xs
xsm
sm
md
lg

“หมัก” ฉุนแตก! โดน “มาร์ค” แฉปิดสื่อมากสุดหลัง 6 ตุลาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศึกศิษย์เก่า ปชป.ระอุกลางสภา “หมัก” โดน“มาร์ค” พาดพิง 6 ตุลาฯ เหน็บกลับตอนนั้นเป็นเด็ก 11 ขวบ ยกคะแนนเสียง พปช.ข่ม พร้อมสาบานกลางสภายันมือไม่เปื้อนเลือดจากเหตุเดือนตุลาฯ “อภิสิทธิ์” แฉ “สมัคร” เคยเยาะเย้ย ปชป.จะอยู่ไม่ยืด ย้อนกลับแล้วตอนนี้ยังอยู่กับพรรคตัวเองหรือไม่ “ชวน”ร่วม กรีด จำนวน ส.ส.ไม่ได้วัดความดี

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมัคร สุนทรเวช อภิปรายตอบโต้

การอภิปรายนโยบายรัฐบาลในวันแรก (18ก.พ.)เป็นไปอย่างคึกคัก เริ่มต้นจากการตอบโต้กันอย่างถึงพริกถึงขิงระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี รวมถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ที่ตอบโต้กันอย่างดุเดือด จนนาย มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานในที่ประชุมต้องทำหน้าที่อย่างหนัก

ในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายถึงนโยบายสื่อสารมวลชน นายอภิสิทธิกล่าวว่า ตนอยากให้รัฐบาลเคารพการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งต้องไม่ลืมว่าสมัยที่นายกฯเป็นรมว.มหาดไทย (หลังเกตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519) เป็นยุคที่มีการปิดหนังสือพิมพ์มากที่สุด และไม่ควรให้สถานการณ์นั้นย้อนกลับมาอีก

ทั้งนี้ การแทรกแซงสื่อในวันนี้ไม่เหมือนสมัยนั้นที่ใช้อำนาจมหาดไทยปิดหนังสือพิมพ์ แต่เป็นการแทรกแซงรูปแบบที่แนบเนียนผ่านกลไกของธุรกิจ ทั้งนี้ นโยบายด้านสื่อของรัฐบาล ข้อ 8.3 ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางราชการและสื่อสาธารณะอื่นได้อย่าง กว้างขวางถูกต้องเป็นธรรม แต่ไม่ได้พูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งร่างนโยบายที่เสนอเข้ารัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ นั้นไม่ได้เขียนเช่นนี้ แต่เขียนว่า ส่งเสริมให้สื่อสารมวลชนของรัฐและเอกชนมีสิทธิเสรีภาพ จึงไม่ทราบว่า ครม.มีความจำเป็นอะไรที่ต้องตัดคำนี้ออก

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรณีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้จัดรายการวิทยุคลื่น 105 วิสดอมเรดิโอ ของกรมประชาสัมพันธ์ ถูกถอดรายการ เนื่องจากได้พูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เพื่อโต้แย้งนายกฯ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา มีผู้เสียชีวิตคนเดียว จนมีผู้แย้งว่าไม่จริง ในมือตนมีรายชื่อผู้ที่ผ่านชันสูตรพลิกศพแล้ว 38 คน เฉพาะนักศึกษา และประชาชนที่เป็นผู้ต้องหา

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นายเจิมศักดิ์ นำหนังสือที่นายวีระ มุสิกพงศ์เขียนมาอ่านให้ฟังในรายการวิทยุ ว่า นายกฯ เคยบรรยาย เรื่อง 6 ตุลาคม ที่ฝรั่งเศส ไม่ตรงกับสิ่งที่ให้สัมภาษณ์ ปัจจุบัน และจะนำข้อมูลมาเปิดเผยเพิ่มเติมในรายการวันรุ่งขึ้น แต่รายการของนายเจิมศักดิ์ก็หายไป

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กลไกที่ใช้มากที่สุดคือ รู้ว่าสื่อเป็นธุรกิจ ไม่ว่าวิทยุ โทรทัศน์ วิธีแทรกแซงสื่อคือการสร้างความกลัวว่า ถ้าไปแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ ในทางที่ไม่ถูกใจ รัฐบาลแล้วจะทำธุรกิจต่อไม่ได้

อย่างกรณี นายเจิมศักดิ์ที่ได้รับการติดต่อจากบริษัท ที่ได้รับสัมปทานว่า ว่าบริษัทอาจจะมีปัญหากับผู้มีอำนาจ ผู้ที่เกี่ยวข้อง 2-3 คน ถ้าสรุปตัดตอนว่า แบบที่มีการแถลงว่านายเจิมศักดิ์อยากเลิกจัดรายการเอง แล้วถือว่าเรื่องจบนั้น ไม่ถูกต้อง นายเจิมศักดิ์ ควรมีสิทธิในการเสนอข้อมูลด้านนั้นหรือไม่ ถ้าเชื่อเรื่องสิทธิของสื่อก็ต้องบอกว่ามีสิทธิ ส่วนนายกฯหรือคนอื่นจะเห็นไม่ตรงกับนายเจิมศักดิ์ หรือเห็นว่า นายเจิมศักดิ์เอาความเท็จมาพูดทำให้เกิดความเสียหาย ก็สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย

จะเป็นเพราะความกลัวของบริษัทเอง หรือมีคนใกล้ชิดก็แล้วแต่ แต่ลำพังออกมาพูดว่าเรื่องนี้จบแล้ว มันไม่ถูก ไม่คิดหรือจะเกิดกรณีที่ สองสามสี่ตามมา และอ้างว่าบริษัทตัดสินใจเอง เพราะทุกคนกลัวเรื่องธุรกิจ

กรณีที่เกิดกับ สถานีวิทยุ 105 เพราะอยู่ระหว่างการจะต่อสัญญากับบริษัท ในประวัติบริษัทนี้ก็ไม่กลัว นายจักรภพ น่าจะรู้ดีเพราะจัดรายการอยู่คลื่นนี้ รู้จักบริษัทนั้น ช่วงที่เป็น นปก.นายจักรภพก็มาจัดรายการตลอด ยกเว้นตอนถูกควบคุมตัว แต่ทำไมวันนี้บริษัทกลัว รัฐบาลบอกได้ไหมว่าไม่ต้องกลัว ไม่กระทบกับการทำธุรกิจ อย่างนี้ ไม่กระทบกับเสรีภาพ ซึ่งผมไม่บังอาจกล่าวหานายกฯ หรือกรมประชาสัมพันธ์ รัฐมนตรีไปสั่ง แต่หากเราเชื่อเรื่องสิทธิเสรีภาพ วันนี้ ยืนยันได้หรือไม่ว่าเอาอาจารย์เจิมศักดิ์ กลับมาจัดต่อได้ ซึ่งจะเริ่มต้นทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้”

“ก่อนหน้านี้เคยมีข้อครหาว่าจะเป็นนายกฯ หุ่นเชิดหรือไม่แต่บัดนี้ท่านคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงแล้ว ดังนั้นอะไรที่เป็นปัญหากับท่านก็อยากให้นายกฯ จัดการและทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องหากมีคำปรารภ ดังกรณีที่ปรึกษาและเลขานุการ รมต.หรือเรื่องอะไรอีกเป็นครั้งที่ 4-5 ก็จะเป็นศรย้อนกลับมาที่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง

“ไม่ใช่หน้าที่ของนายกฯ ที่จะมาพูดแก้ข้อกล่าวหาให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หรือมาพูดถึงเรื่องมือที่มองไม่เห็น แต่นายกฯ ควรจัดการกับมือที่มองเห็น เพราะนายกฯ มีหน้าที่บริหารบ้านเมือง จัดการความเลวร้ายการทุจริตคอร์รัปชั่น หากทำสำเร็จท่านก็จะก้าวลงจากตำแหน่งได้อย่างสมบูรณ์ หากท่านไม่หลุดพ้นตรงนี้ท่านก็จะเป็นนายกฯ เทียมที่ประเทศชาติและประชาชนไม่ต้องการ”

จากนั้น นาย สมัคร สุนทร เวช นายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้สิทธิ์พาดพิง โดยกล่าวว่านายอภิสิทธิ์ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง อบรมสั่งสอนคนเป็นนายกรัฐมนตรี ตนชื่อสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกฯ มาตามเส้นทางของการเลือกตั้ง มีการตรวจสอบโดย กกต.ถูกต้องเรียบร้อย มีสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้ง 233 คน หัวหน้าฝ่ายค้านที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเมื่อสักครู่ได้รับเลือกตั้ง 165 คน ตนเลยได้เป็นนายกฯ

การพูดจาเหมือนกับอบรมสั่งสอนคนเป็นนายกฯ ฟังดูก็คงจะโก้เก๋ เก่งกล้าดี แต่การจะใช้ข้อความต่างๆ นั้น คนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านแม้อายุจะยังไม่มาก ควรจะต้องมีความรอบคอบการใช้ตัวเลขมากกว่านี้ การ วิจารณ์ว่าเมื่อเป็น รมว.มหาดไทย ตนสั่งปิด นสพ.มากที่สุดนั้น ตนเป็นรมว.มหาดไทย เมื่อปี พ.ศ.2519 ผ่านมาแล้ว 32 ปี คนที่อบรมสั่งสอนตนเมื่อสักครู่นี้ ปีนี้อายุ43 ปี ลองลบดูตอนนั้นก็จะอายุ 11 เท่านั้นเอง แล้วอยู่ในประเทศไทยหรือเปล่า ไม่อยู่หรอกครับ อยู่ประเทศอังกฤษ ถ้าไม่รู้ข้อมูลแล้วล่ะก็ ลองให้ท่านเลขาธิการพรรค หรือประธานที่ปรึกษาพรรคช่วยเล่าให้ฟังหน่อย ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

นายสมัครกล่าวว่า ตนเป็น รมว.มหาดไทย ไม่เคยสั่งปิด นสพ. คนที่ปิดอาจจะเป็นเจ้าพนักงานการพิมพ์ ถ้าเขาจะทำตามหน้าที่บ้างก็จำไม่ได้ว่ามีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าท่านหัวหน้าฝ่ายค้านไม่เคยรู้เลย จะบอกให้ฟังว่าเมื่อเขาปฏิวัติวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น เขาปิด นสพ.ทุกฉบับ ผู้ว่าฯ กทม.ถูกเชิญเข้าไปในคณะปฏิรูป ซึ่งตนบอกว่า ไม่เห็นด้วย ถ้าปิดหมด พรุ่งนี้คนไทยจะรู้ได้อย่างไรว่าคณะปฏิรูปเป็นใครมาจากไหน รุ่งขึ้นคณะปฏิรูปก็ตั้งคณะกรรมการเปิด นสพ. 5 คน มีทหารเป็นหัวหน้า และตนเป็นหนึ่งใน 5 และเป็นคนเปิด นสพ.ทุกฉบับ พยานที่อ้างอิงได้ชื่อนายประพันธ์ เหตระกูล ตอนนั้นอยู่ นสพ.เดลินิวส์

“การอบรมผม เรื่องท่าทีผมต่างๆ ไม่เป็นปัญหาหรอกครับผมฟังได้ ผมอายุมากพอที่จะฟังคนที่อายุ 43 อบรมผมได้ ผมปีนี้ย่าง 73 แล้ว อายุแก่กว่าผู้พูดเพียง 30 ปีเท่านั้น ผมเห็นตื้นลึกหนาบางในบ้านเมืองนี้ และผมเป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงการเมืองถ้าผมสกปรกคิดไม่เป็นทางการเมืองมาไม่ไกลได้ถึงขั้นนี้หรอก จะอยู่แถวไหนยังไม่รู้หรอกครับ ถ้าผมสกปรกผมอยู่เฉยๆไม่ได้หรอกครับ ผมฟ้องคดีประธาน กกต. ซึ่งท่านก็ดีบอกว่าไม่เป็นไร มันก็ผลัดกัน ท่านมากล่าวหาผมๆ เห็นว่าไม่ถูกผมก็ฟ้องท่าน ยังเป็นคนที่รู้จักดี เพราะว่าผมไม่เคยรู้จักท่านเป็นส่วนตัว แต่ท่านฝากความมา บอกว่าไม่เป็นไรคุณสมัคร ก็ทำหน้าที่ของคุณไป ผมก็บอกว่าท่านทำหน้าที่ของท่าน ตอนนี้คดีก็อยู่ในศาล การวินิจฉัยก็ยังเรื่องทั้งหมดนั้น อยู่ที่ คตส. เป็นคนดูแลเรื่องนี้ อยู่ในขั้นสอบสวน เรื่องยังไม่ถึงอัยการด้วยซ้ำไป ยังสอบคนไม่หมดเลย”

นายสมัคร กล่าวว่า สื่อสารมวลชนว่ากล่าวกันรุนแรง เหมือนกับตนสกปรกเต็มที มีคนไปขุดออกมาด้วยซ้ำ ทิ้งขยะกันมา 3 ปี ตนพูดกับ นสพ.ว่าสุจริตเป็นเกราะบังศาสตร์พ้อง สกปรกบาทเดียว เป็นศัตรูกับสื่อสารมวลชนไม่ได้ เขาถลกหนังตายเลย ในเมืองไทยมีคนอย่างนี้กี่คนที่ต่อปากต่อคำกับสื่อสารมวลชน ไม่ละเว้นเลย แต่สำคัญที่สุดนักการเมืองกี่คนในบ้านนี้ ที่ถูกสื่อสารมวลชนสับโขกดุด่าว่ากล่าวเขียนกระทบกระแทกแดกดัน ตนตอบโต้คนพวกนี้เพราะเป็นคนเป็นคนมีจิตมีวิญญาณเป็นคนธรรมดาไม่ให้ใครมาลุกล้ำ คดีความในศาลมีแพ้บ้างชนะใน คดีหมิ่นประมาทเท่านั้น คดีทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงยังไม่เคยโดน

“ ผมไม่ใช่คนสกปรก ไม่ใช่คนทุจริต ผมต้องแน่ใจในตัวผมเอง ผมถึงมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อะไรที่อบรมเหมือนซักครู่นี้ผมเป็นเหมือนนายกฯ คนเก่าไหมครับ ที่ปวดปัสสาวะตั้งแต่เริ่มต้นอ่าน อ่านอยู่ 1 ชั่วโมง หัวหน้าฝ่ายค้านพูดอภิปราย 2 -3 ช.ม. เพราะเกรงใจหัวหน้าฝ่ายค้าน หิวข้าวก็หิว ปวดปัสสาวะก็ปวด แต่ไม่ลุกเพื่อที่จะได้เห็น นึกว่าจะชมเชย กลับไปอ้างนายก่อนๆ เขาจะคิดอะไรจะทำอะไร เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ผม”นายสมัครกล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า นโยบายเขียนมาใหม่วันนี้รับผิดชอบในสิ่งที่เขียน ตัวหนังสือที่ไปแก้ไขตนยังไม่ทราบเลย เพราะเขามีคณะกรรมการไปดูแล มีคณะกรรมการ 6 พรรคมาร่วมกัน ตนไม่ได้ปิดบังสถานการณ์ที่มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนี้ จดทะเบียนถูกต้อง มีดีเบตกันในพรรค และตนชนะได้เป็นหัวหน้าพรรค ไปสมัครรับเลือกตั้ง หาเสียงได้ 233 คนพูดอย่างหัวหน้าฝ่ายค้านได้ 165 เสียง ใครๆ ก็รู้ว่าในพรรคของท่านหัวหน้าฝ่ายค้านเป็น ตนเกิดมาจากพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมีคนบอกว่าออกจากพรรคนี้ไปเจ๊งทุกราย แต่ไม่ใช่คนชื่อสมัคร สุนทรเวช ที่ออกมาแล้วตั้งพรรคการเมืองเอง ต้องไปสู้กับพรรคที่เคยอยู่ เลือกกันใน กทม. ทั้งประเทศมี 391 คน ตนเป็นพรรคตั้งใหม่สมัคร 35 คนได้รับเลือกตั้ง 32 คน กทม.สมัคร 32 ได้ 29 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 1 คน พรรคตนชื่อพรรคประชากรไทยได้ 29 คน แล้วจะบอกให้ฟังว่า 1 คนที่ได้ไปชื่อถนัด คอมันตร์ ถ้าเป็นชื่ออื่นไม่ได้หรอก

ส่วนเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ตนได้ตอบกับฝรั่งตามที่รู้เห็นอยู่สนามหลวงเขาทำอะไรกันไม่ทราบแต่ที่สนามหลวง มันมีคนที่ถูกตี แล้วเอายางมาเผา ตายที่สนามหลวง 1 คน ถ้าฆาตกรมือเปื้อนเลือด คน กทม.รู้ดีกว่าใครหมด รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองดีกว่าใครหมด ตนลงเลือกตั้งคู่ต่อสู้ได้ 5 แสนกว่า ตนได้ล้านกว่า คนมาใช้สิทธิ 2 ล้าน ทำไมฆาตกรมือเปื้อนเลือด ได้รับเลือกตั้งคะแนนล้านกว่า

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบโต้ว่า ช่วงที่อภิปรายตนก็หิวข้าวไม่แพ้ท่านแต่ว่าทำหน้าที่ สิ่งที่พูดก็ยืนยันเป็นข้อเท็จจริง มีเหตุมีผล ตนไม่ได้อบรมนายกฯ แต่ชี้ให้เห็นว่าวันนี้สังคมต้องการนายกฯ ตัวจริง ต้องการรัฐบาลที่มีท่าทีต่อประเด็นในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการเมืองภาคประชาชนอย่างไร ตนไม่ได้พูดสักคำในเรื่องว่าทุจริต หรือความไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่มีท่าทีบางอย่างที่สังคมเขาวิตกกังวล ตนอายุ 43 ปีแต่กินเงินเดือนของประชาชนเท่ากับคนอายุเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน ตนไม่มีสิทธิ์ที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง

“แม้ผมจะอายุน้อยตอนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่ก็สนใจการเมืองมาก่อนหน้านั้น ฟังท่านมาตั้งแต่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ และได้พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ และดูท่าทีของการเมืองว่าเป็นอย่างไร

“ขอท้าเหมือนกันว่าในบรรดาสื่อสารการเมืองขณะนั้นเขาจำท่านในฐานะ รมว.มหาดไทยเป็นมิตรกับสื่อหรือไม่ ผมไม่ได้บอกว่าท่านสั่งปิด แต่ยุคท่านเป็นมีการปิดมากที่สุด แต่ก็ยอมรับเองว่าท่านก็ค่อย ๆ เปิด ผมก็ศึกษาประวัติศาสตร์และรู้ว่าท่านก็กระทบกระทั่งกับสื่อมาตลอด ท่านก็ไปเปิดหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ ผมจำได้หมดชื่อพรรคท่าน ชื่อหนังสือพิมพ์ท่าน และท่านก็ออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์

“ท่านอาจจะอายุมากกว่าผม ผมก็ยอมรับ ท่านได้รับเสียงมากกว่าผมก็ยอมรับ แต่เราทำหน้าที่ตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาถากถาง ท่านให้เหตุผลในการเปิดหนังสือพิมพ์ว่าเป็นห่วงฝ่ายปฏิวัติ นี่ก็เป็นตัวอย่าง ผมเกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่คิดจะไปจากพรรคนี้ ช่วงที่พรรคประชากรไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์ท่านก็เยาะเย้ยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ได้ไม่ยั่งยืนเหมือนพรรคท่าน แล้ววันนี้ท่านยังอาศัยพรรคท่านอยู่หรือไม่”

นายสมัคร ได้ตอบโต้ว่า คนอย่างตนไม่เคยเยอะเย้ยพรรคประชาธิปัตย์ ไปหาหลักฐานมาได้ แต่เหตุผลที่ชี้แจงเรื่องทุจริต เพราะมีการกล่าวหาว่าจะยุบ คตส. ตนก็ยืนยันไปแล้วว่าเป็นปฏิปักษ์กับสื่อ ความคิดไม่ตรงกับสื่อ มีรัฐธรรมนูญมาตราไหนที่ห้ามคนเป็นนายกฯ รัฐมนตรี หรือนักการเมืองมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสื่อ ที่พูดเพราะต้องการให้ได้สติบ้างครั้งก็นึกว่าตัวเองเก่งกาจ แต่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาฟังอยู่เขาคิดว่าหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอบรมนายกฯ

ต่อมานายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นขอใช้สิทธิ์พาดพิงว่า รายละเอียดเหตุการณ์ช่วง 6 ตุลาฯ นั้น ตนไม่สามารถที่จะตอบได้เพราะตอนท่านหารือกันอยู่นั้นตนกำลังหนีอยู่ เพราะถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ จึงไม่มีโอกาสรู้ว่าหารือกันอย่างไร ส่วนกรณีของคนที่เคยอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ตนยอมรับในน้ำใจของคนที่สำนึกบุญคุณกับพรรค แต่บางคนไม่สึกนึกในบุญคุณ ทั้งที่พรรคไม่เคยให้ร้ายกับคนเหล่านี้และมีแต่ส่งเสริม

นายชวน กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกฯ ระบุว่า ชนะการเลือกตั้ง ปี 2522 นั้นตนยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ นายกฯ อาจจะลืมไปแล้วระหว่างอยู่ในสภา นายสมัครหัวเราะเยาะในวันหนึ่ง ประชาธิปัตย์อีกหน่อยเป็นพรรคต่ำสิบ ไปดูรายงานการประชุมได้ เหมือนเคยเอาพระมาสาบานในสภาขณะที่ตนเป็นประธานสภา ซึ่งตนบอกว่า อย่าสาบานเพราะอยู่กันหลายคน ถ้าสาบานเปรี้ยงไปก็ตายหมด ตนจำที่นายกฯ พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่าอีกหน่อยพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคต่ำสิบ แล้วในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยต่ำสิบ แต่พรรคของนายสมัคร(พรรคประชากรไทย) ในที่สุดก็ต่ำสิบ

“ ผมไม่ได้วิจารณ์อะไรท่านมาก เพราะถือว่าเป็นนักการเมืองที่มาจากระบบเลือกตั้งด้วยกัน แต่ท่านไปวัดได้ 200 กว่ากับ 165 มาเป็นความดี ไม่ดี ในฐานะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ผมภูมิใจที่อยู่พรรคนี้ เพราะพรรคส่วนให้ทำงานการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต ให้รักบ้านเมือง รักสถาบัน ดำรงความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เอาไว้ นายกฯ รู้ดี ความขัดแย้งของท่าน และคนในพรรคหรือการวางบันไดตามขั้นเพื่อเป็นนายกฯ ในสมัยนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งจะไม่วิจารณ์”

อย่างไรก็ตามนายสมัครยังคงตอบโต้กับนายชวน เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพรรคในช่วงที่ลาออกจากพรรค โดยยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเพราะพรรคตกต่ำ แต่ออกเพราะไม่ต้องการเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และมีคนไม่พอใจที่ตนได้รับการเสนอชื่อ นอกจากนั้น ยังได้ขอสาบานกลางสภาว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้ง14 ตุลา 16 และ 6 ตุลาฯ 19 หากมีส่วนเกี่ยวข้องก็ขอให้มีอันเป็นไปนับตั้งแต่บัดนี้ แต่ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ขอให้ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
กำลังโหลดความคิดเห็น