xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” จวก “พลังแม้ว” แก้ รธน.หลังทำผิดฉีกหลัก กม. - เชื่อ ตปท.จะเลิกคบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อดีตเลขาฯ กมธ.ยกร่างฯ จวกพรรคการเมืองคิดแก้ไข รธน.หลังตัวเองทำผิด ทำลายระบบกฎหมาย ยัน รธน.50 ต้องการให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือ ชี้ต่างชาติเลิกคบแน่หากพรรคการเมืองทำผิดยังบริหารประเทศต่อไปได้

วานนี้ (26 มี.ค.) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกระแสการแก้รัฐธรรมนูญของ 6 พรรคร่วมรัฐบาลว่า เขาควรจะแก้ก่อนที่เขาจะทำผิด การแก้ไขที่หลังตัวเองทำผิดต่อไประบบกฎหมายก็พังทลาย เพราะการแก้ไขที่หลังจะเกิดปัญหาขึ้นตามมา คนก็จะตั้งคำถามว่าแล้วเรื่องอื่นๆ ที่มีการกระทำผิด ไม่ว่าเรื่องค้ายาเสติด หรือกฎหมายอื่น พรรคการเมืองจะแก้รัฐธรรมนูญให้เขาพ้นผิดเหมือนที่แก้ให้ตัวเองบ้างหรือไม่ การแก้กฎหมายหลังจากที่ตนได้กระทำความผิดไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรจะปล่อยให้ระบบกฎหมายดำเนินไป หรือถ้าจะแก้ก็ไม่ควรแก้ในสิ่งที่มีผลกับตนเอง ต้องแก้เพื่อผลในอนาคต

ส่วนที่ฝ่ายรัฐบาลมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จ้องทำลายพรรคการเมืองนั้น เห็นว่าทุกพรรคการเมืองรู้ว่ามีรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตั้งแต่เดือน ส.ค.50 ที่มีการยกร่างเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาร่างเดือนมีนาคมนี้ ทุกพรรคการเมืองก็รู้หมดว่าผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มีเจตนาทำลายพรรคการเมือง แต่เราสนับสนุนให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือของประชาชน พรรคการเมืองต้องไม่โกงการเลือกตั้ง พรรคที่โกงการเลือกตั้งก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของกรรมการบริหารหรือสมาชิกพรรคของตนเอง

“ถ้ากรรมการบริหารพรรคทำสิ่งที่ตรงกันข้ามแล้วยังอยู่ได้ ระบบกฎหมายก็มีปัญหา สังคมไทยก็ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ว่ายุบพรรคแล้วต่างประเทศจะไม่เชื่อถือ แต่ถ้าพรรคการเมืองไหนที่โกงการเลือกตั้งแล้วยังอยู่ต่อไป ความเชื่อถือของต่างประเทศก็ไม่มีหรอก เพราะจะเชื่อถือได้ยังไงว่าพรรคการเมืองนั้นจะไม่บริหารประเทศไปในทิศทางที่มีปัญหา และจะคบเขาในฐานะรัฐบาลได้หรือไม่ ผมคิดว่าความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองก็หมดไปด้วย”

นายสมคิด กล่าวต่อว่า ในกรณีที่กรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้สมัครกระทำผิดจนถูกสั่งเพิกถอนสิทธิ ถือว่ากรรมการบริหารพรรครู้เห็น ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่ามีกรรมการบริหารพรรค 40 คน แล้วรู้เห็น 30 คน แต่บางคนไม่รู้ก็จะมาบอกว่าพรรคไม่รู้ มันก็เหมือนคนที่ทำผิดกฎหมายแล้วปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมาย เรื่องนี้เจตนารมณ์มันชัดว่าแม้แต่กรรมการบริหารพรรครู้คนเดียวก็ถือว่าพรรครู้ด้วย ไม่ได้แปลว่าหัวหน้าพรรคเลขาธิการพรรคต้องรู้เท่านั้น ส่วนการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก็ว่าไปตามถ้อยคำของกฎหมาย อาจมีดุลพินิจได้ แต่ก็น่าจะอยู่ในกรอบของเจตนารมณ์ ไม่ใช่ใครจะตัดสินจากขาวเป็นดำ หรือดำเป็นขาวได้

ส่วนที่มีการมองว่า กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ต่อไปพรรคการเมืองก็ลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลงหรือเอาคนไม่สำคัญมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว นายสมคิด กล่าวว่า พรรคการเมืองต้องมีการปรับตัวด้วยหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต้องไม่โกงการเลือกตั้ง ไม่ใช่การปรับวิธีการโกงการเลือกตั้ง จำนวนจะมากจะน้อยไม่สำคัญ ขึ้นกับคุณธรรมและจริยธรรมของผู้บริหารพรรคต่างหาก
กำลังโหลดความคิดเห็น