xs
xsm
sm
md
lg

ถึงคิว อสมท “เพ็ญ” บีบ “วสันต์” พ้นเก้าอี้ ดัน “เหวง-จรัล” เสียบบอร์ด!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ได้เวลารุกคืบเข้าไปยึด อสมท “เพ็ญ” ขู่ปลด “วสันต์ ภัยหลีกลี้” พ้น ผอ.อสมท อ้างบริหารขาดทุน ห้าวจัดขีดเส้นให้นั่งเก้าอี้แค่ไม่เกินเดือน พ.ค.นี้ ฉุนถูกสื่อเค้นถามบำเหน็จพวก “ม็อบไข่แม้ว” อย่าง “เหวง-จรัล” เสียบบอร์ดชุดใหม่

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง จักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์ 

วันนี้ (25 มี.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวปลด นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ พ้นจากการเป็นกรรมการผู้อำนวยการ อสมท ว่า การเปิดตัว NBT (ช่อง 11) เป็นไปอย่างราบรื่นดี จึงขอขอบคุณในกรมประชาสัมพันธ์ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และก่อนหน้านี้ได้ให้สัมภาษณ์ไปว่าเรื่องของ อสมท ตนกำลังแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจะได้ประเมินผลการทำงานของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับทราบข้อมูลขั้นต้นว่ามีผลประกอบการที่ขาดทุนในเดือน ม.ค.2551 โดยหลังจากตัดรายได้ที่เกิดจากสัมปทานของทรูวิชั่น และช่อง 3 ปรากฏว่า อสมท ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ซึ่งเป็นที่กังวลใจของผู้ถือหุ้นพอสมควร

“ในฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และผมดูแลงานของสื่อ อสมท ด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลงานตรงนี้ว่าเหตุผลอะไรที่นำไปสู่การขาดทุน ผู้บริหารชุดปัจจุบันมีความคิดอย่างไรที่จะแก้ปัญหาการขาดทุนนี้ที่จะได้ดำเนินการต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและของรัฐบาลและของประเทศ นี่คือสิ่งที่ได้ให้นโยบายไป” นายจักรภพ กล่าว

ถามว่าเป็นสัญญาณในการปรับบอร์ด อสมท หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่ว่าขั้นตอนมันจะพาไปสู่จุดนั้นเอง โดยตนจะเสนอชื่อบุคคลที่จะเข้ารับหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท อสมท ซึ่งมีที่ว่างไม่ใช่ 5 ที่นั่ง แต่เป็น 9 ที่นั่ง จากทั้งหมด 13 ที่นั่ง

“พูดง่ายๆ ว่าจะต้องแต่งตั้งบอร์ด 9 คน จาก 19 คน ซึ่งเกิดจากการลาออกบ้าง การพ้นตำแหน่งด้วยการจับสลากบ้าง บอร์ดที่จะเสนอแต่งตั้งเข้าไปนี้ จะได้รับการอนุมัติอีกครั้งโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีการประชุมกันเดือน เม.ย. หรือ พ.ค.ตามธรรมเนียมปฏิบัติ แล้วจากนั้นการพิจารณาว่า ผู้บริหารปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จะต้องการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ฝากกระทรวงการคลังถือให้ได้เสนอความคิดว่าอย่างนี้คงจะไปลำบาก ที่ประชุมก็จะพิจารณาแนวความคิดตรงนั้น และอาจจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนในตอนนั้น ฉะนั้น เวลาประเมินมีแค่ไหนก็คือถึงประมาณต้นเดือน พ.ค.” นายจักรภพ กล่าว

เมื่อถามว่า คณะกรรมการที่จะมาดูผลจะเป็นใครมาจากไหนอย่างไร นายจักรภพ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเลือกตัวอยู่ แต่สำหรับตนจะนั่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ เมื่อถามว่าให้ระยะเวลาในการประเมินเท่าไร รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า คิดว่าไม่ได้มาจากนโยบาย เนื่องจากจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น ฉะนั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาพอดีกันที่จะมีการประเมินผลด้วยว่าการทำงานของ อสมท ดีไม่ดีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่

เมื่อถามว่าบอร์ด 9 คนมาจากคนแวดวงด้านไหนบ้าง นายจักรภพ กล่าวว่า ตามกฎหมายระบุอยู่แล้วว่ากรรมการแต่ละท่านจะมาความชำนาญแต่ละด้าน อาทิ ต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคม ด้านการบริหาร ด้านวิชาชีพสื่อสารมวลชน ฉะนั้น การแต่งตั้งหรือเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งพูดง่ายๆ คือมีสเปกอยู่ชัดเจน ไม่สามารถจะเสนอกันทั่วไปได้ ต้องมีคุณสมบัติ อย่างไรก็ตามจะไม่มีบุคคลจาก 111 คนเข้าร่วมอยู่ในบอร์ดชุดนี้

เมื่อถามว่าจะต้องส่งสัญญาณถึง นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้อำนวยการใหญ่ อสมท หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่จำเป็น แต่อยากจะบอกผู้บริหารปัจจุบันว่าอย่าลืมดูผลการทำงานของตัวเองด้วย ซึ่ง อสมท เป็นกิจการที่เคยขาดทุนแล้วกลับมาได้กำไรสมัยที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นผู้อำนวยการ และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นบริษัทฯ แล้วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารก็ปรากฏว่าได้มีผลประกอบการที่ลงเหวเรื่อยมา จนกระทั่งออกจากการมีกำไรจนขาดทุนเป็นครั้งแรก ซึ่ง 27 ล้านถือว่ายังไม่มากถ้าเทียบกับกิจการระดับพันล้านของ อสมท แต่มันเป็นสัญญาณขั้นต้นว่ามันเกิดภาวะเลือดไหลใน อสมท

“ผมเองอยากจะเรียกร้องอย่างนี้มากกว่าว่า ขอให้ไปจุดแห่งการขาดทุนมันเริ่มต้นตรงไหน ผมอยากจะบอกไว้กว้างๆ แค่นั้นก่อน เพราะไม่อยากจะไปชี้นำอะไรมาก แต่ผมว่ากรรมการบริหารฯหรือบอร์ด ตลอดจนสื่อสามารถไปค้นข้อมูลเรื่องนั้นได้มากขึ้น แล้วจะทราบว่า อสมท เริ่มจะมีปัญหา” นายจักรภพ กล่าว และว่าในฝ่ายนโยบายต้องเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน แต่การเมืองในฐานะที่เปลี่ยนเพื่อให้เกิดผลได้หรือผลเสียทางการเมืองจะไม่มี

เมื่อถามว่าการบริหารน่าสงสัยเป็นอย่างไร นายจักรภพ กล่าวว่า เราได้ยินได้ฟังอะไรมา พูดออกไปเลยจะไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ถูกวิจารณ์ ขอละไว้ตรงนั้นก่อน อย่างไรก็ตาม ได้ข่าวว่ามีเรื่องของหัวคิวรายการ การสลับย้ายผังรายการจากตรงนี้ไปตรงนั้น แต่ทั้งหมดยังเป็นเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ฉะนั้นจะยังไม่ชี้ชัดลงไปจนกว่าจะมีการประเมินอย่างเป็นระบบ

เมื่อถามว่าการตรวจสอบช่อง 9 ถือเป็นการจัดระเบียบสื่อหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นการจัดระเบียบสื่อ เพราะไม่มีนโยบาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดระบบสื่อคือการทำให้การงานของสื่ออยู่ในประสิทธิภาพ อยู่ในนโยบายรัฐบาลที่ให้ไว้ต่อรัฐสภาผ่านไปยังประชาชน

เมื่อถามว่ายืนยันว่าจะมีคณะกรรมการตรวจสอบ อสมท นายจักรภพ ยืนยันว่ามี เมื่อถามว่าถ้าปรากฏชื่อของ นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก.จะชี้แจงอย่างไร นายจักรภพกล่าวด้วยอาการเริ่มไม่สบอารมณ์ว่า เดี๋ยวไว้ดูหน้าคนก่อนแล้วค่อยว่ากันตอนนั้น เพราะหากไปอธิบายถึงคนนั้นคนนี้ก็จะมีชื่ออื่นขึ้นมาทั้งที่อาจจะไม่เป็นความจริงเลยทั้งเพ

เมื่อถามย้ำว่าจะเสนอชื่อ 2 คนนี้ใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนไม่ได้เสนอ 2 ท่านนี้ เมื่อถามว่าแล้วมีชื่อหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่มี

เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันไม่มีชื่อและไม่มีโอกาสเป็นใช่หรือไม่ นายจักรภพเริ่มตาแดงด้วยความไม่พอใจ และกล่าวว่า อาจจะมีได้ แต่ตนไม่ได้เสนอชื่อ 2 ท่านนี้

“ในขั้นนี้ผมคงไม่รับคิวว่าเราจะเสนอชื่อใครได้ไม่ได้ การเสนอชื่อนั้นเป็นตามล็อกที่ให้ไว้ตามกฎหมายว่าผู้ทรงคุณวุฒิด้านใดจะมีคุณวุฒิด้านใด ผมยังไม่ได้เสนอชื่อบุคคลใดเลยเข้าสื่อการพิจารณาเป็นบอร์ด อสมท แต่ว่าขณะเดียวกันก็ต้องบอกกันว่าถ้าได้ชื่อบุคคลแล้วถึงเวลานั้นเราจะมาคุยกันว่าทำไมตั้งใครแล้วไม่ตั้งใคร” นายจักรภพ กล่าว

เมื่อถามถึงการยึดวิทยุ 5 คลื่นของกรมประชาสัมพันธ์ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่จะยึด แต่ได้นำคลื่นกลับมาแล้ว และขณะนี้ทั้ง 5 คลื่นตนได้มอบนโยบายในการคลื่นคืนมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้อธิบายได้ว่ากรมประชาสัมพันธ์เป็นกรมที่ต้องแสดงความสามารถในการบริหารคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ อย่างกรณีช่อง 11 ที่เป็น NBT ไปแล้วนั้นจะเป็นการแสดงความสามารถของข้าราชการและพนักงานลูกจ้างของกรมประชาฯ เต็มที่ ซึ่งกรณีของวิทยุก็เป็นคล้ายๆ กันก็คือถ้าหากกรมประชาฯ มีความสามารถเพียงแค่ให้เช่าช่วงสัมปทาน เมื่อตอนที่ กสทช.มาถามเหตุผลที่ต้องเก็บคลื่นนั้นไว้ตนก็คิดว่ากรมประชาฯจะตอบคำถามกับสังคมไม่ได้ ฉะนั้น นโยบายก็คือ ขอให้นำคลื่นวิทยุทั้งหมดกลับคืนมาทำเอง ส่วนจะมีการร่วมผลิตกับเอกชนรายใดอย่างไรนั้นจะมีการทำอย่างโปร่งใสและมีการแจ้งต่อสาธารณะชนให้ทราบว่าใครเข้ามาร่วมงานเพราะมีความสามารถพิเศษอะไร

เมื่อถามว่าการจัดระบบแบบนี้เป็นการแบ่งเค้ก นายจักรภพปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นถึงข้อสรุปนั้นได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหาร ดังนั้น เรื่องของการแบ่งผลประโยชน์ขอให้สื่อมวลชนเราเองเป็นคนช่วยตรวจสอบดูแล แต่ระวังไม่ให้เอาคำพูดของใครมาเล่นการเมืองเท่านั้นเอง

เมื่อถามว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการยึด 5 คลื่นจะทำอย่างไรจะเหมือนไอทีวีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะไอทีวีเป็นสัมปทานของรัฐซึ่งเป็นข้อถกเถียงตอนนั้นว่าเขาได้ทำผิดจริงหรือไม่ แต่ว่ากรณีของ 5 บริษัทนี้สัญญาหมดลงพอดี แล้วอยู่ระหว่างการต่อสัญญา ซึ่งเมื่อนโยบายเปลี่ยนในระยะช่วงที่มีการต่อสัญญาก็เท่านั้นเอง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะทำเป็นวิทยุประชาทรรศน์ ได้คิดถึงความเหมาะสมอะไรหรือไม่ นายจักรภพ เริ่มไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และตอบว่า “อย่านำประเด็นเลยครับ เอามาจากไหน” เมื่อบอกว่าเป็นกระแสข่าว รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า “กระแสนี้เป็นกระแสเลอะเทอะ” เมื่อบอกว่าข่าวมาจากประชาทรรศน์ นายจักรภพ กล่าวว่า “เลอะเทอะ”

เมื่อถามว่าจะเป็นการโหมโรงให้พันธมิตรฯ ไปนำเป็นประเด็นโจมตีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวกับผู้สื่อข่าวคนเดิมด้วยความไม่พอใจว่า “น้องก็ช่วยเขาโหมโรงด้วยนี่ อย่าทำลายพี่เร็วนัก”

/0110
กำลังโหลดความคิดเห็น