xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” แฉวุฒิฯ “สุธา” ยิ่งแจงยิ่งเลอะ - จวก “เหลิม” อ้างกลัวตายแต่ย้าย “ชัยยะ” ลงใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จับพิรุธปริญญา “สุธา” ชี้ ก.พ.ยิ่งแจงยิ่งเลอะ เตือนระวังคนที่เคยไม่ผ่านรับรองหวนมารุมฟ้อง ตำหนิ “ดร.เหลิม” อ้างกลัวตาย ทำลายขวัญกำลังใจชาวใต้ เชื่อย้าย “ชัยยะ” ล้างแค้นเพื่อ “แม้ว” เตือนสติ อสส.คิดเป็นทนายแก้ต่างหวยบนดิน ให้คิดถึงประโยชน์ชาติ

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์  ช่วงที่ 2



รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 19 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีนายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ยืนยันวุฒิการศึกษาปริญญาตรีจาก Republican College ประเทศฟิลิปปินส์ ของนายสุธา ชันแสง รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับรองจาก ก.พ.แล้ว ว่า เรื่องดังกล่าวยังมีข้อสงสัยอยู่หลายประเด็น ถ้าจะให้แน่นอน จะต้องโชว์หลักฐาน เช่น หนังสือเดินทางที่แสดงถึงการเดินทางเข้าออกประเทศฟิลิปปินส์ หรือภาพถ่ายเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา โดยเฉพาะภาพถ่ายกับเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งคงไม่เป็นเรื่องยากที่นายสุธาจะนำหลักฐานดังกล่าวมาเปิดเผย

ทั้งนี้ หากนายสุธามั่นใจว่า ก.พ.รับรองตั้งแต่ปี 2537 ทำไมตั้งแต่ปี 2537 เรื่อยมาถึงปี 2550 ไม่เคยเห็นนายสุธา ใช้วุฒิดังกล่าวลงสมัคร ส.ส.แม้แต่ครั้งเดียว การพูดถึงคุณลักษณะของตัวเองในการประกาศต่อสาธารณชนว่า ตัวเองนั้นมีความรู้ความสามารถ จบปริญญาตรี ถือเป็นเกียรติภูมิ ชื่อเสียง เป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่ประชาชนต้องรับรู้ก่อนการตัดสินใจเลือกผู้แทน ทำไมต้องปกปิด เป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า นายสุธาจบการศึกษาจาก Republican College ตั้งแต่ปี 2527 และบอกว่า ก.พ.เพิ่งรับรองเมื่อปี 2537 แต่เลขาธิการ ก.พ.กลับบอกว่า ตรวจสอบแล้วพบว่า Republican College ได้รับการรับรองจากกระทรวงการศึกษาของฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 2514 แล้ว จึงถือว่าผ่านการรับรองของ ก.พ.ไปโดยปริยาย ซึ่ง หาก ก.พ.มีกฎเกณฑ์ในการใช้มาตรฐานดูผลการรับรองจากกระทรวงศึกษาในประเทศนั้นๆ ก.พ.ก็ควรรับรองตั้งแต่ปี 2514 ไม่เห็นต้องมารอรับรองในปี 2537 ซึ่งภายหลัง ก.พ.ออกมาปฏิเสธ พร้อมยืนยันว่า ก.พ.นั้นรับรองย้อนหลังไม่ได้ อีกทั้งย้ำว่า ทั่วโลกหากประเทศใดกระทรวงศึกษาธิการในประเทศนั้นรับรอง ก.พ.ก็ให้การรับรอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดอย่างนี้จริงจะเป็นตรรกะที่ถูกต้องหรือไม่ ที่สำคัญอาจทำให้คนที่สมัครเข้ารับราชการในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถใช้วุฒิการศึกษาของตัวเอง เพียงเพราะ ก.พ.ไม่รับรองด้วยเหตุที่ใกล้เคียงกัน ก.พ.อาจจะถูกฟ้องว่ากำลังเลือกปฏิบัติ สุ่มเสี่ยงถูกร้องเรียนจากนักศึกษาอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับรองวุฒิการศึกษา ขณะเดียวกันแนวคิดดังกล่าวของเลขาฯ ก.พ.ก็กำลังจะเป็นปัญหา แนวคิดแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ที่สำคัญหากใช้บรรทัดฐานการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการในประเทศนั้นๆ ก.พ.ก็ไม่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสารต่อไป เนื่องจากนักศึกษานั้นได้ถูกรับรองวุฒิการศึกษาอย่างถูกต้องมาแล้ว

ส่วนกรณีที่ ก.พ.อ้างกฎหมายไม่มีหน้าที่ตรวจสอบบุคคลจบการศึกษาจริงหรือไม่นั้น คงต้องนำหนังสือทางราชการ ของ ก.พ.ที่ สร.0703/ว6 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2520 ระบุเกี่ยวกับการอ้างคุณวุฒิการศึกษาต่างประเทศ โดยหนังสือดังกล่าวชี้ชัดว่า คุณวุฒิต่างประเทศให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับคุณวุฒิในประเทศ เพียงแต่มีความแตกต่างตรงการตรวจสอบแบบรายวิชา เนื่องจากแต่ละมหาวิทยาลัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทั้งการแบ่งภาคการเรียน หรือหน่วยกิตรายวิชา

ต่อไป ก.พ.จะมาอ้างผลการรับรองจากระทรวงศึกษาธิการในประเทศนั้นๆ คงไม่ได้ เนื่องจาก ก.พ.ได้ตั้งมาตรฐานเทียบเคียงวุฒิการศึกษาขึ้นมาเอง ดังนั้นการที่ ก.พ.อ้างว่า จบอะไรมาแล้วกระทรวงศึกษาธิการในประเทศนั้นๆ รับรอง ประเทศไทยก็จะรับรองด้วย ตรรกะแบบนั้นคงใช้ไม่ได้

ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยที่นายสุธาจบมาก็มีข้อสังเกตอยู่หลายเรื่อง เช่น กรณีของนายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น เขต 3 พรรคพลังประชาชน ซึ่งก็จบจากที่เดียวกัน ในปี 1999 (2542) แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า นายนวัธ เดินทางไป 2 ครั้ง และอาศัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมเพียง 10 วัน ในปี 2541 แต่มหาวิทยาลัยกลับออกวุฒิปริญญาตรีให้ในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งยังบอกว่าจบมัธยมปลายจากสถาบันแห่งนี้ในปี 2537 แต่หลักฐานของ กศน.ระบุว่า นายนวัธจบมัธยมต้นในปี 2538 ซึ่งหากเป็นอย่างนี้จริง คงไม่จบตามหลักสูตรหรือตามเกณฑ์ที่ ก.พ.ได้ตั้งไว้อย่างแน่นอน

** จวก “ดร.เหลิม” ทำลายความรู้สึกชาวใต้

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่าปัญหาความไม่สงบในภาคใต้เป็นเรื่องของกองทัพและยอมรับว่าตัวเองกลัวตายจึงไม่ลงพื้นที่ ว่า แม้การแก้ไขปัญหาในภาคใต้จะมีกองทัพเป็นหน่วยงานหลักเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่า กระทรวงมหาดไทยจะโยนทุกอย่างไปที่กองทัพทั้งหมด

การที่ ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าตนแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ไหว เพราะเกินกำลัง ทำให้ประชาชนผิดหวัง เพราะก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิมก็ทำเหมือนกับว่ารู้เรื่องภาคใต้ดี และดูจะเอาจริง ด้วยการไปพบหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อขอข้อมูล ทำให้ภาพออกมาดูดี แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องกลัวตาย แต่ ร.ต.อ.เฉลิมในฐานะที่เป็นผู้นำ ที่จะต้องดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศ การสร้างขวัญกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ การที่ รมว.มหาดไทยบอกว่ากลัวตาย แล้วคนที่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นั่น เผชิญกับเหตุการณ์ทุกวัน จะไม่รู้สึกกลัวเลยหรือ

นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าตัวเองกลังตาย แต่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รอง ผบช.ส. ที่ถูกย้ายไปช่วยราชการยะลา ร.ต.อ.เฉลิมกลับบอกว่า พล.ต.ต.ชัยยะอาจจะชอบก็ได้ เพราะได้ไปช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับชาติ

**ปกป้อง “แม้ว” สุดฤทธิ์ - ย้าย “ชัยยะ” เพื่อล้างแค้น

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ร.ต.อ.เฉลิมพยามที่จะบอกว่าตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการย้าย พล.ต.ต.ชัยยะ ทั้งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเองเป็นคนไปยื่นร้องต่อ กกต.ให้เปลี่ยน พล.ต.อ.ชัยยะ ออกจากชุดสอบสวนคดีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย และการย้ายข้าราชการและตำรวจก่อนหน้านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับการทำคดีความของคนในระบอบทักษิณ เริ่มตั้งแต่การย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. แล้วเอาคนใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาดำรงตำแหน่งแทน การย้ายตำรวจที่บุรีรัมย์ และเชียงราย ก็เกี่ยวข้องกับการทำคดีทุจริตเลือกตั้งของคนในพรรคพลังประชาชน ร.ต.อ.เฉลิมจะตอบคำถามได้หรือไม่ว่า ข้าราชการที่ถูกย้ายล้วนเกี่ยวข้องกับการทำคดีที่เกี่ยวกับคนในรัฐบาลนี้ทั้งหมด

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า แม้ รมว.มหาดไทย อาจไม่ได้เกี่ยวกับกับย้าย แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่จำเป็นต้องออกมาปกป้อง หรือแก้ต่างว่าการโยกย้ายไม่เกี่ยวกับการล้างแค้น หรือไปพูดว่า พล.ต.ต.ชัยยะอาจจะชอบ ทำเหมือนกับว่ารู้ทุกเรื่อง ราวกับว่า ร.ต.อ.เฉลิมกำลังทำงานของตัวเองให้เต็มที่ เพราะไม่อยากโดนต่อว่า ว่าฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากชัยชนะของประชาชน จึงต้องออกมาปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมด

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศมีปัญหาวิกฤติที่ต้องแก้ทั้งเรื่องภาคใต้ และปัญหาเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลนี้ก็ยังมัวพูดแต่เรื่องอื่น เช่น การจัดม็อบชนกับพันธมิตรฯ จะโยกย้ายข้าราชการ มุ่งในเชิงเอาชนะทางการเมืองอย่างเดียว ทั้งที่การเอาชนะใจประชาชนนั้น ไม่ใช่การเอาม็อบมาขู่พันธมิตรฯ แต่ต้องชนะด้วยการทำงานอย่างสุจริตและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ ไม่ใช่มัวแต่ใช้เวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

** เตือนสติ อสส.รักษาผลประโยชน์ชาติ

ในช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกกล่าวหาในคดีหวยบนดินคนอื่นๆอีก 40 กว่าคน ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ช่วยแก้ต่างคดีในชั้นศาลให้ว่า อัยการนั้นคือทนายของแผ่นดิน หมายถึงเป็นผู้ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิด อัยการต้องยืนอยู่บนผลประโยชน์ของอค์กร ทำหน้าที่ฟ้ององเจ้าหน้าที่ที่ทำผิดคนนั้น ในคดีหวยบนดินก็เช่นกัน คนที่ทำผิดต้องถูกดำเนินคดี โดยมีอัยการเป็นผู้ฟ้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมีความขัดแย้งกันระหว่าง คตส.กับอัยการสูงสุด เหมือนกับมีการวางยาจากอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น การหารือที่ไม่รู้จบ จน คตส.ต้องยื่นฟ้องเอง หรือการส่งเรื่องคืนให้ คตส. ทั้งนี้ หากอัยการสูงสุดรับเป็นทนายแก้ต่างให้กับคนที่ถูกฟ้องคดีหวยบนดิน ก็ต้องถูกตั้งคำถามว่า ได้ทำหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินหรือไม่ อัยการสูงสุดต้องตอบคำถามนี้ให้ได้




กำลังโหลดความคิดเห็น