xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” แฉวุฒิฯ “สุธา” หึ่งถึงเมืองนอก - สอน “เป็ดเหลิม” หัดเคารพคนอื่นบ้าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” แฉวุฒิฯ “สุธา” ฉาวโฉ่ถึงฟิลิปปินส์ สื่อตากาล็อกตีข่าว รมต.ไทยส่อหลุดเก้าอี้ เตือนสติ “เป็ดเหลิม” รู้จักเคารพคนอื่น ยันทุกคนทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้ “ปานเทพ” ฝากบอก “อาเหลิม” จะปกป้องทักษิณก็ทำไป แต่ในฐานะ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ขอทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างไม่ลดละ เตือน “จักรภพ” จ่อคิวถูกขับไล่ หลังฮึกเหิมรื้อช่อง 11 ขู่ปลด ผอ.ใหญ่ อสมท

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 27 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีสำนักข่าวในประเทศฟิลิปินส์ (Inquirer) รายงานข่าวถึงความเป็นไปได้ที่ รมต.ของไทยอาจพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากวุฒิการศึกษา พร้อมกับการเปิดเผยการสำรวจวิทยาลัยรีพับลิกัน (Republican College) ในเว็บบล็อก www.oknation.net/blog/thaibaan ซึ่งผู้เขียนเป็นชาวไทยใช้นามแฝงว่า “เสี่ยวไทบ้าน” ได้เดินทางไปพร้อมกับชาวฟิลิปปินส์เพื่อสำรวจวิทยาลัยที่ นายสุธา ชันแสง รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อ้างว่าจบการศึกษานั้นมีสภาพของสถานศึกษาเป็นอย่างไร

โดยผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า บรรยากาศโดยรวมของมหาวิทยาลัยที่ถูกนำเปิดเผย เป็นสถาบันที่ดูจะเก่าแก่มาก มีสภาพไม่แตกต่างกับห้องแถวหรือโกดังที่เสื่อมโทรม ขณะเดียวกันยังสามารถขอเอกสารที่เป็นประกาศนียบัตรและระเบียนการศึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้โดยไม่ต้องยื่นขอตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ทั้งที่ปกติโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทุกที่จะไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่นักศึกษาหรือผู้รับมอบอำนาจได้มาอย่างง่ายดาย แต่เอกสารของนายสุธา หากใครไปขอ เจ้าหน้าที่ของสถาบันดังกล่าวจะหยิบให้โดยไม่มีการตรวจสอบทั้งสิ้น

ส่วนตราประทับในระเบียนการศึกษาของนายสุธา เป็นการประทับตรารับรองเอกสารในปี 2008 ซึ่งอาจมีการขอเอกสารก่อนหรือหลังรับแต่งตั้งรัฐมนตรีก็ได้ แต่หากดูรายละเอียดเพิ่มเติม กลับมีข้อสังเกตอยู่ที่ปีเข้าเรียนที่ระบุอยู่ในระเบียนการศึกษา พบว่า นายสุธา เข้าเรียนเพียงเทอมเดียว คือ ระหว่างปี 1983-1984 อีกทั้งยังเป็นการเข้าเรียนในครึ่งปีหลัง ซึ่งไม่แน่ใจว่า นายสุธานั้น ได้เรียนครบตามเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)กำหนดไว้หรือไม่

***จี้ “เติ้ง” ย้อนดูสัญญา ปชช.ก่อนริรื้อ รธน.

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 309 ว่า นายสมัคร พูดมีเหตุผล เพราะถึงแม้จะพยายามทำหรือแก้ไขก็ย้อนหลังไม่ได้ นอกจากนี้ ส.ส.อีสาน พรรคพลังประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมองว่า ได้มาเป็น ส.ส.หน้าใหม่เพราะอดีตกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิ หากไปแก้ไขกฎหมายแล้วคนเหล่านั้นกลับมาก็อาจจะไม่ได้เป็นส.ส.อีกก็ได้

“นายสมัคร มีวิธีคิด อาจจะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 237 แต่ส่วนที่มีความสำคัญอย่างในมาตรา 309 นายสมัคร ก็ไม่อยากแตะ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเองโดยตรง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนใหญ่ ผนวกกับความคิดเห็นของ ส.ส.ส่วนใหญ่ก็อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มาพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาล นอกจากนี้พรรคพลังประชาชนก็กำลังเจอแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้อีกด้วย”

จากนั้น ผู้ดำเนินรายการได้นำเทปบันทึกภาพของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ในวันเปิดแถลงข่าวประกาศ 5 เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล โดยต้องการย้ำเตือนความจำ 5 เงื่อนไขที่พรรคชาติไทยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นายบรรหาร จำได้หรือไม่ว่าได้เคยประกาศอะไรไว้ ต้องเข้าใจจุดยืนของพรรคการเมือง เมื่อประกาศสัญญาต่อประชาชนแล้วทำตามไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะดำรงอุดมการณ์ของพรรคการเมืองไว้ได้อย่างไร

** สวน “ดร.เหลิม” ทุกคนทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวหาว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นพวกที่ก่อความวุ่นวาย และรวมกลุ่มสถาปนากันขึ้นมาเองกันขึ้นมาเอง ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำฯ ก็ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาตินอกจากล้มละลาย ต่างจากตนที่อย่างน้อยก็เคยจับโจร และเรียกร้องให้นายสนธิตั้งพรรคการเมือง ว่า ร.ต.อ.เฉลิม ชอบอ้างว่าตนเองเชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดกลับขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะความจริงแล้ว พันธมิตรฯ ถือเป็นความสวยงามตามระบอบประชาธิปไตย และได้รับการรับรองโดยหลักการของรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การที่ร.ต.อ.เฉลิมท้าโต้วาทีเรื่องรัฐธรรมนูญกับพันธมิตรฯ เป็นเวลา 2 ชั่วโมง โดยไม่เอาตำราเข้าไปนั้น เป็นการโอ้อวดเกินจริง เพราะความจริงแล้วแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ก็ยังต้องเปิดตำรา เพื่อดูเนื้อความในมาตราต่างๆ แต่ประเด็นนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจบปริญญาด้านใดมา แต่อยู่ที่ความเข้าใจในหน้าที่ของตนเองต่างหาก ชาวบ้านแก่ๆ ก็เปิดรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองได้ เพราะวุฒิการศึกษาไม่สำคัญ อย่างตัว ร.ต.อ.เฉลิมเอง เคยด่าสื่อบนโรงพัก ตอนนั้นยังไม่จบปริญญาเอก แต่ตอนนี้จบแล้วก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ดังนั้นทุกคนต้องเคารพซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่

ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ ร.ต.อ.เฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยความโกรธนั้น น่าจะเป็นเพราะไม่สามารถปิดบังความคิดที่แท้จริงของตัวเองได้ เพราะช่วงแรกๆ นั้น ร.ต.อ.เฉลิมได้พูดถึงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯว่าเป็นเรื่องปกติ จะจัดชุมนุมก็จะไปจัดห้องน้ำให้ พยายามไม่ให้หลุด แต่ต่อมา ร.ต.อ.เฉลิมก็หลุดเนื้อแท้ของพรรคพลังประชาชนที่พยายามปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาจนได้ เห็นได้จากวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิมสนับสนุนให้ยกเลิก คตส.ที่กำลังตรวจสอบการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าเป็นผลพวงจากการัฐประหาร

“ถ้า ร.ต.อ.เฉลิมเชื่อว่า คุณทักษิณไม่ผิด หรือบอกว่าที่คุณสนธิพูดเป็นเท็จ ก็ลองปล่อยให้เป็นไปตามครรลองตามที่เขากล่าวหาให้เต็มที่ไปจนสุดกระบวนการยุติธรรม แล้วจะดูว่าจริงๆ ใครผิดใครถูก ซึ่งเมื่อจบ กระบวนการในชั้นศาล ถูกหรือผิด ประชาชนก็ต้องเคารพ แล้วทำไมจะต้องหาทางระงับ ตัดตอน มีการโยกย้ายข้าราชการมากมาย”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า พร้อมที่จะชื่นชม ร.ต.อ.เฉลิม หากมีการตรวจสอบที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์บ้าง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่แค่ตรวจสอบเฉพาะที่ดินของนักการเมืองฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้ทำหน้าที่ที่คนจะชื่นชมหรือยัง สำหรับนายสนธินั้น ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชน เราต่างคนต่างทำหน้าที่ อย่างน้อยๆ ก็ได้เสียภาษีให้กับรัฐ ทุกคนได้ทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน ประชาชนที่มาชุมนุมก็ได้ทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน ทุกคนก็เสียภาษี

และที่สำคัญนายสนธิอาจทำมากกว่านั้นในการเสียสละเงินจำนวนหลายล้านในการร่วมชุมนุมในเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ ร.ต.อ.เฉลิมหนีไปต่างประเทศช่วงนั้น คนทำคุณูปการให้กับประเทศไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องได้รับการสรรเสริญ ชื่นชมในเกียรติยศ ในตำแหน่งเสมอไป

** “ปานเทพ” ย้นต้องทำหน้าที่วิจารณ์ “อาเหลิม”

ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวถึงนายปานเทพว่า เคยไปกินน้ำพริกปลาทูที่บ้าน และเคยเรียกอา ตอนนี้มาด่ากันแล้วนั้น นายปานเทพกล่าวว่า ตนเคยเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และกรรมการบริหารพรรคความทหวังใหม่ในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งขณะนั้นตนยังอายุน้อยอยู่ และ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรองหัวหน้าพรรค ถือเป็นผู้นำพรรคคนหนึ่ง การไปปรึกษาหารือผู้ใหญ่ หรือไปกินข้าวที่บ้านผู้ใหญ่เป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทย

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ในฐานะความสัมพันธ์ส่วนตัว ตนก็ยังเคารพ ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อเจอกันก็จะเรียกอาเหลิมและทักทายเหมือนเดิม แต่เมื่อตนได้มาทำหน้าที่บนเวทีรายการยามเฝ้าแผ่นดิน มีคนอีกจำนวนมากคาดหวังในการทำหน้าที่ในการตรวจสอบวิเคราะห์ วิจารณ์ การทำงานของรัฐบาล ซึ่งก็ได้ทำมาแล้ว 3 ปี

“งานวิเคราะห์ ตรวจสอบ เป็นงานในหน้าที่ของผม อาเหลิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผมเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน มีหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ ผมแฟร์พอที่บอกว่าตอนที่คุณเฉลิมเข้ามาเล่นการเมืองยังไม่มีประวัติการถูกตรวจสอบเพราะทุจริตในหน้าที่ อย่างน้อยๆ ในสภาก็ไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเฉลิมพูดอะไรเราไม่เคยปิดกั้น เอาออกอากาศให้ทุกครั้ง และพูดมาตลอดว่าคุณเฉลิมเป็นคนมีศักยภาพ ทำงานทุ่มเทให้ใครก็ตามที่มีไว้ใช้งาน

แต่เมื่อไรก็ตาม ที่คุณเฉลิมทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกประชาชน ดูถูกดูแคลนประชาชนที่เขาตรวจสอบรัฐบาล ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ยามเฝ้าแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงไปมาและซื่อสัตย์ต่อคนที่เอาเงินมาบริจาคให้สถานีแห่งนี้ให้ยืนหยัดอยู่ได้ คุณเฉลิมจะมีหน้าที่ปกป้องคุณทักษิณก็เชื่อแบบคุณเฉลิมนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยไป ผมมานั่งตรงนี้ก็มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐมนตรีมหาดไทยอย่างไม่ละเลยเช่นกัน” นายปานเทพกล่าว

** “จักรภพ” จ่อคิวโดนไล่

ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงพฤติกรรมของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.สำนักนายกรัฐมนตรีขณะนี้ว่า มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งกำลังพิจารณาว่า การกระทำนั้นจะเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญ เพราะแทรกแซงสื่อหรือไม่ กรณีการพูดจาเชิงข่มขู่ว่าจะปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท โดยอ้างปัญหาการขาดทุน

นอกจากนี้ยังมีกรณีการเรียกคลื่นวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ 5 แห่งกลับคืนจากเอกชน การจัดผังรายการช่อง 11 ใหม่ โดยเอาอดีตพนักงานไอทีวีเข้ามาทำ ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้ทำถูกระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายจักรภพเป็นรัฐมนตรี 1 ใน 5 คนที่จะถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งในลำดับแรก ๆ รองจากนายไชย สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ตามที่เคยพูดไว้แล้ว และทำให้เกิดคำถามว่านายจักรภพมีวุฒิภาวะพอที่จะเป็นรัฐมนตรีที่ควบคุมดูแลสื่อหรือไม่ เพราะนายจักรภพทำอะไรไม่ค่อยระวัดระวัง ไม่ดูว่ากฎหมายให้ทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีการปลด ผอ.อสมท นั้น อย่าคิดว่าจะใช้คณะกรรมการประเมินแล้วสั่งปลดได้ เพราะ อสมท เป็นบริษัทในตลาดทรัพย์ การจ้าง ผู้อำนวยการใหญ่มีสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่าจะประเมินอย่างไร เมื่อไหร่ และถ้าหากอ้างเหตุผลการปลดไม่ชอบธรรม ก็ยังฟ้องศาลปกครองได้





กำลังโหลดความคิดเห็น