xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” เตือน กต.- ตม.อย่าคิดเปลี่ยนอดีตช่วย “สุธา” - ชี้ “หมัก” ขบเหลี่ยม “แม้ว” ผ่านโผกองทัพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จับโกหก “สุธา” เรียนนอกจบก่อนทำพาสปอร์ตถึง 10 ปี เตือน ตม.-บัวแก้ว อย่าคิดแก้ข้อมูลย้อนหลัง พร้อมชี้โผโยกย้ายกองทัพ สะท้อน“หมัก”จับมือ “อนุพงษ์” กระชับอำนาจ กัน ตท.10 เพื่อน “แม้ว” อยู่นอกสายคุมกำลัง ให้เติบโตแค่สายงานเอกสาร ชั้นเชิงการเมือง “สมัคร” ทำ “ทักษิณ” เจ็บปวดแน่


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์  ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 20 มีนาคม 2551 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีของ นายสุธา ชันแสง รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่า หลังจากเอเอสทีวี และผู้จัดการได้เปิดประเด็น จนหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจไปเสาะแสวงหาข้อมูลมาขยายความต่อ จนพบว่า นายสุธา เพิ่งจะทำหนังสือเดินทางในปี 2537 จึงขัดแย้งกับที่นายสุธาอ้างว่าตนเองไปเรียนที่ Republican College ประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ปี 2524 และจบในปี 2527

ทั้งนี้ ระบบเก็บข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศ ได้บันทึกข้อมูลการขอหนังสือเดินทางไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 2525 จนถึงปัจจุบัน ส่วนข้อมูลก่อนหน้านั้นได้มีการเก็บข้อมูลเป็นเอกสารย้อนหลังไป 5 ปี คือ ระหว่างปี 2520 - 2524 ซึ่งนั่นหมายความว่า ข้อมูลการขอทำหนังสือเดินทางนั้นจะตรวจสอบย้อนหลังได้ตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน

การตรวจสอบข้อมูลที่พบว่านายสุธา เพิ่งเคยขอทำหนังสือเดินทาง เป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม 2537 จึงเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ในระดับหนึ่งได้ว่า ก่อนหน้าปี 2537 นั้นนายสุธาไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศไทย

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจากทีมงานของนายสุธาเองที่ทำหนังสือด่วนแก้ไขประวัติของรัฐมนตรีแจ้งต่อสื่อมวลชนว่าตนเองจบปริญญาตรี จาก Republican College ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยแจ้งวุฒิฯ ดังกล่าวเลย แม้จะลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง

ซึ่งหากวุฒิการศึกษาดังกล่าวได้มาจากการปลอมแปลง ก็เข้าข่ายการปลอมแปลงเอกสาร นายสุธา ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา ส่งผลต่อสถานภาพของ ส.ส.อีกด้วย

** เตือน ตม. - กต. อย่าคิดช่วย “สุธา”

นอกจากนี้หากกรณีดังกล่าวมีมูลความจริง กระบวนการจะไม่จบเพียงแค่การสรรหารัฐมนตรีมาทดแทนนายสุธา รัฐบาล โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) รวมถึงเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ต้องร่วมกันรับผิดชอบฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จะไม่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลเท่านั้น ขณะเดียวก็อยากฝากเตือนไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และกระทรวงการต่างประเทศอย่าพยายามคิดที่จะแก้ไขข้อมูลย้อนหลังเพื่อช่วยนายสุธา เรื่องของคนคนเดียวอาจจะส่งผลกระทบอย่างที่คาดไม่ถึงก็ได้

**แนะ “เหลิม” หยุดพูดเรื่องใต้

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ว่า คนที่อยู่ในอำนาจควรพูดเรื่องความมั่นคงให้น้อย จะต้องไม่ทำให้สถานการณ์ถูกยกระดับไปสู่นานาชาติ แต่ลักษณะของนายกรัฐมนตรีในขณะนี้กลับไม่ได้ส่งสัญญาณที่ทำให้ประชาชนในภาคใต้รู้สึกดีขึ้น หรือแม้กระทั้งการยอมรับว่า"กลัวตาย"ของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ก็ไม่ส่งผลดีกับการแก้ไขปัญหา ผนวกกับนโยบายต่างๆ ที่ รมว.มหาดไทยเปิดเผยออกมาแต่ละครั้งก็ถูกตำหนิจากหลายฝ่าย ดังนั้นขอเตือน ร.ต.อ.เฉลิม หากพูดอะไรต้องคำนึงถึงคำพูดให้มาก อะไรควรหรือไม่ควรพูดต้องดูให้ดี

** โพลบิดเบือนเจตนาพันธมิตรฯ

นอกจากนี้ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีวิพากษ์วิจารณ์การจัดสัมมนาทางวิชาการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า คำพูดของนายสมัครนั้นน่าคิดมาก ผนวกกับผลสำรวจประชาชนโดยส่วนใหญ่จริงหรือเท็จไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม แต่คำว่าชุมนุมนั้นไม่ถูกต้อง การใช้คำพูดของสื่อมวลชน ไปจนถึงการให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองไม่ถูกต้อง พยามพูดเพื่อบิดเบือนเจตนารมณ์ของพันธมิตรฯ ทั้งๆ ที่พันธมิตรฯ จัดการสัมมนาทางวิชาการก็เพื่อให้ความรู้ประชาชน ไม่ได้การชุมนุมหรือการเคลื่อนไหว ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมของให้ทุกฝ่ายเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการจัดการสัมมนาของพันธมิตรฯ ด้วย

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี อ้างการเคลื่อนไหวของส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่จัดม็อบมาต่อต้านพันธมิตรฯ เป็นเรื่องส่วนตัวนั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัคร คิดง่ายไป ย้อนไปก่อนพรรคไทยรักไทยกระทำผิดการเลือกตั้ง มีการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม ทุกคนก็พยายามบอกไม่เกี่ยวกับพรรค ต่อมาพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ม็อบ นปก.ก็เกิด มีการคัดค้านมติร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างเป็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน พรรคไทยรักไทยก็บอกไม่เกี่ยวอีก สุดท้ายวันนี้คนเหล่านนั้นก็มาร่วมตัวกันเป็นรัฐมนตรี เป็นส.ส.ได้ดิบได้ดี

**ไม่อยากให้ยุบพรรค แต่นักการเมืองไม่หยุดโกง

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชนได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่าทางพรรคอาจเลือกใช้วิธีการยุบสภาก่อน หากคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช นำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน โดย ร.ท.กุเทพยืนยันว่าไม่เคยคิดยุบสภา เพราะทางพรรคเคยผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายจากการยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคมาแล้ว จึงไม่คิดที่จะใช้วิธียุบสภาเพื่อแก้ปัญหา เพราะเป็นการข่มขู่เอาประชาชนเป็นตัวประกัน

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เห็นด้วยกับ ร.ท.กุเทพ ที่ว่าจะไม่ยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการยุบพรรค เพราะถึงยุบสภาไปแล้วก็ไม่น่าจะรอดถ้าต้องยุบพรรคจริง พรรคไทยรักไทยเดิมก็ถูกยุบหลังจากยุบสภา อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคบ่อยๆ เพราะพรรคเป็นสถาบันทางการเมืองมีนักการเมืองและประชาชนมากมายเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนักการเมืองไม่เคยดูแลการเลือกตั้งให้สุจริต ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทางเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งโดยที่ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย มีการทุจริต นำคนที่ไม่มีสิทธิมาช่วยหาเสียง วันดีคืนดีบอกจะเป็นตัวแทนใครก็ได้ มีการแทรกแซง กกต. ซึ่งก็ทำให้ไม่มีวิธีการอื่นที่จะต่อกรกับวิธีการที่เลวร้ายต่อระบอบประชาธิปไตยเหล่านี้

**“หมัก”จับมือ “อนุพงษ์”กระชับอำนาจกองทัพ - ข่ม “ทักษิณ”

กรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการสัมมนาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 28 มี.ค.โดยนายสมัครบอกว่าได้เวลาแล้วหรือที่จะไปชุมนุม แล้วคนที่ไปร่วมชุมนุมจะอายหรือไม่ นั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า คนที่ไปร่วมคงมาอาย เพราะเป็นการไปฟังสัมมนา ตามสิทธิที่ทำได้ และไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไร

อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตว่า นายสมัครพยายามถามถึงเป้าหมายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ว่าเพื่ออะไร ต่อต้านใคร เหมือนกับนายสมัครกำลังจะแยกตัวเองออกจากพรรคพลังประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมา เห็นคนไปต้อนรับจำนวนมาก ท่าทีของนายสมัครดูอ่อนลง และว่ากันว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องรีบกลับมา เพราะนายสมัครไม่ตั้ง รมว.กลาโหมตามที่ขอ โดยนายสมัครตัดสินใจนั่งในตำแหน่งนี้เอง และได้ทำความสนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มากขึ้น เวลาไปต่างประเทศจะต้องเอา พล.อ.อนุพงษ์ไปด้วย จนทหารรู้สึกดีกับนายสมัคร จากท่าทีที่อยู่ข้างทหาร

นอกจากนี้ หลายคนยังคาดหวังกับนายสมัครว่า เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ แล้ว จะทำงานเพื่อคนไทย 63 ล้าน ซึ่งการจัดโผกองทัพจะเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนว่านายสมัครยืนอยู่ข้างไหนกันแน่ ทั้งนี้ จากรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีที่ออกมา ทำให้เห็นจุดยืนของนายสมัครชัดเจนขึ้น

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การโยกย้ายครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.การจัดระเบียบกลาโหม พ.ศ. 2550 เป็นครั้งแรก ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่การจัดโผจะถูกเปลี่ยนไปไปมาก จากที่กองทัพเสนอมา ก็มาเปลี่ยนในขั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีว่าการ หรือเปลี่ยนในขั้นรองนายฯ หรือนายกฯ แต่ตามกฎหมายใหม่นี้ ให้การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาร่วม โดยที่ฝ่ายการเมือง หรือนายกฯ เปลี่ยนคนเดียวไมได้อย่างแต่ก่อน

ผลลัพท์จากการโยกย้ายครั้งนี้ จึงออกมาในลักษณะการประนีประนอมระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ กับ นายสมัคร โดยภายในกองทัพบกนั้น พล.อ.อนุพงษ์จัดการเองทั้งหมด ส่วนตำแหน่งนอกกองทัพบกก็มีการปูนบำเหน็จกันบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ระดับ ผบ.เหล่าทัพไม่มีการเปลี่ยน 5 เสือ ทบ.ก็ไม่เปลี่ยน ระดับแม่ทัพภาคก็ไม่มีการขยับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พล.อ.อนุพงษ์ยังกระชับอำนาจได้ตามเดิม และในระยะนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแทรกแซงจนทำให้อำนาจที่มาจาก คมช.ล่มสลาย

ส่วนนายทหารที่มาจากเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นมาก็ไม่ใช่นายทหารในฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณเต็มที่ นายทหารระดับคุมกำลังยังเหมือนเดิม อาจจะมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่คนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คุมกำลังเลย

ขณะที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. ที่ถูกย้ายจากผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม ไปเป็นประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมนั้น แม้จะเป็นการห้ำอำนาจน้อยลง แต่ก็ย้ายไปกินตำแหน่งอัตราจอมพล ซึ่งก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สมเกียรติ

ส่วน พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักปลัดกระทรวงหลาโหม ตท.10 ที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ย้ายไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม ก็ไม่ได้คุมกำลัง เพียงแต่ย้ายไปในเส้นทางที่เติบโตได้ ไม่ให้มองว่าถูกดอง

เชื่อว่า การโยกย้ายเช่นนี้ ในสายตา พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเจ็บปวด เพราะชัดเจนว่า กองกำลังไม่อยู่ในมือ ตท.10 สายพ.ต.ท.ทักษิณเลย ไม่มีนายทหารจากฝั่ง ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่สามารถคุมกำลังได้เลย มีแต่คุมงานบริหาร หรืองานเอกสาร ซึ่งก็พอจะเติบโตได้ แต่คุมสภาพไม่ได้

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ชั้นเชิงการเมืองของนายสมัครกรณีโยกย้ายทหารครั้งนี้ถือว่าไม่ธรรมดา คือให้อำนาจการโยกย้ายนายทหารระดับนายพันที่คุมกำลังได้ ไปอยู่ในมือของ พล.อ.อนุพงษ์ทั้งหมด ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณต้องการจะให้ย้าย ก็บอกว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจของตัวเองที่จะโยกย้ายได้ ขณะเดียวกันก็บอกว่า ไม่รับประกันว่า จะให้ พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ.ครบ 3 ปี เพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณหวาดระแวง โดยที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้คุมกำลังอีก และนายสมัครยังจะถือปืนในมือต่อไปโดยผ่าน พล.อ.อนุพงษ์ เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าอำนาจในกองทัพจะเปลี่ยนต้องหันกลับมามองใหม่





กำลังโหลดความคิดเห็น