xs
xsm
sm
md
lg

คตส.ฟัน “แม้ว” ทุจริต สั่งเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า 4 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คตส.รับขวัญ “แม้ว” กลับไทย ส่งอัยการสูงสุดยื่นฟ้องศาลฎีกาฯ ฟันทุจริตเงินกู้พม่า 4 พันล้าน ใช้หลักฐานคำค้าน “สุรเกียรติ์-อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก”-ตั่วสัญญาเงินกู้มีพิรุธ ซื้อหุ้นชินคอร์ป “บรรณพจน์” โอนให้ “หญิงอ้อ” ทำธุรกรรมย้อนหลังทั้งที่ยังไม่ได้เครื่องราชฯเป็นคุณหญิง

วันนี้ (31 มี.ค.) นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตการปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือเอ็กซิมแบงก์ ให้กับรัฐบาลทหารพม่า 4 พันล้าน แถลงภายหลังการประชุมใหญ่ คตส.ว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่ออัยการสูงสุดเพื่อส่งสำนวนส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการของเอ็กซิมแบงก์ ได้กระทำการในการบริหาราชการแผ่นดิน ดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเจรจาอย่างไม่เป็นทางการและให้คำมั่นกับนายรัฐมนตรีสหภาพพม่า และพลจัตวา เต็ง ซอ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและโรงแรมและกระทรวงคมนาคมไปรษณีย์และโทรเลขของสหภาพม่า ทั้งที่ไม่มีผลการประชุมสุดยอดผู้นำเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับทราบเรื่องมาก่อน

นายสัก กล่าวต่อว่า จนกระทั่งทางการของสหภาพพม่ามีหนังสือขอเงินกู้โดยอ้างการเจรจา ตกลงและให้คำมั่นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ เพิ่มวงเงินกู้จาก 3 พันล้าน เป็น 4 พันล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหาภาพพม่า ซึ่งเป็นเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุนและให้ขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 ปีเป็น 5 ปีเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ฯและครอบครัวชินวัตร ซึ่งมีผลประโยชน์ในหุ้น จากค่าจ้างในการพัฒนาระบบโทรคมนาคมตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เป็นเงิน 539 ล้านบาท

เป็นเหตุให้เอ็กซิมแบงก์ได้รับความเสียหายจากการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน และไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคาร ที่กระทรวงการคลัง ต้องชดเชยความเสียหาย ตลอดระยะโครงการ 12 ปี ซึ่งตลอดสัญญาเอ็กซิมแบงก์ เสียหาย 670 ล้านบาท ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ชดเชยความเสียหายไปแล้ว 2 ปี เป็นเงิน 140 ล้านบาท

“การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดกฎหมายอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียสำหรับผลประโยชน์ตัวเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้นและฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิคดวามเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ,157 และพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 8 และมาตรา 13 ทั้งนี้คตส.จะได้ส่งหลักฐานพร้อมทั้งความเห็นไปยังอัยการสูงสุด ภายใน 14 วัน” นายสัก กล่าว

นายสัก ยังกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าการให้พม่ากู้ในครั้งนี้มีการอ้างถึงปฏิญาญพุกามที่ต้องให้ความช่วยเหลือกับ 4 ประเทศในอาเซียนรวมถึงพม่าด้วย โดยปัจจัยหลักคือต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านโทรคมนาคมแต่ในปฏิญาณดังกล่าวไม่มีการช่วยเหลือในข้อนี้เลย

ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปพม่าพร้อมกับลูกชาย (พานทองแท้ ชินวัตร) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บริษัท ชินแซทเทิลไลท์ 8 คน และเจ้หน้าที่จากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 2 คน (บริษัทในเครือชินคอรป์) โดยระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ได้มีการสาธิตการใช้ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จีเอสเอ็ม ก่อนที่จะมีการประชุม และในที่สุดได้มีการนำเรื่องระบบพัฒนาโทรคมนาคมไว้ในปฏิญาญพุกามไว้ในการประชุม

“แต่ปรากฏว่า ได้ถูก รมว.ต่างประเทศ ของไทยในขณะนั้น และอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของธุรกิจกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ จึงไม่เห็นด้วยที่จะมีการปล่อยเงินกู้ให้กับพม่าเพื่อพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคม เพราะจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และถูกข้อครหาและไม่เป็นประโยชน์กับพม่าด้วย จากนั้นวันที่ 15 ก.พ.2547 พม่าได้มีหนังสือมายังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอเพิ่มวงเงินกู้จาก 3 พันล้านเป็น 5 พันล้านบาท และได้มีหนังสือสำทับอีกในวันที่ 26 ก.พ.2547

จากนั้น นายสุรเกียรติ์ ได้มีการรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบว่า พม่าขอเพิ่มวงเงินกู้จนมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณได้ให้พบกันครึ่งทางโดยอนุมัติเพิ่มวงเงินกู้อีก 1 พันล้านบาท พร้อมกับลดส่วนต่างของดอกเบี้ย” ประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีเอ็กซิมแบงก์ ระบุ

นายสัก ยังกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ยังเป็นผู้ถือหุ้นหรือมีผลประโยชน์ในหุ้นชินฯ ที่ถืออยู่ในชื่อของ นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.พิณทองทา ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และบริษัท แอมเพิลริช ดังนั้น ในระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้บริหารสั่งการเกี่ยวกับการให้เงินกู้ 4 พันล้านบาทแก่พม่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีผลประโยชน์ในหุ้นบริษัท ชินคอร์ป

ซึ่งถือหุ้นในบริษัทชินแซท ถึง 51.48 ของหุ้นทั้งหมด การเพิ่มวงเงินกู้ดังกล่าวจึงเป็นการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตัวเองและครอบครัว แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะแก้ข้อกล่าวหาว่าไม่มีหุ้นอยู่แล้วตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2544 รวมถึงยังอ้างคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า บุคคลทั้ง 4 ไม่ได้ถือหุ้นแทน

ซึ่งคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ เห็นว่า คำวินิจฉัยดังกล่าว พิจารณาเกี่ยวกับการถือครองหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ในปี 2540-2541 แต่การไต่สวนพฤติการณ์การถือครองหุ้นของคณะอนุกรรมการ ได้ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าตรวจสอบหลังคำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพัน

นายสัก กล่าวว่า จากการตรวจสอบยังพบว่า เมื่อปี 2542 ได้มีการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ชินคอร์ป ของบุคคลทั้ง 4 โดยใช้เงินจากบัญชีเงินฝากของนางพจมาน มาซื้อเชคธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขารัชโยธิน ลงวันที่ 16 มี.ค.2542 รวม 3 ฉบับ จำนวน 32 ล้านหุ้น เป็นเงิน 493 ล้านบาท ในนามของผู้ถูกกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ และยังมีการชำระในนามของนางพจมาน ชินวัตร 34.6 ล้านหุ้น เป็นจำนวนเงิน 519,750,000 บาท และในนาม นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 6.8 แสนหุ้น เป็นเงิน 102 ล้านบาท โดย นายบรรณพจน์ ได้อ้างหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 ว่าจะออกตั่วสัญญาคืนให้คุณหญิงพจมาน 102 ล้านบาทโดยไม่มีดอกเบี้ยเมื่อคุณหญิงพจมานทวงถาม

“แต่จากการตรวจสอบพบว่าในวันที่ 16 มีนาคม 2542 พบว่า นางพจมาน ยังไม่ได้ใช้คำนำหน้าว่าคุณหญิง เพราะเพิ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุตถจุลจอมเกล้า ในวโรกาสพระราชพิธีฉัตรมงคล 2542 แสดงให้เห็นว่า ในวันที่ 16 มีนาคม ที่มีการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในนามนายบรรณพจน์ไม่ได้มีการทำตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 16 มีนาคมไว้แต่อย่างใด แต่เป็นการจัดทำขึ้นมาภายหลัง เมื่อนางพจมาน ได้ใช้คำนำหน้านามว่าคุณหญิง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าตั๋วสัญญาดังกล่าวทำถูกต้องหรือไม่ เป็นการทำขึ้นย้อนหลังหรือไม่ เพราะถ้าทำเอกสารในวันที่ 16 มีนาคม 2542 ตั๋วสัญญาจะระบุให้จ่ายให้คุณหญิงพจมานไม่ได้” นายสัก กล่าว

นายสัก กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบยังพบว่าการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ คุณหญิงพจมาน กับบุตรทั้งสอง และนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่มีการชำระเงินซื้อขายกันจริง กระทั่งเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ได้มีการขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้เทมาเส็ก เป็นเงินจำนวน 6.97 หมื่นล้าน ในขณะที่มีหลักฐานตั่วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 และวันที่ 1 กันยายน 2543 รวม 5 ฉบับซึ่งเป็นค่าจองซื้อหุ้น และชำระค่าซื้อหุ้นจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน เป็นเงินเพียง 1.1 พันล้านบาท ดังนั้น จำนวนเงินที่ขายได้จึงแตกต่างกันถึง 6.85 หมื่นล้านบาท

“จึงไม่น่าเชื่อว่า นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ได้จองซื้อหุ้นเป็นของตัวเองจริง และไม่น่าเชื่อว่าจะมีการโอนขายหุ้นกันจริง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กับนายพานทองแท้ นางสาวยิ่งลักษ์ และนายบรรณพจน์” นายสัก กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น