ถกไม่เถียง ใครจะเล่นอะไร เอาประชาธิปไตย ว่าเอา เพราะฉะนั้น คนตั้งครึ่งบ้านครึ่งเมือง เชื่อบอกเป็นความจริงอย่างนั้น ผัวะเดียวเท่านั้น กระเด็นออกไปเลย ตัวอย่างมีหยก ๆ ครับ

เพราะฉะนั้น เมื่อผมมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล เมื่อมีอะไรใครมาเล่นแบบอย่างนี้ ผมก็ต้องอธิบายความกลับ ก็รายการอย่างนี้ รายการสนทนาประสาสมัคร เพื่อจะได้พูดจากันได้กว้างขวางมากขึ้น ไม่ต้องอยู่ใน กฎระเบียบจนเกินไป รายการนี้ย้ำอีกทีว่าไม่ใช่รายงานการปฏิบัติราชการของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ไม่ใช่ครับ พูดจาประสาสมัคร เพราะนายกรัฐมนตรีชื่อนายสมัคร ก็มีตัวตนมีความเป็นธรรมดา เมื่อเวลาสงกรานต์สาดน้ำรดกัน คุณสาดมา ผมสาดกลับไป คุณสาดผมได้ ผมสาดกลับบอกไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ ได้อย่างไรครับ

นี่ก็อ้างสงกรานต์เสียวันนี้ ให้ท่านเข้าใจให้ชัดเจนเลย คือหมายความว่างานของบ้านเมืองนั้น ต้องรู้ที่มาที่ไป

**ครวญโดนเหน็บ 2 เดือนไร้ผลงาน

กำลังนี้วิพากษ์วิจารณ์กันเถียงกัน 2 เดือนไม่มีอะไรเลย พูดจากระทบกระแทกแดกดัน คือทำทุกอย่าง รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไรนะครับ แต่ต้องการทำให้เกิดเรื่อง ผมต้องบ่นวันนี้ละครับ ต้องการทำให้เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอย่างไร ก็รู้ความเป็นมารู้ความเป็นไป รู้ที่มารู้ที่ไป แล้วผมเป็นหัวหน้าพรรค พรรคเดิมหรือเปล่าครับ ก็ไม่ใช่พรรคใหม่ เลือกตั้งไหม ก็เลือกตั้ง ลงคะแนนไหม ลงคะแนน ได้คะแนนมาแล้ว ต้องเจรจาความรวมพรรคไหม ต้องรวม มันถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และผมก็เป็นหัวหน้ารัฐบาล แล้วก็ตั้งรัฐบาลและเข้าบริหารบ้านเมือง

คอยจับจ้องแคะอย่างโน้นอย่างนี้ 2 เดือนไม่มีผลงานอะไร ยังไม่ทันจะอะไรเลย รัฐบาลนี้มาจากไหนละครับ รัฐบาลก่อน ๆ หน้าเขาเป็นอะไรครับ รัฐบาลเขาบริหารมา 4 ปี เลือกตั้งใหม่ เขาชนะอีก เขาก็บริหารต่อ ลงมือก็ทำงานต่อได้ จะทำอะไรก็ต่อกันได้ นี่ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลจากธรรมดามาธรรมดา เปลี่ยนรัฐบาลปฏิวัติเขายึดอำนาจ คณะปฏิวัติเขาเปลี่ยนแปลงหมด เขาทอนผู้คน เขาจัดการหมด เปลี่ยนแปลงองคาพยพ ออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาด้วย เขาบอกด้วยตอนล่าง

**ฟูมฟายเหตุผลแก้ รธน.

เขาบอกรัฐธรรมนูญเก่าดีเกินไป ดีเสียจนกระทั่งรัฐบาลใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ทุจริตคดโกง สุดจะว่ากล่าวกัน กลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญดีเกินไป ทำให้รัฐบาลมาใช้อำนาจทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่จงรักภักดี ว่ากันไป ผมไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ต้องพูด ก็เป็นมาอย่างนั้น และก็ออกรัฐธรรมนูญใหม่ เขาบอกเลยว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลแข็งแรง เขาพูดชัดเจนเลยครับ เขาบอกเลยทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ก็เลือกตั้งเขตละ 1 คน คนละ 1 เขต อยู่ดี ๆ 400 คน บวกอีก 100 คน มันคุ้นเคยกันมาตั้งนาน เลือกกันมา 2 หนแล้ว อยู่ดี ๆ กลับไปใหม่เลือก 157 เขต เลือก 1 เลือก 2 เลือก 3 ยุ่งไหมครับ

ถามสิทำต้องการอะไร ทำให้มันยุ่งครับ แน่นอนวุฒิสมาชิกมีดี 200 คน ควรจะดูว่าจะแก้ไขบอกว่าให้มาจากสังกัดพรรคหรือไม่สังกัดพรรค ไม่ละครับ ให้เขย่งเสียอย่างนั้น เลือกตั้ง 76 แต่งตั้ง 74 ใครจะทำไม ให้เขย่งไว้อย่างนี้ 150 อำนาจมากมายก่ายกอง อย่างนี้ปล่อยไว้ไหมครับ มีอะไรอีกมากมาย ที่เห็นว่าเป็นความเสียหาย

ก็พูดให้เข้าใจว่าทำไมถึงจะต้องดิ้นรน ก็เพราะเหตุว่าเขาเขียนไว้เป็นกับดักเลยครับ เขียนเป็นกับดักยังไม่พอ เขาได้สร้างขวากหนามไว้ให้เสร็จเรียบร้อย และก็ขวากติดหนาม แล้วกลับไปตามกับดักไว้ ทีแรกเขาก็ดักพรรคใหญ่พรรคเดียว 2 พรรคเล็กก็โดนเข้าไปด้วย ทำอย่างไรละครับ

ถูกต้องเวลาผมบอกถ้าไม่มีเรื่องอะไรต่าง ๆ ผมบอกไว้ชัดเจนเลยว่าสัก 3 เดือนจะเลิกกันแล้ว ค่อยแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เห็นเสียหาย ผมก็พูด อย่างนั้นไม่เห็นเป็นอะไร บอกนายสมัครกลับไข้คืนคำ พูดตรงไปว่าถ้าหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ได้ทำอะไร คือไม่มีการให้ใบแดง ไม่โยงใยไปตามเข้าล็อก หรือแม้เข้าล็อกแล้ว ก็เห็นว่าไม่มีปัญหา เรื่องนี้ก็ไม่สมควรนั่น

ถ้าตัดสินไปทางอื่น ก็ใช้รัฐธรรมนูญไปอีก 4 ปี ยังไม่ต้องไปแตะต้อง ถูกต้องครับ แต่เมื่อจัดการเป็นอย่างนี้ปั๊บพรรคการเมืองจะต้องล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตา จะเลิกคนนี้ๆ จะต้องเลิก แล้วไม่คิดหรือครับที่ทำทั้งหมดนี่ แก้สิ ผมบอกคุณนักวิจารณ์ให้ทราบเสียหน่อย ที่เขาแก้กัน เอาไปใช้ไม่ได้ ป้องกันการยุบพรรคไม่ได้หรอกครับ ว่าจะต้องไปถูกตีความย้อนหน้าย้อนหลังอีก

แต่เขาแก้เพื่ออะไรครับ เขาแก้เพื่อวันข้างหน้า คนพวกนี้ ล้มหายตายจาก กรรมการไม่ได้กลับมา แต่คนใหม่จะมาเลือกตั้ง จะได้ใช้รัฐธรรมนูญที่ดี เป็นประชาธิปไตย มันถูกต้องที่ควรจะเป็น ทำเพื่อวันข้างหน้า ถ้ามีโอกาสแก้ได้ แล้วไม่แก้ ทำดัดจริตซุบซิบ ๆ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเลือกตั้งใหม่ ก็เจออย่างนี้อีก

**โวยสร้างหลักฐานเท็จโกงเลือกตั้ง

ถามสิครับว่า คนที่เขาบอกโกงเลือกตั้ง เขาถูกกล่าวหา แล้วจริงไม่จริง เขากล่าวว่าโกงจะทำ อย่างไร เขายืนยันว่าโกง มีการสร้างหลักฐานเท็จไหม มีครับ มีแน่นอนเลยแล้วกัน เพราะต้องการทำเพื่อให้นั่น ต้องเอาใคร ต้องเอาคนที่เป็นกรรมการ เขาเขียนกับดักไว้ครับ ถ้ากรรมการพลาด ก็ยุบทั้งพรรค ถึงต้องล่อกรรมการกรรมการระดับรองหัวหน้าพรรคโดนติดชนักอยู่เวลานี้ จะต้องขึ้นไปศาลฎีกาเวลานี้

ของพรรค์อย่างนี้เห็นกันอยู่ นะครับ แต่ว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ วิพากษ์วิจารณ์ คนไม่โดน อย่างท่านประธานที่ปรึกษาพรรค (นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) ที่ไม่โดน ออกมาพูดจาจีบปากจีบคอ รู้อยู่อย่างนั้นละครับ ก็ตัวไม่โดน และคนที่เขาโดนเขาเดือดร้อน เขาดิ้นรน

ไม่พูดดีกว่า ทำผิดแล้วจะมาแก้กฎหมาย ก็กฎหมายดักไว้ว่าจะต้องเอาให้ผิด แล้วจะทำอย่างไร เขียนกฎหมายดักไว้ แล้วจะมาปฏิบัติการเพื่อจะต้อนให้เข้ากรง เห็นอยู่ชัด ๆ อย่างนั้น ไม่พูดดีกว่าครับแต่ว่าผมต้องพูดเรื่องนี้ เพราะโอกาสที่จะต้องพูดนั้นจะมีอีกสักเท่าไร ยังไม่ทราบได้ละครับ แต่จะพูดก็พูดเสีย ให้เข้าใจ บ้านเมืองจะต้องเป็นอย่างนี้

**ยกภารกิจเยือนเพื่อบ้านผลงานโบแดง 2 เดือน

แต่ผมจะบอกบรรดาสื่อสารมวลชนทั้งหลายที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์ 2 เดือนไม่ทำอะไร ไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมจะบอกให้ฟังนะครับการบริหารบ้านเมือง เริ่มต้นรัฐบาลใหม่มาเปลี่ยนแปลงใหม่ ไม่ใช่เพาะถั่วงอก นะครับ จะเอาให้ 2-3 วันรดน้ำโครม ๆ ออกมางอกขาวยกกระบะออกมา ไม่ใช่ครับ บริหารบ้านเมืองไม่เพาะถั่วงอกแบบที่ท่านคิด ยังไม่มีผลงาน 2 เดือน 2 เดือนยังไม่มีหรอกครับ แต่ทำงานกันตัวเป็นเกลียว คนเป็นหมอถูกดูแคลน พอเขาทำงานเสร็จเรียบร้อยเข้า กระแนะกระแหน นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง โผล่มา SML (โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง) 10,000 ล้าน 2 วันแล้วก็หายวับไป

ก็หายสิครับ เขาไปสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไปเจรจาความเรื่องการบ้าน การเมือง เรื่องเงินเรื่องทองต่าง ๆ ที่จะจัดการเจรจา เขากลับวันที่ 28 เมษายน จะไม่หายได้อย่างไรครับ ไปตั้งแต่วันที่ 7 , 8 เมษายน แล้วกลับ 28 เมษายน ก็ต้องหายหน้าไปสิครับ ถามว่าหมอตกลงไปไหน เขาก็เดินทางไปต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีไม่มีอะไรเอาแต่เดินทางไปต่างประเทศ ก็กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ บอกว่าธรรมเนียมอาเซียนของเรา 10 ประเทศ

ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในเดือนแรกจะต้องเดินทางแนะนำตัวเองให้รู้จัก ผมก็ต้องเดินทาง ผมก็ไปทำหน้าที่ได้พบปะพูดจา ได้เห็นเลยว่าสิ่งที่เขากำหนดไว้นั้นเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์อย่างไร ผมได้สัมผัสได้พูดจาได้เจรจาความบ้านเมือง พูดกับ สปป.ลาว พูดกับกัมพูชา พูดกับพม่า พูดกับสิงคโปร์ พูดกับอินโดนีเซีย พูดกับเวียดนาม มีประโยชน์ทั้งนั้นครับ ไปอินโดนีเซียได้ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้ทำความเข้าใจ และผมช่วยแก้ปัญหาให้บ้านเมือง

มีใครมาทำข่าวไหมครับ นายสมัครได้เจรจา ผมแถลงด้วยนะครับ ได้เจรจาความกับประธานาธิบดีประเทศอินโดนีเซีย มีเกาะ 15,000 เกาะ มีคนอยู่ 6,000 เกาะ มีปลารอบเต็มไปหมด ปลาแอบอยู่ตามเกาะ จับกันตามน่านน้ำ เข้าน่านน้ำอินโดนีเซียแต่ก่อน ตีตั๋วเข้าไป เขาบอกเขาไม่เอา เขาบอกเขาไม่ได้รับการถ่ายทอดวิธีการจับปลา เรื่องการแปรรูปปลา จับแล้วเอาออกมานอกประเทศหมด เขาไม่ให้ใครตีตั๋วแล้ว ใครละครับไปเจรจา

นี่ไงหัวหน้ารัฐบาลชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ไปพบตามธรรมเนียม ไปเจรจาความสำคัญ บอกเลยว่าบริษัทของคนไทยมีความสามารถในการทำอุตสาหกรรม แปรรูปปลา ท่านไม่รู้จัก ท่านไปสมุทรสาครสิครับ โรงงานทันสมัยเต็มหมด แต่ไม่มีปลาจะทำมาแปรรูป แล้วทำอย่างไร มีความสามารถ ผมต้องบอกเลย ตกลงคุณต้องไป คุณจะมาอ้างว่าเกาะโล้น ๆ ไม่มีน้ำประปา ไฟฟ้า เกาะที่เขามีล่ะ เมืองที่เป็นที่ 2 จากจาการ์ตา อย่างสุราบายา ผมบอกคุณไปสุราบายา ผมจะเจรจาความให้ คุณต้องเอาไปลงทุนกับเขา เขาจะลงทุนน้อยลงทุนมากเข้าทุนร่วมกัน ก็ได้สิทธิ์ เอาเรือจับปลาตรงไหนก็ได้ในอินโดนีเซีย ปลามากมายมหาศาล จับเสร็จแล้วก็เข้าไปอินโดนีเซีย สร้างโรงงานแล้วก็แปรรูปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเสียภาษีนิดหนึ่ง แล้วก็ เอาเข้ามาประเทศไทย เขาเรียกว่า Re-Export

ผมเป็นคนเจรจาความ ประธานาธิบดีก็ตกลงที่จะทำกันตามนี้ ถัดไปก็จะเคลื่อนไหว พอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครม. ก็จะสั่งการทั้งหมด เขาก็จะดำเนินการ นี่ก็ไปทำงาน ผมไปเจรจากับท่าน สปป.ลาว ก็พูดกันเรื่องที่โน่นที่นี่ จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ ไปกัมพูชาก็เจรจาความประโยชน์กับเมืองไทยทั้งนั้น ไปเจรจากับพม่าก็ประโยชน์กับเมืองไทย ไปสิงคโปร์ก็เจรจาความ ไปเวียดนาม ก็พูดจากัน และวันที่ 23 เมษายนผมจะไปมาเลเซีย และต้องไปบรูไน ฟิลิปปินส์ นี่การทำงานนะครับ

นี่ละครับ งานของนายกรัฐมนตรี กลับมาอยู่ที่นี่ วันพฤหัสบดีต้องไปตอบกระทู้สภา ไม่ตอบไม่ได้ ต้องให้นายกรัฐมนตรี ไปตอบ เสร็จแล้ววันธรรมดาก็ประชุมนั่นประชุมนี่ เรื่องตำรวจก็ต้องประชุมตำรวจ เรื่องทหารก็ประชุมทหาร มีงานต่าง ๆ ที่ต้องประชุม ตั้งคณะที่จะทำงานอย่างเร็ว เรื่องระบบขนส่งภายในกรุงเทพฯ เรื่องรถไฟทั่วประเทศ เรื่องน้ำ เรื่องการศึกษา ก็นั่งหัวโต๊ะประชุม งานดำเนินการอยู่ครับ จะเป็นชิ้นเป็นอันได้อย่างไรครับ

เข้ามาน้ำมันก็ขึ้นราคาพรวด ๆ น้ำมันขึ้นราคา สินค้าก็ราคาแพง ถึงวงจรหมูขาดตลาด เขาบอกต้องขาดตลาด 7 เดือน มันจะขาดตอนเราเข้ามาแล้วทำอย่างไร ก็เจรจา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์) ไปเจรจาเรื่องหมู คิดอย่างเดียวจะให้ราคาถูก 120 บาทจะให้เหลือ 98 บาท ก็คิดดี แต่ถูกเขาหัวเราะเยาะเย้ยว่าอย่างนั้นอย่างนี้อะไรต่าง ๆ เจตนาดี แต่ว่าใครเห็นไม่ดี ก็ไม่ว่าอะไร ก็จัดการไป เรื่องโน้นเรื่องนี้ทุกคนคิดอย่างนั้นจะทำอย่างนั้น ๆ ก็พยายามเจรจาความ สินค้าราคาแพง บริษัทห้างร้านก็ให้ความร่วมมือ หัวเราะเยาะเย้ยถากถางไม่ทำงาน

ผมบอกโอเค ไม่มีปัญหา ต่อไปนี้ก็จะไม่ทำเรื่องยิบย่อยพรรค์นี้ จะไปเจรจาความต่างประเทศ เอาทุนเข้ามาอะไรต่าง ๆ ก็ทำ ทุกคน ทำหน้าที่นะครับ หมอสุรพงษ์ถูกดูถูกดูแคลน เขาทำหน้าที่ของเขา แล้วเรียบร้อยไหมละครับ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ มีปัญหาไหมครับ ธนาคารแห่งประเทศไทยปลดผู้ว่าไหมครับ ไม่ได้ปลด แล้วงานค่อย ๆ เคลื่อนไหมครับ จะจัดการเรื่องเงินเอา 10,000 ล้านมาใส่ทำให้รากหญ้าเคลื่อนที่ ทำไหมครับ ทำ

และพรรค์อย่างนั้นทำไมไม่เอามายกย่องสรรเสริญ จะเอาให้ได้ 2 เดือนไม่ทำอะไร อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ที่ผมต้องต่อว่าเพราะอะไร เยาะเย้ยถากถาง อดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ท่านกลับมาได้ ก็ตามธรรมเนียม บอกแล้วว่าถ้ามีรัฐบาลก็จะกลับมา ๆ ขึ้นศาล มาแล้วคนเราก็มีความเคลื่อนไหว ไม่ทำงานการเมือง ก็ไปทำงานเรื่องสังคม ช่วยนั่นช่วยนี่

**อ้าง ส.ส.รดน้ำ “แม้ว”เรื่องธรรมดา

เอาแล้ว พอวันที่ 10 เมษายน ทหารบอกว่าจะไปรดน้ำบ้านสี่เสาเทเวศร์ ไปรดน้ำก็รดน้ำ เคยทำก็ทำ ผมไม่เคยนั่นเลย แต่ต้องขอมารดน้ำผมด้วย ผมบอกถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาเลย เพราะผมไม่ได้พิธีรีตองนักหนา เขาบอกไม่ได้ เขาไปทางโน้นแล้วต้องมาทางนี้ ก็เอา ไปทางโน้นรดน้ำก็ไม่ว่าอะไร มาทางนี้ผมก็รับรดน้ำ ให้ศีลให้พรกัน

พอดีตอนบ่ายเขารดน้ำคุณทักษิณที่ตึกชินวัตร ตีข่าวกันเอิกเกริก รดน้ำที่โน้นเอิกเกริกผู้คน โดดร่มทิ้งสภาไปกัน ก็เขามีความผูกพันกันอยู่ เขาก็ไป จะไปตื่นเต้นอะไรนักหนา และเอาไปเทียบเคียง เห็นไหมแปลว่าที่ทำเนียบจ๋องกอดกว่าเพื่อนเลย ก็แน่นอนบอกให้เขามา 5 คน มารดน้ำเท่านั้นเอง จะไม่จ๋องอย่างไร ผมไม่ให้ใครเข้ามา ผมไม่ได้เชิญชวน และผมไม่ต้องการอะไรเอิกเกริกนักหนา

วันนี้ผมชวนนักข่าวก็แค่นักข่าว คนอื่นผมก็ไม่ให้เข้าไปบ้านผม ผมต้องการทำอย่างนี้ แล้ววันที่ลูกพรรค 230 กว่าคนเขารดน้ำผมจนมือเหี่ยว ไม่มีข่าว 230 คนเขารดน้ำผม ผมไปประชุมเขารดน้ำ และก็ทำพิธี เขารดน้ำผมแล้วตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน แล้ววันที่ 10 เมษายน จะให้ตามมารดน้ำอีกหรือ จะแข่งกับอดีตนายกรัฐมนตรี คนรายงานข่าวไม่มีความคิด

พอพูดอย่างนี้ว่าอย่างไรรู้ไหม ไปทำสำรวจมาเลย นายสมัครรายการที่พูดมีคนฟังพอสมควร แต่ที่แย่คือพูดจาหยาบคาย พูดว่าคนไม่มีความคิดนี่หรือหยาบคาย ว่าพวกคอลัมนิสต์ทั้งหลายเขียนอะไร เขียนกันตามใจ รดน้ำสงกรานต์ 3 รายก็เอาเป็นข่าว วันหนึ่งผมทำงาน หาว่าผมไปปาฐกถา ปีกลายเรื่องวิถีไทยโดยผ้าไทย วันนี้วิถีไทยโดยอาหารไทย เขาก็เชิญผมไปเปิด ตอนกลางวันผมก็มาเรื่อง SML เรื่องเงินหมื่นล้าน ผมก็มาเปิดให้ บ่ายสองโมงครึ่งทางฝ่ายขนส่งทางน้ำเขาเชิญไปปาฐกถาอนาคตเศรษฐกิจไทย ผมก็ไปปาฐกถา

ผมทำหน้าที่ของผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย คนเต็มที่นั่น คนฟังเขาเต็มห้องนภาลัย แล้วอย่างไรครับ รายงานข่าวอดีตนายกรัฐมนตรีไปปาฐกถาเรื่องเด็กเรื่องอะไรต่ออะไร หาเงินได้ 20 ล้าน ก็ทำอย่างนั้น ก็เรื่องของท่านนายกฯ เก่า ท่านก็ทำไปอย่างนั้น ท่านชวนคนมาลงทุน เขาก็มา ผมได้คุยกับคนที่เขาอยากจะมาลงทุนเรื่องเหล็กกับเรา ก็มาคุยกันชั่วโมงกว่า ผมก็แบ่งเวลาไปคุย บ่ายก็ปาฐกถา ก็เสร็จเรียบร้อย

**โวยสื่อจับชน “แม้ว”

จะเอาเรื่องกันให้ได้เป็นทำนองว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไปพูด รัฐมนตรีทั้งหลายไปฟังกันเต็มหมด นายกรัฐมนตรีปัจจุบันไปพูดไม่มีรัฐมนตรีสักคน เขาไม่ได้เชิญรัฐมนตรีคนอื่นไปฟัง เขาเชิญแขกของเขา แล้วจะต้องเอาอย่างไร เขาเชิญผมไปพูด ผมก็ไปพูด จะเอาเรื่องให้ได้บอกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีดังกว่า รัฐมนตรีแห่ไปฟังกันหมดเลย

แล้วผมจะทำอย่างไรครับ มัวมานั่งคิดกันอย่างนี้ แล้วแต่เขาจะไปกันอย่างไร ก็เรื่องของเขา ไม่ได้สั่งห้ามอะไรต่าง ๆ นี่ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลนะครับ แล้วทำไมผมจะทนของผมได้ แต่มีคนทนไม่ได้

ผมขออนุญาตอ่านหนังสือพิมพ์นิดหนึ่ง ท่านโปรดดูถ้อยคำนะครับ ผมจะถามว่าเวลานี้เรื่องอาหารการกินข้าวปลาหาซื้อไม่ได้แล้วใช่ไหม ข้าวแพงจนขนาดอย่างกับทองคำแล้วถูกไหม ซื้อข้าวกินไม่ได้ อดอยากกันนะครับ ดูนะครับ ผมชวนผู้สื่อข่าวไปรดน้ำเพื่อจะอธิบายความให้ฟังอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่

คอลัมนิสต์ ชักธงรบ โดยกิเลน ประลองเชิง เมื่อวานนี้ ดีเจวันเสาร์ ชื่อบทความ มีโทรสารจดหมายด่วนมาก เขียนด้วยลายมือคุ้น ๆ ทั้งข้อปุจฉามาหลายข้อ ข้อแรก ทุกวันนี้ชาวบ้านต้องซื้อปลายข้าว (ข้าวหมา) มากรอกหม้อกันแล้ว ไม่นานพวกรากหญ้าอาจจะต้องกินแกลบกินรำ วิปริตกันถึงขั้นนี้ เพราะเรามีแต่นักการเมืองหน้าโง่ อวดศักดา (คำนี้ยืมเขามา) คิดแต่จะแก้แค้น คิดแต่จะแก้แค้น คิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อตัวเอง แต่ไม่คิดแก้ปัญหาของประชาชน

มากเกินไปไหมอย่างนี้ เห็นไหมครับ เวลานี้ชาวบ้านจะต้องซื้อปลายข้าว ข้าวหมามากรอกหม้อกันแล้ว ทำอย่างนั้นหรือครับ คนซื้อปลายข้าวมากินกัน มีนะครับ และคนทำโจ๊กเขาใช้ปลายข้าวต้ม แปลว่าแย่งข้าวหมามาต้ม ทำโจ๊กขาย นี่ผลัดกันเขียนขึ้นมาเท่านั้น เขียนมาเพื่อต้องการจะว่าแดกดัน เขาส่งโทรสารมาให้คนเขียนคอลัมน์ ดูนะครับ

ข้อสอง...ฐานันดร 4 คืออะไรปัจจุบันแวดวงสื่อมวลชน ไม่มี ใครพูดถึง น่าเวทนาน้องๆ นักข่าว ที่ถูกเหยียดหยามด่าว่าโง่เง่า เต่าตุ่น ตื้นเขินไร้หัวคิด ถูกโขกสับ อยู่ทุกวันน่าประหลาด... วันสงกรานต์ ฯพณฯ เปิดบ้านชวนนักข่าวไปกินข้าว แล้วรดน้ำขอพร คุณกิเลน นึกออกไหมว่า ขอพรอะไร ถ้ากิเลน ยังเป็นนักข่าว จะไปกินข้าวบ้านนี้ไหม ผมไม่ได้เชิญไปกินข้าวนะครับ ผมเชิญว่าจะรดน้ำเพื่อจะอธิบายความเรื่องธรรมเนียมภาคกลางให้ฟัง จะมีอะไรกินเลี้ยงกัน

ผมบอกเลยว่าผมเชิญไป 09.00 น. เพื่อจะได้ไม่ต้องไปกินข้าวกลางวันบ้านผม ผมป้องกันไว้เสร็จเรียบร้อย ต่อมาผมต้องเปลี่ยนเป็น 10.00 น. เพราะว่าลืมไปว่าวันนี้วันอาทิตย์ต้องมาออกรายการสดก่อน เดี๋ยวถึงไปให้เขารดน้ำ มันอะไรกันนักหนา

ข้อสาม...ผมรังเกียจระบอบทักษิณ แต่ผมไม่เกลียดคุณทักษิณคุณทักษิณก็ทำอะไรให้บ้านนี้เมืองนี้ไว้ไม่น้อย จะอย่างไร...ก็แล้วแต่ วิบากกรรมของเขา แต่เราจะปฏิเสธผลงานที่เขาทำได้อย่างไร ตอนเขาเป็นผู้นำตัวจริง ทุกวันเสาร์ เขาก็จะมีอะไรติดมือ มารายงานประชาชน เราจะได้ยินโครงการใหม่ แผนงานใหม่ๆ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามแบบฉบับปากไว ใจร้อน ถึงลูกถึงคน วันนี้เป็นยุคนอมินีครองเมือง วันอาทิตย์มีอะไรไหม นอกจากเสียงผรุสวาท สาดวจีทุจริตไปทั่วบ้านทั่วเมือง นี่น่ะหรือ นโยบายสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ นี่น่ะหรือ คนที่บอกว่าจะเข้ามากอบกู้บ้านเมือง ถ้าคนไทยคิดเอาแต่เพียงว่า บ้านเมืองมิใช่ของเราคนเดียว เราก็ต้องยอมจำนนแต่ถ้าเราไม่ยอมจำนน เราจะปล่อยให้นักปลุกระดม เสี้ยมให้ประชาชนคนไทย ต้องมาเผชิญหน้า ฆ่าฟันกันเอง เหมือนเมื่อ 6 ตุลาฯ 19 อีกหรือ หรือคุณกิเลน คิดว่า เป็นไปไม่ได้ สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่อย่าลืมว่า องค์ประกอบสำคัญ คือตัวละครเก่าๆ มันพร้อมจะกลับมา รอเพียงเวลาและเงื่อนไข...เท่านั้น

จดหมายจากเพื่อนเก่าฉบับนี้ เหมือนฉบับที่แล้ว...คือปุจฉา แล้วก็วิสัชนามาเรียบร้อย เหลือประเด็นให้ผมตอบบ้าง บางข้อ เช่น ข้อถ้ามีคนชวนไปกินข้าว ผมก็ไม่ไป เพราะไม่เคยมีธรรมเนียม คนไม่ชอบหน้ากัน จะไปกินข้าวด้วยกัน

ส่วนเรื่องโฆษณาชวนเชื่อวันอาทิตย์ ผมก็ไม่เคยหนาวร้อน.เพราะไม่เคยฟัง เหตุเพราะยังหลงติดใจ ดีเจรายการวันเสาร์ รออยู่ว่า เมื่อไหร่เขาจะกลับมาเสียที เรื่องตัวละครเก่า รอเงื่อนไข...นี่มากกว่า เป็นปัญหาของคุณกับผม ต้องช่วยกันคิด คุณรู้หรือไม่ ถ้าตัวละครเก่ากลับมา คราวนี้จะกลับมาช่วยรายการไหน ถ้าเป็นรายการวันเสาร์ ก็พอทนกันไป แต่ถ้าเป็นรายการวันอาทิตย์ ก็ต้องถือเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน

นักข่าว ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอกครับ...ไม่ว่ารัฐบาลไหน ถ้าเขาไม่ใช้เป็นแพะรับบาป เขาก็ใช้เป็นกระโถน โดนกันจนชินแล้ว คนเขียนชื่อกิเลน ประลองเชิง จะเกลียดชังผมมาจากสมัยไหนอย่างไรผมไม่ทราบได้ แต่ทว่า เกินเหตุไหมที่เขียนหนังสือแบบนี้ เกินไปไหมครับ

อย่างตอนท้าย ใครจะกลับมา อำนาจอะไรใครจะกลับมา นี่ไงผมนี่กลับมาแล้วครับ ผมมาเป็นนายกรัฐมนตรีเวลานี้ ทำไมถึงกลัวใครจะกลับมาอีก มีใครนอกจากนายสมัคร มีใครครับ เขาเขียนบอกแล้วถ้าหากว่านายกฯ ทักษิณ กลับมาชมได้ ชอบ ดีเจวันเสาร์กลับมาบอกชอบ แต่ถ้าดีเจ วันอาทิตย์ นี่ไงครับวันอาทิตย์ แล้วเป็นอย่างไรครับ

**ด่าเขียนสุ่มสี่สุ่มห้า

จะเขียนหนังสือไม่ดู สักแต่เขียนมาอย่างนั้นเอง เขียนกระทบกระแทกแดกดันเขียนไปปร่า ๆ ไปอย่างนั้นเอง มันจะมีใครที่มาอยู่เบื้องหลังผม ไหนผมมีอำนาจบาตรใหญ่อะไร ที่จะมาทำในบ้านเมืองนี้ ผมมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีพรรคการเมือง 233 คน มีพรรคมาร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรค ทำงานด้วยกันอย่างที่แลเห็น แล้วเป็นอย่างไรครับ ผมจะเป็นคนอันตรายกับบ้านเมืองนี้อย่างไรไหม

สักแต่เขียน สุ่มสี่สุ่มห้า เขียนไป มีหรือครับคนไทยเวลานี้จะต้องไปแย่งข้าวหมากินซื้อปลายข้าวมาต้มกิน มีบ้านไหนทำบ้างครับเกินเหตุ

ยังมีอีกฉบับหนึ่ง ฉบับเดียวกันนี้ เช้าวันนี้เองเมื่อเช้าเปิดมา “ร่างทรงอำนาจ ปากแข็งขาสั่น” ว่ากล่าวกันพูดทำนองเหมือนกับ พูดไปพูดมาเป็นทำนองเป็นนอมินี ไป ๆ มา ๆ บอกมีความเป็นตัวเองสูง ไม่มีผลงานอย่างที่คาดหวัง

ผมจะบอกให้ฟังนะครับ เขียนได้ เต็มหน้าอย่างนี้ก็เขียนได้ เป็นสิทธิเสรีภาพ แต่ผมเอง ผมก็ต้องมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะตอบโต้ได้เหมือนกัน ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล เขียนว่าผมสาดเสียเทเสียอย่างนี้ ผมย้ำนะครับว่าทำงานการเมือง เปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ เข้ามาบริหารบ้านเมืองเป็นพรรครัฐบาลผสม ต้องค่อย ๆ ดำเนินการครับ เหมือนจัดบ้านใหม่ ย้ายเข้ามาเสร็จจะต้องทำ กว่าบ้านจะเรียบร้อยทั้งหมดปกติทำงานได้ ต้องใช้เวลาตามสมควร

แต่นี่กระทบกระแทกแดกดัน ผมจะบอกให้ฟัง คนเขียนบทความทีมการเมืองหนังสือพิมพ์ไทยรัฐหน้า 3 จะเกิดทันหรือไม่ ก็ไม่ทราบ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐแต่ก่อนนี้เอามาจากหนังสือพิมพ์หัวชื่อหนังสือพิมพ์เสียงอ่างทองครับ ตอนเสียงอ่างทองเปลี่ยนเป็นไทยรัฐ ถามสิตรงนั้น พัวะเดียวดังทั่วประเทศไหมครับ ยังครับ กว่าจะสั่งสมอะไรมา ได้ถึงขนาดนี้นานมากเลยครับ ใช้เวลานานหลายสิบปีกว่าจะเป็นไทยรัฐที่โด่งดัง

**เหน็บไทยรัฐลองเปลี่ยนชื่อ

ผมจะถามสิถ้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเกิดมีอันเป็นจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ จะเป็นสยามราษฎร์ ถ้าเป็นสยามราษฎร์พรุ่งนี้พิมพ์อย่างเดียวกันออกไปนี้ ผู้คนจะจัดการอย่างไรครับ จะรู้ไหมครับว่านี่ไทยรัฐ ไทยรัฐมาเปลี่ยนเป็นสยามราษฎร์ ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยน หัวใหม่ ต้องตั้งหลักอีกนานไหมครับกว่าสยามราษฎร์จะดังเท่าไทยรัฐ

นี่พรรคการเมืองอายุ 6 เดือนกว่านะครับ ตามจริงก็เกิดเดือนกรกฎาคม 2550 เขาแต่งตั้งกันเดือนสิงหาคม เขายอมให้จดทะเบียนสิงหาคม กันยายน ตุลาคมพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม 7 เดือนเท่านั้นครับ พรรคการเมืองนี้อายุ 7 เดือนเท่านั้น หัวหน้าพรรคถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ก็เคยเป็นบรรณาธิการฉบับอื่นมา ก็มาเป็นบรรณาธิการฉบับนี้ ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเข้าที่เข้าทาง แน่นอนครับ

แต่ว่าผมทำงานนี้ได้เพราะผมเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว 5 หน เป็นรองนายกรัฐมนตรี 3 หน พูดง่าย ๆ อยู่ในวงรัฐบาลมาแล้ว 8 หน ถึงรับอาสามาดำเนินการเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นได้ครับ ร่วมมือกันทุกคน ไม่ใช่ผมทำงานคนเดียว แต่มันอะไรกันนักหนาครับถึงตามกระทบกระแทกแดกดัน จะเอากันให้ พอนายกฯ คนนั้น กลับเข้ามาได้ เขากลับมาสู้ความ มาสู้คดีความ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนกระทบกระแทกแดกดัน ยกย่องคนนั้นเหยียบย่ำคนนี้ ยกย่องนายกฯ ทักษิณฯ เก่งกาจอย่างนั้นอย่างนี้ผู้คนยังเห่อเหิม บารมียังมาก ส่วนนายสมัครไม่นั่น

แล้วผมถามตรง ๆ เถอะครับว่าถ้าทำสำเร็จ คือแดกดันสำเร็จ ถ้าผมบอกเออผมเลิกผมไม่เอาแล้ว แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ ผมไม่ได้คนวิเศษวิโสมาจากไหน ผมมาตามช่องทาง ได้รับเลือกตั้งมา มาเป็นหัวหน้ารัฐบาลจัดรัฐบาล เสร็จเรียบร้อยแล้วได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ได้ทำงาน ผมทำตามช่องทางทุกอย่างหมด แต่ต้องการกระทบกระแทกแดกดันเพื่อจะให้ผมพ้นจากตำแหน่งไปอย่างนั้น ใช่หรือไม่จุดหมายปลายทาง ยกย่องคนหนึ่ง เหยียบย่ำคนหนึ่ง แดกดันคนนั้นคน คนนี้คน ยกย่องตรงโน้นเหยียบย่ำทางนี้ ต้องการจะให้ผมท้อแท้และถอยไป

แล้วจุดหมาย ปลายทางของคนเขียนต้องการอะไร บรรดาคอลัมน์นิสต์ทั้งหลายที่ล่อกันถล่มกันนี้ต้องการอะไรจุดหมายปลายทางในเมื่อตอนปฏิวัติรัฐประหาร เกลียดแค้นชิงชังด่าทอว่ากล่าว มาเดี๋ยวนี้ดีหรือครับ พอกลับมาได้ตอนนี้ดีแล้วใช่ไหมยกย่องสรรเสริญเก่งอย่างนั้น เก่งกาจอย่างนี้ แล้วคนที่นั่งทำงานอยู่กำลังนี้กลายเป็นตัวหัวหลักหัวตอไม่เข้าท่า เขียนกระทบกระแทกแดกดันไป

**ท้าให้ไล่ออก

ต้องการอะไร จุดหมายปลายทางลองบอกสิต้องการอะไร ต้องการให้บ้านเมืองนี้ ไม่มีนายกรัฐมนตรีชื่อสมัคร สุนทรเวช อย่างนั้นใช่ไหมครับ จะเอาใครครับต่อไปนี้ลองบอกสิ บอกสิทำอย่างไร นี่เดินหน้าเข้าที่เข้าทางมาอย่างนี้ ผมไม่ต้องการไปเรียกร้องว่าขอโอกาสนะ ผมทำตามหน้าที่ ของผม

แต่ถ้าสงกรานต์เมื่อคนหนึ่งสาดน้ำได้ ผมต้องสาดกลับได้ครับ ผมจะให้มาเล่นมานั่งรดหัวรดหูเดินยกมือพนมมืออยู่นั่น ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน ผมเป็นคนนะครับ ถ้าคุณมีความคิดในการเขียนหนังสือวิพากษ์วิจารณ์ได้ ผมก็มีสติปัญญาพอจะวิพากษ์วิจารณ์กลับได้

ผมยกตัวอย่างให้เห็นได้ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมาจากหนังสือพิมพ์ เสียงอ่างทอง กว่าคุณกำพลฯ (นายกำพล วัชรพล) จะกอบกู้จะมาได้คุณกำพลฯ ใช้เวลานานเท่าไร สุดท้ายก็เป็น ไทยรัฐชื่อเสียงโด่งดังขายมากที่สุดในประเทศ แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรสะดุดเท้าพลิกกลับมาต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ แล้วเป็นอย่างไรไหมครับ เอาเท่านี้ก็แล้วกัน

วันนี้ วันสงกรานต์ก็เป็นวันดี แต่ผมขออนุญาตอ้างว่าสงกรานต์ สาดน้ำกันไป ผมต้องคิดว่ามันต้องเท่าเทียมกัน คนเหมือนกันนี่ครับ แล้วผมก็ดูแล คุณดูแลหนังสือพิมพ์คุณ คุณเป็นกระจกส่องก็ส่อง แต่ผมก็เป็นคนทำงานบริหารบ้านเมืองนี้ ผมต้องทำงานครับ ผมรับมา หน้าที่มาแล้ว ผมต้องทำของผม

บอกให้ฟังได้ขอย้ำเลยครับว่าบริหารบ้านเมืองได้ 2 เดือนไม่ใช่เพาะถั่วงอกครับ เพาะถั่วงอก 3 วันมันงอกได้ แต่นี่บริหารบ้านเมือง สถานการณ์รับช่วง เขาเปลี่ยนแปลงเขายึดอำนาจไป 16 – 17 เดือน แล้วเพิ่ง จะเข้ามาเป็นปกติธรรมดา จะเปลี่ยนใครจะแปลงใครทีหนึ่งยากเย็นเข็ญใจ

**ย้อยอดีตครอบครัว “สุนทรเวช”

เอาเท่านี้ครับเขายกป้ายว่าเหลือ 20 นาที วันนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องสงกรานต์ วันสงกรานต์ปรากฏว่าเขาเลือกวันที่ 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุแล้ววันที่ 14 เมษายน เป็นวันครอบครัว ใครจะเป็นคนเลือก 2 วันนี้ไม่ทราบได้ แต่ว่าที่คุณชาติชายฯ (พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี) ท่านเลือกให้หยุดได้ 3 วัน ได้เดินทางกลับกันได้ 3 วัน 5 วันบ้างอย่างคราวนี้เป็นประโยชน์ครับ

อย่าคิดว่าการหยุดนี้ ธนาคารหยุดได้ 4 วันก็เรื่องของธนาคาร แต่ว่าคนหยุด 4 -5 วัน ดูเมืองนอกที่ชอบอ้างกัน เมืองฝรั่งเศสเดือนสิงหาคมไปทั้งเดือนไม่ทำงานกันเลย หยุดกันครึ่งเดือนค่อนเดือน หยุดกันทั้งเดือน เขาทำกันได้ ของเราหยุด 5 วันเท่านั้นกระแนะกระแหนอย่างโน้นอย่างนี้กัน ให้หยุดบ้างสิครับ วันหยุดใครจะทำอย่างไรส่วนตัวอย่างไรก็ทำได้

วันนี้จะพูดถึงเรื่องครอบครัว มีการวิพากษ์วิจารณ์ครับ นอกจากนายสมัครจะชอบพูดจาหยาบคายแล้วยังชอบพูดเรื่องส่วนตัว มันมีอะไรจะดีแล้วจะรู้ดีเท่ากับเรื่องของส่วนตัว แต่ว่าถ้าส่วนตัวเอามาอธิบายความ เทียบให้ดูได้ วันนี้ผมต้องพูดเรื่องส่วนตัวของผมเหมือนกัน ผมมีรูปมาให้ดูด้วยเพราะว่าหนังสือสมัคร 60 สามารถ ให้ทางสถานีช่วยก๊อปรูปมาให้ดูหน่อย ผมจะบอกให้ฟังครับว่าผมตั้งใจจะพูดเรื่องพระที่บ้านหรือพระในเรือน

ทุกคนมีพระพุทธรูปรู้จักกันดี แต่ว่ามหาปิ่น.... ท่านเคยสอนไว้เรื่องพระในเรือน พระหลายรูปท่านก็เคยสอน เรื่องของพระที่บ้านนั้นคือพ่อแม่ของเรา ใครเกิดมาไม่มีพ่อแม่ก็ต้องมีคนที่อุปการะ เพราะฉะนั้นได้โปรดนึกถึง เลยครับ วันผู้สูงอายุ ใครจะไปรดน้ำใคร ใครสูงอายุก็สุดแท้แต่ แต่ว่าคนที่สูงอายุของคนเรานี้ อายุมากแล้ว ท่านเป็นพระในเรือนนะครับ

ผมจะบอกให้ฟังว่าที่ผมเดินหน้ามาถึงวันนี้ได้ ผมต้องถือว่าผมเป็นครอบครัวยากจนเป็นครอบครัวยากลำบาก แต่เพราะความยากจนยากลำบากนั้นที่ส่งผมให้มานั่งอยู่ที่ตรงนี้ได้ จะบอกให้ฟังว่า วันครอบครัวคือวันพรุ่งนี้ วันนี้คือวันพรุ่งสูงอายุ ผมจะเล่าทั้งสองอันผสมผสานกันไป เพื่อจะให้รู้ว่าบ้านเมืองของเรา ธรรมเนียมของเรา วิถีทางของเรานั้นมีสิ่งที่ดีงามอยู่ ใครปฏิบัติไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้ แต่ใครปฏิบัติได้ ผมเอาตัวผมมาพูดจาแม้ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อีกชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาพูด อย่างนี้

ต้องพูดส่วนตัว ก็ครอบครัวผม ผมจะเล่าให้ฟัง ครอบครัวผม ผมไม่ได้อวดอ้างอะไร ครอบครัวผมสืบเนื่องกันมากำลัง 3 - 4 ชั่วคน ผมเกิดมาผมก็เห็นคุณตาผม ผมไม่ทันเห็นคุณยายหรอกครับ ผมเห็นคุณตา แล้วคุณแม่ก็มีลูก ผมจะบอกให้ฟังนะครับว่าบ้านครอบครัวผม คุณพ่อคุณแม่ลูก 9 คน โบราณครับลูก 9 คน ลูก 9 คนเหลืออยู่ 7 คนเพราะเสียตั้งแต่เล็ก ๆ 2 คนก็มีชีวิตอยู่กันมาลำบากยากเข็ญ ลำบากครับเพราะเหตุว่าคุณพ่อมีเกียรติยศ คุณพ่อเป็นเจ้าคุณ คุณแม่เป็นคุณหญิง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ) สวรรคตปี พ.ศ. 2468 คุณพ่อผมต้องออกมา ออกจากกระทรวงการคลัง แล้วมารับราชการ เรียกว่าข้าราชวิสามัญ สมัยนี้เรียกว่าลูกจ้างประจำ เงินเดือน 80 บาทครับ ได้เบี้ยบำนาญ 115 บาท นั่นละครับสองอย่างบวกกัน 195 บาท ดูลูก 7 คนครับ เลี้ยงดู ที่ต้องเล่าให้ฟังนั้นคือว่าครอบครัวเรามีเกียรติยศจะต้องแบกไว้ แต่ว่าเราสามารถจะอยู่ด้วยกันได้ มีคนใช้ไม่ได้ครับเพราะยากจน ลูก ๆ เป็นคนใช้ทุกคน ลูก ๆ นี้คนหนึ่งซักเสื้อรีดผ้า คนดูแลอะไรต่าง ๆ

ผมจะบอกให้ฟังว่าทั้งหมดนี้ลำบากยากเข็ญกันมาด้วยกันหมด ชีวิตยามสงครามเขียนหนังสือไว้ให้อ่านหมดไม่ได้เคยปิดบังอะไร แล้วในที่สุดปรากฏว่าชีวิตครอบครัวผม ๆ ก็เดินหน้ากันมา ที่มาเล่าให้ฟังวันนี้เพราะว่าปีหนึ่งเราจะคิดถึงคนที่อาวุโส คุณพ่อคุณแม่ของเรา ผมต้องคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ของผม คุณพ่อคุณแม่ของผมก็คิดถึงคุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่า เสร็จแล้วรุ่นผมก็ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ คือลำบากยากเข็ญมาด้วยกัน พ.ศ. 2468 คุณพ่อออกจากราชการ ทำงาน กรมโฆษณาการเงินเดือน 80 บาท ลูกจ้างประจำครับ วิสามัญ ทำงานกรมยุทโธปกรณ์เงินเดือน 120 ทำงานกระทรวงพาณิชย์สุดท้าย 165 บาท เขาให้อยู่ถึงอายุ 65 ปี

นั่นละครับครอบครัวของผมคุณพ่อคุณแม่ลำบาก คุณแม่เป็นคุณหญิงแต่ต้องไปทำงานเป็นครูใหญ่โรงเรียนจีน ที่โรงเรียนบุคโลวิทยา ต้องบุกโคลนเข้าไป ผมบอกคุณแม่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนบุกโคลนวิทยา เสร็จแล้วคุณแม่มาเป็นแม่บ้านโรงเรียนราชินี แล้วคุณแม่มาเป็นแม่บ้านหอพักนิสิตหญิงจุฬาฯ คนแรก ทำงานกันทั้งพ่อทั้งแม่ พ่อแม่ผมบอกว่า ลูกเอ๋ยพ่อแม่ไม่มีมรดกทุกสถานจะให้ อยู่ในกรุงเทพฯ เช่าบ้านเขา 20 แห่ง ตระเวนเช่าบ้านอยู่ 20 แห่ง รู้จักกรุงเทพฯ ทั่วหมดเพราะเช่าบ้านอยู่ครับ คุณพ่อบอกว่าไม่มีปัญญา ไม่มีมรดกจะให้ สิ่งที่พ่อแม่จะให้ลูกคือการศึกษา ต้องให้การศึกษาลูกให้ดีทุกคน คุณพ่อกำหนดเส้นทางให้ พี่สาวคนโตขอให้เป็นหมอก็ได้เป็นหมอ พี่ชายผมเป็นเภสัชกร เข้าโรงเรียนเตรียมฯ ได้ 15 วันก็เสียชีวิต ก็ขาดตอนไป

อีกคนหนึ่งให้เรียนบัญชีก็จบได้แค่ ม.8 พี่ชายผมเป็นทหารเขาเป็นพลอากาศเอก ผมเองเป็นนักการเมือง ผมเรียนนิติศาสตร์ผมมาเป็นนักการเมือง น้องชายผมคุณพ่อให้เรียนวิทยาศาสตร์ ก็ได้วิทยาศาสตร์แล้วไปต่อบัณฑิตทางการศึกษา น้องชายผมเป็นวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต คุณพ่อคุณแม่ผมส่งลูกถึงฝั่งทุกคน เพราะฉะนั้นลูกทั้งหมดที่เหลือตั้ง 6 คนจนโตมาสุดท้าย พี่ชายมาเสียชีวิตอายุ 63 ปี นอกนั้นเราอยู่กันมาหมดครับ ได้เห็นครอบครัว

ผมจะให้ดูรูปครับ ครอบครัวผม ถ่ายไว้ลงในหนังสือผม อยู่ครบทุกคน ข้างหลังลูกชาย 4 คน มีสะใภ้ 4 คนยืนเรียงแถว พี่สาวผม 2 ข้าง มีญาติมานั่งรวมกัน มีหลาน ทั้งหมดทันสมัย คุณพ่อคุณแม่มีลูก 9 คน แต่ตอนนี้มา 6 คน ลูก 6 คนที่เหลือมีคนละ 2 ๆ มีลูก 12 คน มีหลาน 12 คน แล้วหลานบัดนี้ก็โต จะให้ดูหน่อยว่าลูกสาวผมโตขึ้นมาไปรดน้ำคุณยาย ลูกสองคนนี้พ่อไปหาคุณแม่เอาหลานสองคนไปด้วยแล้วถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ผมกับคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย แล้วผม คุณพ่อคุณแม่ผม นี่หลาน ก็กลายเป็นคุณยายไป

บัดนี้หลานสองคนนี้โตขึ้นมาเรียนจบปริญญา ทั้งสองคนนี้เขาสามารถที่จะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตเขา ผมก็เลี้ยงดูกันมาเสร็จเรียบร้อย ผมส่งถึงฝั่ง แต่งงานมีลูก บัดนี้ก็มีหลาน เห็นไหมครับว่าครอบครัวของเราที่เรามีความผูกพันกัน ครอบครัวผมมีครอบครัวเดียวครับ แต่ว่าผมมีตระกูลของผม ตระกูลกัลยาณมิตร ตระกูลจิตรกร ตระกูลสุนทรเวช เพราะว่าหลานคุณตา เดี๋ยวนี้ทั้งหมดมี 100 คน ทั้งหมดเวลาชุมนุมกัน 100 คน เมื่อวันที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีเขาก็มาชุมนุมกันใหญ่ แสดงความยินดี 100 คน นั่นแปลว่าเรื่องของครอบครัว เรื่องของบุพการีเป็นความสำคัญอย่างยิ่งครับ เมื่อพ่อแม่เราได้อุปการะเรามา เราต้องปฏิการะท่านกลับไป

ใครดูข่าวเมื่อวานแล้วน้ำตาจะร่วง เขาเป็นอิสลามด้วย ทีวีช่องนี้ไปถ่ายมา มีพ่อกับแม่ซึ่งอายุมาก อายุ 79 ปี แม่ต้องนั่งรถเข็น แล้วมีลูกคนหนึ่งพูดไม่ได้ แล้วเอาหลานมาให้เลี้ยงอยู่คนหนึ่ง ตากับหลานผูกพันนั่งกอดกัน จะต้องแยกตาแยกหลานกันอยู่ ฟังแล้วบอกน้ำตาจะร่วง มีลูก 8 คนครับ ลูกทอดทิ้งแม่ไปไหนหมด ยังเอาหลานมาให้เลี้ยงคนหนึ่ง ดูแล้วเมื่อวานนี้ต้องขอบคุณที่เขามาถ่ายในวันครอบครัว ลูกชายคนหนึ่งพูดไม่ได้ครับ อยู่ด้วยกัน แล้วตาต้องไปส่งหลานไปเรียนหนังสือ ยายนั่งรถเข็น เขาบอกว่าจะเป็นจะตายเขาจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ใครจะมาแยกอะไรเขา ๆ ไม่ยอมแยก นั่นเป็นครอบครัวที่มีลูก 8 คนแต่ว่าปล่อยพ่อแม่ทิ้งไว้อย่างนั้น

เห็นไหมครับว่าในวาระอย่างนี้เราควรจะต้องได้คิดถึง แล้วแน่นอนครับผมบอกว่าผมยากลำบากเมื่อเด็ก ๆ ผมแบกขนมขาย ผมเช่าบ้านเขาอยู่ ผมทำกับข้าวเองทุกอย่างมาหมด ชีวิตที่ลำบากนั้นละครับ ก็สอนให้เรารู้จักหมด ทุกวันนี้เด็กที่บ้านผมรีดเสื้อไม่ดีผมจะบอกรีดให้ดี ผมรีดอย่างไรผมรีดให้ดูได้ ซักผ้าไม่สะอาดอย่างไรผมก็ต้องทำให้ดูว่าซักผ้าสะอาดทำอย่างไร กับข้าวทำให้อร่อยผมก็บอกให้ทำได้

เรื่องอย่างนี้นี่ละครับชีวิตครอบครัว ความผูกพันในครอบครัว และเมื่อพ่อแม่ผม คุณพ่อผมอยู่ถึง 86 ปี คุณแม่อยู่ถึงเกือบจะ 80 ปี 79 กว่า ๆ ครับ ก็ได้แลเห็นความเจริญของลูกทุกคน แล้วลูกมาบอกให้ฟังว่าผมเช่าบ้านเขาอยู่ 20 หลัง 20 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ไปหมด จนในที่สุดผมก็ลงขันกันพี่น้องทั้งหมด ผมสร้างบ้านให้คุณพ่อคุณแม่อยู่ได้ที่ซอยเอกมัย ซื้อไว้ตารางวาละ 800 บาท 99 ตารางวา คิด 100 ตารางวา 80,000 บาท พ.ศ. 2503 ครับ 48 ปีมาแล้ว ลงทุนกันช่วยกันสร้างบ้าน กู้เงินเขามาจัดการทำทุกอย่างหมด คุณพ่อคุณแม่มีที่อยู่สุขสบายในบั้นปลายชีวิต ชีวิตครอบครัวต้องเป็นอย่างนี้ครับ

ที่เขาพูดกันไว้วันอาวุโส ผมอยากจะให้ดูรูปหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งดูรูปหน่อย เขาเก่งครับ เขาคิดว่าคนอย่างผมชีวิตบั้นปลาย ช่างไปถ่ายทำ คือเขาคิดว่า มาบ้านบางแคครับ นายสมัครนั่งอยู่กับแมวมีไม้เท้าวาง เขาไปเอารูปใครมาก็ไม่ทราบได้ครับ สงสัยจะเป็นฝรั่งไม่ทราบได้ แต่เอาคอผมมาใส่เข้า เขาคิดว่าชีวิตผมบั้นปลายจะต้องไปอยู่บ้านบางแคและจะนั่งอยู่กับแมวอย่างนั้น แมวหน้าตาดีเกินไปกว่าจะอยู่บ้านบางแคครับ เขาทำเก่ง ให้เห็นเป็นข้อคิดว่าถ้าเผื่อว่าลูกเขาทอดทิ้งผมต้องเป็นอย่างนี้ แต่ไม่หรอกครับ ผมเลี้ยงลูกของผมมา ลูกของผมเขาดูแลผมเวลานี้ แต่ผมยังช่วยตัวเองได้อยู่

ผมคงไม่ถึงอย่างกับรูปที่มาใส่ประชดประชันกันไว้อย่างนี้หรอกครับ แต่ก็ขอบคุณที่ให้เป็นข้อคิด ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ถือเป็นเกียรติยศของชีวิต ผมบอกให้ฟังว่าในครอบครัวของเรานี้ ตั้งแต่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายมานี่ เสร็จแล้วก็ถึงคุณพ่อคุณแม่ผม แล้วมาถึงผมกับภรรยาผม ซึ่งบัดนี้ก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วเหมือนกัน แล้วถึงรุ่นลูกผม และบัดนี้ก็ถึงรุ่นหลานผม ความผูกพันโยงใยนั้นผมก็ยังได้สัมผัสหลานผมคนหนึ่ง 6 ขวบคนหนึ่ง คนหนึ่ง 4 ขวบ อีก 7 เดือนอยู่ในท้องเป็นหลานคนที่สาม

ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนี้ครับ เราอุปการะเขา เขาก็ปฏิการะเรา แต่บังเอิญในช่วงจังหวะที่ผมทำงานหนัก ผมก็ทำให้ลูกผมมีความสุขสบายขึ้น ลูกไม่ต้องลำบาก ลูกไม่ต้องไม่แบกขนมขายเหมือนผม แต่ว่าชีวิตก็เป็นอย่างนี้ครับ ก็สอนให้รู้ว่าความผูกพันในครอบครัวมีความหมายอย่างไร ฝรั่งมังค่าเขาจะใช้วิธีการของเขา แยกหมด ๆ ก็ดีครับ ตามใจ แต่ว่าอย่างไรที่สุดคนหนึ่งต้องเอาคุณพ่อคุณแม่ไว้ครับ ทุกคนรวมกันเลี้ยงพ่อแม่ ไม่ต้องมารุมเลี้ยงกันหรอกครับ ในลูกมีอยู่ 5 – 8 คนจะต้องมีอยู่คนหนึ่งที่เขาจะต้องเอาพ่อแม่ไว้ แล้วต่างคนต่างไปก็ต้องมาเยี่ยมมาดู

ต้องเข้าใจว่าคนที่เขาดูแลนั้นต้องถือว่าเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งที่ได้ดูแลพ่อแม่ในยามยากจน บางคนอยู่ตึกใหญ่เบ้อเริ่ม พ่อแม่ไว้กระต๊อบหลังบ้าน ก็ควรจะจัดที่อยู่ พ่อแม่จะพอใจที่อยู่สงบเงียบอย่างนั้น ที่พูดให้ฟังวันนี้เพื่อจะบอกว่าชีวิตของคนเรานั้นก็เท่านั้นละครับ พอเริ่มอายุมากขึ้นไปแล้ว เขาบอกว่าคนแก่ก็เหมือนไม้ผุ ไป ๆ มา ๆ ก็จะผุพังไปแล้วก็จะเกะกะ ขอให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ได้นึกถึงผู้ที่ได้ให้กำเนิดมา จะชั่วดีถี่ห่างอย่างไร พ่อแม่

ของเราบางครั้งการศึกษาอาจจะไม่เท่ากัน คุณพ่อคุณแม่ของเขาถ้าจะเทียบกับลูก ๆ ก็ได้รับการศึกษากว่า แต่เราไม่มีหรอกครับ เราจะไม่มีวันไปดูถูกดูหมิ่นคนที่เป็นพ่อแม่เราเลย พ่อแม่ถ้าบอกว่าเป็นพระที่อยู่ในบ้าน ต้องนึกถึงครับ ต้องเทิดไว้เนื้อหัวของเราทีเดียว ในวันสงกรานต์นั้นถ้าใครยังไม่ได้คิดจะกลับไปเยี่ยมก็คิด ใครไม่ได้ไปพรุ่งนี้ยังไม่ช้าจนเกินไป วันที่มีความหมายของบ้านเมืองเรานั้นก็ควรจะได้พูดจากันถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บ้าง

ผมก็หวังใจว่าบรรดานักวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย ว่าสมัครเอาเรื่องส่วนตัวมาอีกแล้ว ผมจะไปเล่าเรื่องครอบครัวคนอื่นไหนที่ไหนได้ครับ ต้องครอบครัวผม และผมจะบอกครอบครัวผมนั้น เราอยู่กันมาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลก็มีความสำคัญ ความผูกพันที่เราแสดงให้เห็น ก็ดูแค่คุณตาคุณยายที่ผมเห็นอยู่นี้ มีลูก 4 คน และจากลูก 4 คนก็มีสะใภ้ มีลูกเขย 3 แล้วแยกกันมา ชั่วระยะเวลาประมาณ 80 ปี บัดนี้เป็น 100 คน แต่เป็น 100 คนที่มีความรู้จัก มีความผูกพันนับญาติกันถูก แล้วทุกคนก็มีความเจริญก้าวหน้า

ใครก็ตามแต่ที่ได้ดูแลพ่อแม่มาตลอด ผมเชื่อว่ากุศลได้ส่ง เห็นทันตาเชียวครับ ใครก็ตามแต่ที่ทอดทิ้งพ่อแม่ไม่ดูแลกัน คงจะคิดว่าคงจะไม่ได้รับอานิสงส์ที่จะเป็นความเจริญในชีวิตทั้งหลายต่าง ๆ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะต้องมาพูดอะไรอย่างนี้วันนี้ แต่เมื่อในยามสงกรานต์ ครึ่งแรกก็พูดเรื่องสาดน้ำกันทางการเมืองไปแล้ว ครึ่งหลังก็จะขอบอกแต่เพียงว่า ขอบคุณครับใครก็ตามแต่ที่ได้ทำให้วันที่มีความหมาย 2 วันมาอยู่รวมกัน

วันนี้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุ แต่ขอให้นึกถึงคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดูแลเรามา ที่ให้กำเนิดเรามา และวันพรุ่งนี้เป็นวันครอบครัว ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่าครอบครัวมีความผูกพันและมีความหมาย แน่นอนครับครอบครัวของเราดีกว่าครอบครัวของชาวตะวันตกที่เขาใช้วิธีแยกกันไป เวลาที่จะคิดกันทีก็ค่อยกลับมาทีหนึ่ง เขาเอาคำถามมาวางไว้ให้เดี๋ยวท่านผู้ชมที่บ้านก็นึกว่าพูดเอาแต่เรื่องโน้นเรื่องนี้ครับ ตอบคำถามประชาชน

คำถาม : อยากให้ขุดแม่น้ำโขงเข้าอีสานสำเร็จ
-เรื่องนี้ดำเนินการครับ จะประชุมไม่กี่วันนี้ ทำให้ถูกต้องตามวิธีการ เรื่องนี้ดำเนินการได้แน่นอนไม่เป็นปัญหาครับ

คำถาม : ตอนนี้ข้าวแพงมาก เดือดร้อนมาก คนไม่ได้ทำนาต้องซื้อข้าว
-คนไม่ได้ทำนาก็ต้องซื้อข้าวกิน ถูกต้องครับ ชาวนาเขาทำข้าวมาไว้ขาย ความแพงนี่ผมไม่อยากเอามือแตะนี่ก็ไม่ได้ เดี๋ยวต้องเอาน้ำตรงนี้แตะ แตะในปากเขาว่าอีกเหมือนกัน แตะลิ้นไม่ได้ คือว่าข้าวแพง แต่ว่าอย่าคิดอย่างโน้นอย่างนี้เลยครับ แพงไปพอสมควรที่เรายังจะพอหาซื้อได้ ชาวนายากเข็ญมามาก ให้ชาวนาได้มีโอกาสหน่อย แต่แน่นอนครับเรื่องรายได้นั้นเป็นหน้าที่ของคนเป็นรัฐบาลที่จะต้องดูว่ารายจ่ายมากขนาดนี้ รายได้ขนาดนี้เป็นอย่างไร ก็ขอว่าผมไม่นิยมที่จะพูดถึงเรื่องจะขึ้นเงินเดือนเงินดาวน์ แต่ว่าอยู่ในใจผมที่จะต้องทำให้รายได้พอกับรายจ่าย เรื่องนี้ขอให้เชื่อครับว่าคิดเฉลี่ยแล้วไม่ได้แพงจนเกินเหตุ แต่ถ้าทำข่าวให้มันแพง กำลังนี้ต่างประเทศปฏิเสธไม่ซื้อข้าวจากไทยแล้วครับ หาว่าไทยปั่นราคา

คำถาม : ที่ดินหมู่บ้านม่วงเวียงสา จังหวัดน่าน ไม่มีโฉนดแม้แต่หลังเดียว อยู่มาเป็นร้อยปีแล้ว
-เรื่องนี้ขอบคุณมากเลย จะให้กรมที่ดินเขาไปดูว่าตามสิทธิควรจะต้องได้ ควรจะต้องออกเอกสารสิทธิให้อย่างไรไหมครับ

คำถาม : อยากให้ลดราคาค่าไฟฟ้าด้วยเพราะราคาสูง
-เรื่องนี้เขาบอกว่าเขาคิดพอสมควรแก่เหตุ แต่ว่ารัฐมนตรีใหม่ของเราได้ช่วยไปดูตรงที่ว่าไม่ให้ขึ้นค่า ft กันตามใจชอบ

ยกป้ายหมดเวลาแล้วครับ ขอประทานโทษครับ วันนี้ผมพูดจาอะไรต่าง ๆ เพราะความระมัดระวังที่กลัวจะว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ว่าถ้าเรื่องครอบครัวไม่อ้างของตัวเอง ครอบครัวที่มีความเคารพนับถือ มีความผูกพันนั้น ถ้าเป็นได้อย่างนั้นจริง ผู้คนที่อยู่ในครอบครัวย่อมมีความเจริญ

ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ได้นั่งฟังจนจบครับ ท่านจะไปเล่นน้ำสาดน้ำอย่างไรต่อก็เชิญ ผมจะไปให้เขารดน้ำที่บ้านผม ขอบคุณครับ วันอาทิตย์หน้าเจอกันใหม่ สวัสดีครับ






กำลังโหลดความคิดเห็น