xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” ชี้บทเรียน “สู้ทักษิณ” ต้องเจ็บปวด - อัด ขรก.บางกลุ่มป้อยอนักการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้ม็อบป่วนเวทีสวนลุมฯ ปี 49 จงใจคุกคามการรับรู้ข่าวสารของประชาชน แต่ “สนธิ” กลับตกเป็นจำเลยคดีหมิ่นประมาท สะท้อนความเจ็บปวดของการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ย้ำเป็นบทเรียน ภาค ปชช.ต้องรวมตัวยืนหยัดสู้ จับตา “แม่ทัพภาค 1” คนใหม่สะท้อนจุดเปลี่ยนขั้วอำนาจ เหน็บหมอบางกลุ่ม-ปลัด สธ.ป้อยอนักการเมือง

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 7 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีที่นายเก่งกาจ ศรีหาสาร นักวิชาการป่าไม้ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามภาคเหนือ กรมอุทยานแห่งชาติ ฟ้องหมิ่นประมาท หลังจากที่นายสนธิได้กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า นายเก่งกาจนำกลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปก่อกวนเวทีปราศรัย “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2549

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เหตุการณ์ในวันดังกล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนั้นอยู่ในภาวะไม่ปลอดภัย ทั้งจากการบุกมาก่อกวน หรือว่าการส่งเสียงใช้แรงม็อบปะทะ อีกทั้งยังมีการก่อกวนหลายสัปดาห์ติดต่อกัน เกือบปะทะกันก็หลายครั้ง มีการพกไม้ไผ่ปลายแหลมอ้างว่าเป็นธง และพกอาวุธ เป็นการกดดันไม่ให้คนไปฟังการปราศรัยของนายสนธิ จนกระทั่งมีการขว้างประทัดขนาดยักษ์เกิดขึ้นมีคนได้รับบาดเจ็บ และมีภาพบุคคลที่สามารถชี้ตัวได้ สถานการณ์แบบนั้นคือการถูกคุกคามการรับรู้ข่าวสารของประชาชน แต่ในที่สุดนายสนธิกลับตกเป็นจำเลย ถูกฟ้องหมิ่นประมาท ซึ่งนายสนธิก็น้อมรับคำพิพากษาของศาล แต่ยังไม่เห็นด้วย พร้อมจะใช้กระบวนการอุทธรณ์เพื่อสร้างบรรทัดฐาน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เคยคิดหรือหลบหนีคดีแต่อย่างใด

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ความรู้สึกเจ็บปวดจากการต่อสู้กับระบอบทักษิณที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับใครบางคนเพียงเท่านั้น ใครจะมากจะน้อยแล้วแต่หน้าที่การงานที่ได้รับผลกระทบ อย่างเช่นนายสนธิ ที่ต้องยืนต่อสู้คมหอกคมดาบ นายสนธิ เจ็บปวดมากกว่าใครอีกหลายร้อยคน ขณะเดียวกันประชาชนที่เฝ้ามองก็เริ่มมีความรู้สึกเจ็บปวด หลายๆ คนที่ร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณ มีทั้งคนที่เสียสละ มีทั้งมุ่งหวังเป็นนักการเมือง หรือเป็นฝ่ายการเมืองที่ต้องการล้มการเมืองอีกฝ่าย บางคนรู้สึกว่าสูญเสียอำนาจในทางการเมือง ก็มาเข้าข้างประชาชน บางคนมีความอยากได้อยากจะมีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มองประโยชน์ต่อตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ในบางครั้งมีความรู้สึกว่า การต่อสู้กับทุนนิยมสามานย์ เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องลุกขึ้นสู้ เพราะในระบบการปกครองของประเทศก็มีคนแค่สองกลุ่มเท่านั้นที่เป็นชนชั้นปกครองจริงๆ ทางการเมืองของไทย ไม่ว่าจะเป็นทุนสามานย์หรืออามาตยาธิปไตย วันหนึ่งทนไม่ได้กับทุนนิยมสามานย์ กลุ่มข้าราชการลุกขึ้นมาทำการรัฐประหาร ใช้เวลา 1 ปีกว่าไปโดยที่ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย อาจจะรู้ไม่เท่าทัน หรือไม่เข้าใจหน้าที่ จึงเกิดความลักลั่น จนประชาชนเกิดความเจ็บปวด ยังไม่รู้ว่าจะไปพึ่งหวังใครได้อีก

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า คนที่ไม่มุ่งหวังรับอะไรอย่างนายสนธิต้องเจ็บปวด ต้องเดินขึ้นศาลเป็นว่าเล่น ไม่มีใครย้อนมอง ผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินเข้ามาปั๊มนิ้วแล้วบอกเจ็บปวด แต่นายสนธิ เจ็บปวดมากกว่าอีกหลายเท่า อย่างไรก็ตามเมื่อเจ็บปวดแล้วจะต้องจำ เป็นบทเรียนกระตุ้นเตือนให้รู้และพึ่งตัวเอง ต้องหาวิธีรวมตัวกันให้มากพอ แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐในท้ายที่สุด แต่ถ้าไม่มีความหวังเลย ประชาชนต้องมีกลุ่มการเมืองเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ มันเป็นการบีบบังคับ ต่อไปจะหวังไว้ใจใครไม่ได้อีก ดูเหมือนว่าประเทศนี้ประชาชนน่าจะเจ็บช้ำมากที่สุด

**จวก “แม้ว” ยอดนักแสดง

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีเวลาไปพบ พล.อ.เปรม เนื่องจากยังยุ่งอยู่กับการสู้คดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ธรรมดา การใช้คำพูดทั้งการให้สัมภาษณ์ สื่อต่างประเทศพาดพิงกลุ่มคนระดับบนยอด ก็ไม่รู้พาดพิงถึงใคร หลายคนมีความรู้สึก พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่เลิกเล่นการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักแสดง หลายครั้งเรียกร้องความน่าสงสารของตัวเองต่อประชาชนและสื่อมวลชน อย่างวันนี้ก็ปรากฏว่านายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวก็ออกมาระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ จะขออนุญาตศาลเพื่อเดินทางไปอังกฤษวันที่ 13 มีนาคม

ศาลยังไม่อนุญาตทำไม นายพงศ์ทพถึงมั่นอกมั่นใจว่าจะออกจากประเทศโดยไม่พิจารณาคำนึงว่าผู้พิพากษาจะอนุญาตหรือไม่ นี่คือลูกเล่นอย่างหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ใช้เครือข่ายเอาอกเอาใจ รวมทั้งฉากก้มลงกราบจนเรียกน้ำตาจากคนทั้งประเทศ หลายต่อหลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างฉากเรียกน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นประโยค “ผมบกพร่องโดยสุจริต” เมื่อขึ้นศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นภาคแรก เรียกน้ำตาจากคนทั่วประเทศ ฉากมายาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

** “สพรั่ง” ขึ้น ปลัด กห. - คมช.แตก?

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการโยกย้ายนายทหารกลางปี ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะ รมว.กลาโหมอ้างว่า ไม่มีนายทหารจากเตรียมทหารรุ่น 10 (รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ขึ้นมา และตนตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น มีตำแหน่งที่น่าจับตาจากสื่อมวลชนคือ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตเลขาธิการ คมช.จะถูกย้ายลอยออกไปเป็นประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ตำแหน่งเดียวกับที่เคยมีการย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ไปอยู่หรือไม่ ส่วน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตรองเลขาธิการ คมช. จะได้ขึ้นเป็นปลัดฯ หรือไม่ ซึ่งหากวางตำแหน่งตามนี้ ก็เท่ากับว่า เป็นการทำให้ คมช.แตก

อย่างไรก็ตามสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมไม่ได้มีอำนาจคุมกำลัง หรือทำอะไรสุ่มเสี่ยงต่อการรัฐประหารไม่ได้ จึงมองไปที่ตำแหน่งในกองทัพบกแทน ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก (ทบ.ผบ.) คนปัจจุบัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตอนนี้ใกล้ชิดกับนายสมัครเป็นอย่างมาก โดยสถานะและสภาพแวดล้อมขณะนี้ จึงเชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะยังอยู่ในตำแหน่งเดิม

**จับตา “แม่ทัพ 1” ชี้จุดเปลี่ยนอำนาจ

ตำแหน่งที่น่าจับตาจึงกลายเป็นตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ซึ่งน่าจับตาว่า พล.อ.มนตรี ชมภูจันทร์ เสธ.ทบ.คนปัจจุบัน จะถูกโยกไปที่อื่นหรือไม่ และใครจะขึ้นมาแทน ซึ่งมีการคาดหมายกันว่า จะเป็น พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแทน ซึ่งถ้าขึ้นมาจริง ก็จะเชื่อมโยงกับ พล.อ.อนุพงษ์ ถือว่าต่อเนื่องกัน และมีความก้าวหน้าดี

ที่ต้องจับตาดูต่อไปคือ คนที่จะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน พล.ท.ประยุทธ์ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญ เพราะเป็นคนคุมกำลังในเมืองหลวง จะเป็นคนสาย คมช.เดิม เป็นคนที่นายสมัครไว้ใจ หรือคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจ ถ้าตำแหน่งนี้ผิดเพี้ยนไป หรือถ้ามีการสลับขั้วอำนาจ เราจะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้

“ขอให้จับตาดูให้ดีว่าคุณสมัคร สุนทรเวช ที่ลงทุนมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเอง เพื่ออำพรางทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง คมช. หรือฝั่งคุณทักษิณ ที่ไม่ว่าพูดฝั่งไหนก็อธิบายเหตุผลได้ว่า ขอให้วางใจเถอะ มาวันนี้พอถึงเดือนเมษายนจะเป็นจุดชี้ขาดว่าคุณสมัครตัดสินใจเอาอำนาจวางอยู่ในมือตัวเอง วางไว้ในมือ พล.อ.อนุพงษ์ หรือว่าวางไว้อยู่ในมือคุณทักษิณ”

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า ในส่วนของกองทัพอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมเอนอ่อนไปตามการเมือง เช่น กองทัพอากาศ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เตรียมทหารรุ่น 10 เข้าไปได้เป็นบางคนเท่านั้น และบางคนก็ถูกปฏิเสธ

อย่างไรก็ตาม กรณี พล.อ.มนตรี ชมภูจันทร์ ที่ว่าสนิทสนมกับ พล.อ.สนธินั้น ล่าสุด พล.อ.สนธิได้ออกมาปฏิเสธ ที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้ แล้วบอกว่า ยืนยันว่าทุกวันนี้ตัวเองมีความสุขดีกับชีวิตพลเรือน โดยใช้เวลาว่างในการชมความงามของต้นไม้และดอกไม้ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า สำหรับ พล.อ.สนธินั้น เคยเป็นถึงหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่เวลาปีกว่าที่ผ่านมา แทนที่จะทำอะไรได้ กลับไม่ทำ เมื่อไม่ได้ทำ นี่คือจุดจบที่เกิดขึ้นจริงๆ พอเกษียณอายุราชการก็ไม่มีอำนาจในมือที่ต่อรองอะไรอีกแล้ว ทุกคนจึงยอมรับว่าการรัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว โดยเฉพาะการไม่กล้าโยกย้ายราชการ เพราะกลัวจะกระทบกับจิตใจ แต่พออีกฝ่ายขึ้นมา กลับบอกว่าต้องย้ายข้าราชการที่ขึ้นมาจากการรัฐประหารทั้งหมด

สำหรับนายทหารอีกคนที่คาดว่าจะถูกย้าย คือ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม (อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช.) ถูกโยกไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งต้องให้กำลังใจ พล.อ.สมเจตน์ แม้จะมีเรื่องขัดแย้ง กับ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ แต่ในช่วงสุดท้ายที่จะมีการเลือกตั้ง พล.อ.สมเจตน์ เป็นคนที่ยืนหยัดต่อสู้กับนายยงยุทธ ติยะไพรัช แม้เขาจะเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว

“ผมมีความรู้สึกว่า ถึงแม้ความคิดในบางเรื่องที่เราต่างกันบ้าง แต่การต่อสู้จนหยดสุดท้ายก่อนที่ตัวเองจะดำเนินอะไรต่อไป จะมีวิถีชีวิตราชการเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ในฐานะคนที่เขาเป็นหัวหน้าสำนักงานในการรัฐประหาร ได้แสดงความรู้สึกของตัวเอง ได้กระทำในความเชื่อของตัวเองจนวินาทีสุดท้าย แม้รู้ว่าอาจต้องพ่ายแพ้ก็ตาม ต้องถือว่าเป็นคนที่น่านับถือเหมือนกัน ในแง่ของการต่อสู้อย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจรัฐที่เปลี่ยนแปลงไป”

** จวก ขรก.บางกลุ่ม ป้อยอนักการเมือง

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่มีนายแทพย์บางกลุ่มไปให้กำลังใจนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข รวมทั้งนายแพทย์ปราชญ์ บุณวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชื่นชมผลงานของนายไชยาว่า เป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากข้าราชการก็จะมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งก็จะคอยป้อยอนักการเมือง กราบไหว้นักการเมืองอย่างไม่รู้จักอายว่าประชาชนเขาจะรู้สึกอย่างไร กับข้าราชการอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกรังแกอย่างไรก็ยอม เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำว่าถูกต้องแล้วก็ยืนหยัด อยากจะบอกว่า สังคมต้องการคนดี

กรณีการย้ายข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 31 คน ไปอยู่ที่ ป.ป.ท.โดยอ้างว่าเป็นการร้องขอของนายสุนัย มโนมัยอุดม และสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม อ้างว่าตนไม่เกี่ยว อย่ามองว่าเป็นการล้างบางข้าราชการที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามนั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นักข่าวได้ไปถามนายสุนัยแล้ว แต่ปรากฏว่านายสุนัยไม่ตอบคำถาม ทั้งที่หากสุนัยเป็นคนขอเอง น่าจะพูดเหตุผลว่าต้องการมาช่วยงาน

“ผมเชื่อว่าอย่างนี้ วันนี้ข้าราชการเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ใช่เรื่องผิดคาด เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ว่า จุดตายคดีของคุณทักษิณและครอบครัวอยู่ที่นี่หลายคดี คุณทักษิณจะอ้างไปอัยการ มันไม่พอหรอกครับ มันมีหลายขั้นตอนที่สามารถทำได้ที่นี่ แม้คดีความจะขึ้นไปแล้วก็ตาม ในชั้นการต่อสู้ กรมสอบสวนคดีพิเศษยังเป็นหัวใจหลักในการดำเนินคดีความเช่นเดียวกัน อย่างน้อยในฐานะคนที่ทำเรื่องทั้งหมด หลักฐานก็อยู่ที่นี่” ผู้ดำเนินรายการกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น