xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” เตือน “เพ็ญ” ฮั้วผลิตข่าวเสี่ยงคุกตลอดชีพ - จับตายุบ “ชาติไทย-มัชฌิมาฯ” มวยล้ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” เตือน “จักรภพ” มีสิทธิ์นอนคุกยาวตลอดชีวิต จ้าง 2 บ.ผลิตข่าวป้อน NBT ส่อผิด พ.ร.บ.ฮั้ว ชี้จุดบอด “เพ็ญ” ทำทุกย่างใช้ “การเมือง” นำ โอกาสพลาดสูง แนะ ตร.เรียก “จตุพร” สอบหลังออกอาการร้อนตัวปัดคุกคามนักข่าวสาว จับตายุบ “ชาติไทย-มัชฌิมาฯ” ส่อเป็นมวยล้ม

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์    ช่วงที่ 2


รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 10 เมษายน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามสดนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงการดำเนินการกับสถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีการตั้งข้อสังเกตถึงการประกวดราคาผลิตรายการที่มีเพียง 2 บริษัท และให้ค่าตอบแทนรัฐเพียง 40 ล้านบาท ทั้งที่น่าจะได้ถึง 750 ล้านบาท นอกจากนี้ทั้ง 2 บริษัทยังมีสถานที่ตั้งอยู่แห่งเดียวกัน จึงเกรงว่าอาจจะมีการฮั้วประมูลหรือไม่

ขณะที่นายจักรภพ กลับชี้แจงแทนราวกับรู้จักสองบริษัทนี้เป็นอย่างดี โดยอ้างว่าจะต้องเลือกบริษัทที่มีจิตวิญญาณในการทำหน้าที่สื่อมวลชน อีกทั้งเชื่อว่า 2 บริษัทที่ผ่านการพิจารณาจะสามารถพัฒนาศักยภาพของช่อง 11 ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการนำเสนอรูปแบบใหม่ได้อย่างเห็นผลตรงตามเป้าหมาย แต่ข้อมูลที่นายอลงกรณ์นำมาเปิดเผยกลับพบว่าทั้ง 2 บริษัท มีที่อยู่ที่เดียวกัน โดยบริษัทหนึ่งเพิ่งตั้งขึ้นมา 5 เดือน ขณะที่อีกบริษัทหนึ่งเคยทำธุรกิจรถเช่ามาก่อน อย่างนี้หรือที่เรียกว่ามีจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชน ความไม่ชอบมาพากลตรงนี้ หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.การเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (ฮั้วประมูล) หากมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง โทษก็จะถึงขั้นติดคุกตลอดชีวิตทีเดียว

นอกจากนี้ ที่นายจักรภพอ้างว่า ที่ไม่สามารถทำรายได้ถึง 750 ล้านนั้น เพราะบริษัทที่เข้ามาไม่มีแรงจูงใจที่จะหารายได้ แต่ปรากฏว่าในระยะนี้มีโฆษณาของรัฐวิสาหกิจเข้ามาในเอ็นบีทีมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่านายจักรภพทำไมต้องไปตอบคำถามแทนบริษัทเอกชน ทำเป็นรู้เรื่องกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นอย่างดี และนี่เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เห็นว่านายจักรภพทำอะไรมักจะใช้การเมืองนำเสมอ ทำให้มีโอกาสจะทำผิดพลาดสูงมาก

“ไม่รู้ว่าวันนี้นโยบายของสถานีโทรทัศน์ NBT ทำเพื่ออะไร หรือทำเพื่อใคร ถึงเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน แม้กระทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอเวลาออกอากาศไป ก็ยังไม่ได้ออกอากาศจนถึงทุกวันนี้ ผิดกับ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคพลังประชน กลับได้โอกาสชี้แจงกรณีกระโดดถีบ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็เปิดโอกาสให้นายการุณ ชี้แจงอยู่ฝ่ายเดียว เป็นการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวอย่างชัดเจน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้เข้าไปชี้แจง”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า เรื่องแบบนี้สถานการณ์เป็นตัวพิสูจน์ สถานีโทรทัศน์ NBT วันนี้ราวกับเป็นช่องไอทีวีเดิม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากร วิธีการพูด รูปแบบรายการ ผังรายการ แถบจะยกมาทั้งหมด และที่น่าสนใจจำนวนไม่น้อยที่มาอยู่ช่อง 11 ต่างเคยได้รับผลตอบแทนจากการชดเชยหลังไอทีวีถูกยุบ คนพวกนี้มีบุญมากกว่าพนักงานของรัฐที่เคยถูกเลิกจ้าง จะสงสารก็แต่ผู้ประกาศช่อง 11 เดิม ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน จะมีโอกาสได้ออกรายการหรือไม่

**จี้ ตร.เรียก “จตุพร” สอบกรณีปัดคุกคามนักข่าวสาว

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้นำข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชน กรณี น.ส.ชลธิชา หลิมทอง ผู้สื่อข่าวการเมืองประจำรัฐสภา ของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ภายหลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์คุกคามขณะเดินทางกลับที่พักมาหารือในที่ประชุมสภา ว่า นายจตุพร กำลังพยายามอธิบายและไม่ต้องการให้ประชาชนสงสัยส่งคนคุกคามนักข่าวสาว เนื่องด้วยเคยปะทะคารมกับ น.ส.ชลธิชา มาไม่กี่วันก่อน ทั้งที่ไม่มีใครถามนายจตุพรเลย

ขณะเดียวกัน นายจตุพรก็พยายามอ้างถึงพฤติกรรมและบุคลิกเฉพาะตัวในการแถลงข่าว ที่ชอบกระทบกระทั่งกับสื่อมวลชนอยู่เป็นประจำ การชี้แจงของนายจตุพร ดูเผินๆ เหมือนเป็นการร้อนตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะออกหมายเรียกมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง อย่าปล่อยอำนาจมืดมาคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะสื่อมวลชนหลังๆ มานี้จะเกิดปัญหากระทบกระทั้งกับนักการเมืองบ่อยครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง และถูกคุกคามภายหลังได้เช่นกัน

** เซ็งมาตรฐานรองประธานสภาฯ นปก.

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พูดคำว่า “ไอ้หน้าตัวเมีย” ระหว่างการหารือในสภากรณีมีชายลึกลับติดตามคุกคามผู้สื่อข่าวสาวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จนถูกประท้วงจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ว่าใช้คำไม่สุภาพ แต่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ปรานการประชุมกลับบอกว่าเป็นคำพูดที่ยอมรับกันทั่วไปสามารถพูดในสภาได้

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พ.อ.อภิวันท์ ก็ยอมรับให้ใช้คำว่า “ถ่อย” ในสภาได้ แสดงให้เห็นมาตรฐานของสภาไทยที่สะท้อนออกมาทางการพูดจา ทั้งนี้ การพูดในสภานั้นควรใช้เหตุใช้ผลเป็นสาระสำคัญ แต่การใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพรวมทั้งการกระทำทางกายที่แสดงออกมานั้น ก็อาจจะเรียได้ว่าเป็นยุคอันธพาล

**บ้านเมืองวิกฤต กกต.ต้นเหตุ

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้กล่าวคำอวยพรให้กับนายทหารที่เข้ารดน้ำดำหัวเนื่องในวันสงกรานต์ โดยพล.อ.เปรมได้ขอให้ข้าราชการสนองพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและบุญคุณของแผ่นดิน ซึ่งเป็นคำอวยพรในยุคที่ข้าราชการที่ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต กำลังท้อถอย ในบรรยากาศทางการเมืองที่เป็นแบบนี้

ผู้ดำเนินรายการได้ตั้งข้อสังเกตถึงการรดน้ำดำหัวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลว่ามีเพียงนายทหารแต่ละเหล่าทัพและนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรีที่มีความใกล้ชิด ตรงกันข้ามกับการรดน้ำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ตึกชินวัตร 3 ที่มีรัฐมนตรีหลายคน รวมถึง ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนไปร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า โดยมีผู้แทนจากพรรคชาติไทยและเพื่อแผ่นดินไปร่วมด้วย โดยจัดที่ชั้น 14 ของตึกดังกล่าวและห้ามผู้สื่อข่าวขึ้นไปถ่ายภาพโดยอ้างว่ากลัวจะมีภาพไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเสร็จจากการให้รดน้ำได้ลงมาที่ชั้นล่างของตึกและพบกับกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 100 คน ขณะเดียวกันนายขวัญสรวง อติโพธิ กรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสที่ตั้งอยู่บนอาคารเดียวกันได้เดินลงมา เมื่อพบกับกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณก็ถูกด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งภาพเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงมีความสำคัญทางการเมืองเหมือนเดิม เมื่อเทียบกับอดีตนายกฯ คนอื่นๆ ดังนั้นจึงมีนักการเมืองกระตือรือร้นเข้าไปหามากกว่านายสมัคร สุนทรเวช

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การให้โอวาทของ พล.อ.เปรมเป็นเรื่องที่น่าคิด ในยามที่บ้านเมืองกำลังมืดมน การปฏิบัติตามพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทแต่ละองค์เต็มไปด้วยอุปสรรค ความหวังที่เราเคยมีต่อองค์กรอิสระก็หมดไปแล้ว โดยเฉพาะ กกต.เมื่อนางสดศรี สัตยธรรม ออกมาบอกว่าให้พันธมิตรฯ สมานฉันท์กับรัฐบาล โดยไม่สนใจความถูกผิด ผลพวงจากการมี กกต.แบบนี้หรือไม่ เราจึงมีความถ่อยในสภา มี ส.ส.และรัฐมนตรีที่ไม่ยี่หระต่อกฎหมาย ทำผิดอย่างไรก็ไม่รับผิดชอบ มีแต่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษให้กับตัวเองและพวกพ้อง ปัญหาเหล่านี้มีต้นตอมาจาก กกต. ซึ่ง กกต.ต้องรับผิดชอบ

** “ยุบชาติไทย-มัชฌิมาฯ” ส่อมวยล้ม

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 11 เม.ย.นี้ กกต.จะสรุปคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะทำเรื่องสรุปความเห็นว่าควรจะส่งให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ โดยล่าสุดมีข่าวลือที่ทำให้ไม่น่าสลายใจ เพราะผลจะออกมาไม่เป็นไปตามที่หลายคนคิด นั่นคือไม่มีการส่งต่อให้ตุลาการรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าว อาจจะเกี่ยวพันกับกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปตรวจสอบ กกต.เรื่องการฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่งเลขาธิการ กกต.เคยให้สัมภาษณ์ว่าอาจเกี่ยวพันกับการยุบพรรค สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของ กกต.หรือไม่ แต่จากการให้สัมภาษณ์ของนางสดศรี ก็ทำให้ไม่ค่อยสบายใจ

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า การที่ กกต.ไม่ส่งเรื่องต่อ อาจจะมีผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะถ้า กกต.คิดแบบนั้น ความจำเป็นที่จะแก้ไขมาตรา 237 ก็อาจไม่มีอีกต่อไป แต่ก็ยิ่งทำให้แก้ไขได้ง่ายขึ้น เพราะถือว่าไม่มีส่วนได้เสียแล้ว

**เลื่อนคดีนอมินี-บ้านเมืองน่าห่วง

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่นายไพทูรย์ เนติโพธิ์ ประธานอนุการสอบสวนคดีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนให้กับพรรคไทยรักไทย จะขอขยายเวลาการสอบสวนอีกออกไปอีก เพราะการขยายครั้งที่แล้ว กกต.ไม่ได้บอกว่าเป็นการขยายครั้งสุดท้าย ทั้งนี้เพราะอนุฯ ยังไม่สามารถติดต่อ พ.ต.ท.ทักษิณมาให้การได้ เพราะหนังสืออาจจะยังไปไม่ถึง และอาจจะเลื่อนการสรุปออกไปหลังวันสงกรานต์ ว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ น่าเป็นห่วงอย่างมากต่อสถานการณ์ของบ้านเมือง

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชัดเจนว่าทันทีที่มีการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าบางมาตราหรือทั้งฉบับ จะยื่นถอดถอน ส.ส.ที่เข้าชื่อทันที

ทั้งนี้ กรณีการแก้ไขมาตรา 237 นั้น พรรคที่สุ่มเสี่ยงที่สุด คือ ชาติไทย และมัชฌิมาฯ ส่วนพรรคพลังประชาชนยังไม่ถึงคิว ดังนั้นพรรคพลังประชาชนจึงพยายามดึง 2 พรรคนี้เข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ามีการแก้ไขมาตรา 237 เพื่อหนีการยุบพรรค ส.ส.ของ 2 พรรคนี้ก็จะถูกยื่นถอดถอนทันที พรรคชาติไทยจึงรู้ตัวเองดีว่า ถ้าทำทะเล่อทะล่าอาจจะไม่แค่ยุบพรรคเสียกรรมการบริหาร แต่จะเสีย ส.ส.ไปทั้งหมด และเป็นผลดีต่อพรรคพลังประชาชน อย่างไรก็ตามพรรคพลังประชาชนเองก็ยังมีคดีใบแดงของนายงยุทธ ติยะไพรัช รออยู่ ถ้าพิจารณาคดีเสร็จก่อน และ ส.ส.พรรคพลังประชาชนยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะถูกยื่นถอดถอนรอบที่ 2

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )



กำลังโหลดความคิดเห็น