xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” จี้ “หมัก” ปรับ 9 รมต.ขี้เหร่ - เตือน “พลังแม้ว” เคยแพ้ประชามติ รธน.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายการยามเฝ้าแผ่นดินดำเนินรายการโดยปานเทพ พัวพงษ์พันธ์นักวิชาการอิสระและจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ
“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ประเมิน “ครม.หมัก 1” ไปไม่รอด หลัง “ไชยา” ติดบ่วงแจ้งหุ้นไม่ครบ แนะปรับ ครม.ขี้เหร่ 9 ตำแหน่ง “จักรภพ-นพดล-เฉลิม-สุธา” ติดโผ หา “น้ำดี” มานั่งแทน ไม่เช่นนั้นนายกฯ ต้องลาออก จับกลลวง “พลังแม้ว” หันแก้ รธน.ทั้งฉบับลดเสียงต้าน ย้ำแก้เพื่อตัวเองขัด ม.122 แน่ เตือนอย่าลืมเคยแพ้ประชามติ 14 ล้านเสียงมาแล้ว

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ  ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ   ช่วงที่ 2


รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 8 เมษายน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณี นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ประกาศไม่ขอลาออกจากตำแหน่ง ภายหลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดกรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินภรรยาถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ล่าช้า ว่า ตามรัฐธรรมนูญนายไชยา ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทันที ไม่ควรดื้อดึงอยู่ในตำแหน่งต่อ ถ้ารัฐมนตรีรู้ว่าผิดจริง ก็ควรสำนึกในจริยธรรมยุติการทำหน้าที่เฉกเช่นนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายไชยาต้องเจอกับกระแสแรงกดดันมาก เห็นได้จากการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ก็ต้องออกมาแถลงกันถึงสองรอบ ด้วยความที่ไม่แน่ใจเรื่องข้อกฎหมาย ไม่สนใจว่าข้าราชการในระดับล่างจะรู้สึกอึดอัด เกรงว่า คำสั่งของรัฐมนตรีจะมีผลทางกฎหมายย้อนหลังหรือไม่ หากรัฐมนตรีได้กระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ขณะเดียวกันปัญหาดังกล่าวก็จะนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรีในท้ายที่สุดด้วย

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังรู้สึกอ่อนใจกับคำพูดของไชยาที่บอกว่า อะไรคือจริยธรรม กฎหมายไม่ได้ระบุเอาไว้ และเมื่อแพทย์ชนบทเรียกร้องให้แสดงสปิริต ก็บอกว่าไม่ลาออก เพราะไม่ผิด ซ้ำยังบอกว่าให้เแพทย์ชนบทลาออกไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสิ

ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ควรจะใช้โอกาสนี้ปรับคณะรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง เนื่องจากรัฐมนตรีหลายคนมีปัญหา นอกจากคดีการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของภรรยานายไชยาแล้ว ยังมีกรณีวุฒิการศึกษาของนายสุธา ชันแสง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เวลานี้ยังไม่ยอมออกมาตอบข้อซักถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี กรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เรียกคลื่นวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์คืนจากเอกชน จัดทำผังรายการของช่อง 11 โดยดึงเอาอดีตพนักงานของไอทีวีเข้ามา การแทรกแซง อสมท นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรี ที่ คตส.ชี้มูลความผิดในคดีหวยบนดิน 3 คน คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงงาน และนายอนุรักษ์ จุรีมาศรมช.คมนาคม

**เปิดโผ 9 รัฐมนตรีควรถูกปรับออก

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า นายสมัคร น่าจะปรับคณะรัฐมนตรีถึง 9 ตำแหน่ง คือ 1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง 2.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม 3.นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงงาน 4.นายสุธา ชันแสง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คดีวุฒิการศึกษา 5.นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข 6.นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ที่ไม่อำนวยความสะดวกให้กับนายกรัฐมนตรี ไม่สมกับการเป็น รมว.ต่างประเทศ แต่เหมาะกับการเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มากกว่า โดยล่าสุดมีข่าวว่านายนพดล ยกเลิกกำหนดการเดินทางไปอียิปต์โดยอ้างว่าป่วย แต่กลับมีกระแสข่าวว่านายนภดลเดินทางไปธุระส่วนตัวที่พม่าแบบไปเช้าเย็นกลับ

7.นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับผังรายการของช่อง 11 หมิ่นแหม่ต่อการแทรกแซง อสมท. มิหนำซ้ำยังสั่งการให้ช่อง 11 ถ่ายทอดสด การถกร่างรัฐธรรมนูญของแกนนำ นปก. 8.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่สร้างบรรยากาศในทางลบต่อรัฐบาล ทุกๆ วันที่ปรากฏ จะเห็นการแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ถูกที่ถูกเวลา และ9.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างแท้จริง คนที่มาดูแลกระทรวงนี้ควรเป็นคนที่เข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์โดยภาพรวม ไม่ใช่นักประชาสัมพันธ์ ทั้ง 9 คนนี้ ควรถูกปรับออกและนำคนที่เป็นน้ำดีมาทำงานเพื่อคน 63 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนบางคนหรือพวกพ้องตัวเอง หากสุดท้ายแล้วนายสมัครไม่สามารถทำได้ นายสมัครก็สมควรพิจารณาตัวเอง

**รังแกข้าราชการ – ปูนบำเหน็จพวกพ้อง

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่านายสมัครได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง และถูกสอบเพิ่มอีก 4 ประเด็น ว่า บรรทัดฐานการตรวจสอบในขณะนี้ไม่เท่าเทียมกัน รัฐมนตรีบางท่านถูกชี้มูลความผิดฐานแจ้งบัญชีทรัพย์สินภรรยาถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ล่าช้า แต่ก็ยังจะนั่งทำงานต่อได้ เหตุใดกรณีของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพียงแค่ถูกตั้งข้อกล่าวหา กลับถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันเดียวกัน มีมติเห็นชอบในคำสั่งย้าย พล.ท.ศิรพงศ์ บุญพัฒน์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กลับต้นสังกัดเดิม และให้ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กระทรวงกลาโหม มาดำรงตำแหน่งเลขา สมช. แทน ซึ่งนายสมัคร ยืนยันว่า การโยกย้ายดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งก็ไม่แปลกหากเป็นการโยกย้ายตามฤดูกาล แต่นี่เป็นการโยกย้ายคนสนิทและพวกพ้องไปนั่งในตำแหน่ง เลขา สมช.เพื่อคุมกระบวนการข่าวทั้งหมด ไม่มีระบบคุณธรรมเหลืออยู่ เป็นการโยกย้ายทั้งๆที่ พล.ท.ศิรพงศ์ ไม่มีความผิดอะไรเลย

นอกจากนนี้ยังมีการรับโอน นายดำรงค์ พิเดช ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหาร 10) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร 10) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่านายดำรงมีความใกล้ชิดกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช และถูกตั้งข้องสงสัยว่านำม็อบเจ้าหน้าที่ป่าไม่ไปก่อกวนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพีนีถึง 2 ครั้ง

** เตือนความจำ “พลังแม้ว” แพ้ประชามติ รธน.50

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งล่าสุดที่นายจักรภพ เพ็ญแข อ้างว่า ได้ฟังความคิดเห็นของประชาชนมาตลอด เพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีข้อสงสัยว่าว่าจะเป็นการแก้ไขเพื่อตัวเองนั้น น่าจะเป็นการพูดแบบดันทุรังมากกว่า หรือไม่ก็เป็นการฟังเสียงคนของตัวเอง เช่น กลุ่มคนที่สวมเสื้อแดง นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก. ที่ไปยื่นจดหมายเปิดผนึกที่พรรคพลังประชาชน ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และกลับไปใช้ฉบับปี 2540 พร้อมกับชูป้ายข้อความ เช่น “รธน.50 กำหนดให้คนชั่วทำรัฐประหารพ้นผิด ทำลายภาคประชาชนอย่างแท้จริง” และ “เอา รธน.50 ของมึงคืนไป เอา รธน.40 ของกูคืนมา” ซึ่งคงเป็นคำที่นายจักรภพต้องการได้ยิน

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า กรณีที่พรรคพลังประชาชนเปลี่ยนไปเป็นการเคลื่อนไหวให้แก้ไขรัฐธรรนูญทั้งฉบับ น่าจะเป็นแรงกระเพิ่มจากการที่นักวิชาการหลายกลุ่ม ตลอดจนผู้อาวุโสในบ้านเมืองได้ออกมาเตือนว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราเพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ ซึ่งทำให้ทางฝ่ายพรรคพลังประชาชนประเมินกันว่า คงแก้ไขได้ยาก จึงต้องการหาพวก โดยการเพิ่มการแก้ไขมาตราอื่นๆ เข้าไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า การที่เมื่อบอกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ดีกว่าฉบับ 2550 นั้น เคยมีการรณรงค์โดย นปก.และพรรคพลังประชาชนมาแล้วในช่วงการลงประชามติ ซึ่งปรากฏว่าแพ้ ทั้งที่มีการรณรงค์อย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็ยังมีคนรับร่างรัฐธรรมนูญถึง 14 ล้านคน เพราะฉะนั้นในแง่ความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 2550 ถือว่าพรรคพลังประชาชนแพ้ไปแล้ว

ส่วนในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช ฯลฯ ไม่มีพรรคไหนที่เอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหาเสียง มีแต่พรรคพลังประชาชนเท่านั้น และพรรคพลังประชาชนก็ได้เสียงไม่ถึงครึ่ง โดยได้คะแนนแค่ 12 ล้านเสียง น้อยกว่าคะแนนที่รับร่างรัฐธรรมนูญ 14 ล้านเสียง

ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ไมได้ให้น้ำหนักกับการยื่นจดหมายเปิดผนึกของ นพ.เหวงเท่าไหร่นัก เพราะคนอย่าง นพ.เหวงเป้ฯคนที่สนับสนุนในบทบาทของตัวเอง เคยบอกว่าทักษิณขายชาติ ทักษิณโกหก แต่ต่อมากลับบอกว่ารักทักษิณ

ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ถูกจับได้ไล่ทันว่าเป้ฯการแก้ไขเพื่อตัวเอง จึงมีการหาแนวร่วมด้วยการจะแก้ไขทั้งฉบับ และมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ดูว่ามีความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่คนภายนอกดูก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันเอง นักวิชาการบางคนที่อออกมาสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็เคยถูกทาบทามให้เป็นโฆษกพรรค บางคนก็เป็นนักวิชาการประเภทแอบแฝงสนับสนุนพรรคพลังประชาชน ซึ่งความจริงคนพวกนี้ไม่ต้องไปยื่นหนังสือก็ได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มรักทักษิณ

ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวอีกว่า ระหว่างที่กลุ่มของ นพ.เหวงไปยื่นจดหมายเปิดผนึกที่พรรคพลังประชาชนนั้น มีแกนนำบางคนเอากระดาษมาจดชื่อคนที่เดินทางไปร่วม ส่วนแกนนำอีกคนได้ไปกดเอทีเอ็มที่อยู่ในที่ทำการพรรคด้วย ทั้งนี้เป็นที่สังเกตว่าระยะหลังนี้นายวรัญชัย โชคชนะ หายหน้าไปเลย เพราะถูก นพ.เหวงมาขโมยซีนในการจัดม็อบตามที่ต่างๆ

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า มาตรา 122 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า ส.ส. ส.ว.ต้องเป้ฯผู้แทนของปวงชน ไม่อยู่ในอาณัติหรือภายใต้การมอบหมายของใคร ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย เพราะฉะนั้นหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องแก้เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทยจึงจะยอมรับได้ เพราะรัฐธรรมนูญนี้ มาจากปวงชนที่ลงประชามติ

ที่สำคัญคือ วรรคสุดท้ายของมารตรานี้ ที่ว่า ต้องปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือให้ตัวเองดีขึ้น ย่อมถือว่าผิด นอกจากนี้ ถ้ากระบวนการแก้ไขนี้ทำโดยผู้ที่มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในพรรคการเมืองที่ถูกสั่งยุบ จะแก้ไขเพื่อไม่ให้พรรคตัวเองต้องถูกสั่งยุบอีกครั้ง หรือให้พวกพ้องที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากการยุบพรรคคราวที่แล้วพ้นจากความผิด และให้พรรคของตัวเองไม่ถูกยุบโดยถาวร เป็นผลประโยชน์ขัดกันอย่างชัดเจน

ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้ว่าจะแก้โดยรวมทั้งฉบับ หรือแก้บางมาตรา ล้วนแต่จะมีการแก้ไขมาตรา 237 และ 309 ซึ่งเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญนั้นแก้ไขได้ แต่ไม่ใช่มาล้มล้าง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยจะเอาฉบับปี 2540 มาใช้ เพื่อให้ไม่สามารถตรวจสอบนักการเมืองได้ จะเข้าข่ายการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มว่าจะแก้ไขทั้งฉบับโดยเร่งเวลา ด้วยการเอาฉบับปี 2540 มาตัดแปะเอา

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )



กำลังโหลดความคิดเห็น