อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ขณะนี้ดูท่าว่าจะไม่มีอะไรหยุด รบ.นี้ไม่ให้เด้ง ขรก.อย่างไร้เหตุผลได้ โดยล่าสุด การใช้อำนาจโยก ขรก.ที่ถูกมองว่าเพื่อสนองประโยชน์ต่อ “ทักษิณ-เครือญาติ” รวมถึงแกนนำ ทรท.-พปช.ไม่ได้จำกัดวงแค่การย้าย ขรก.ระดับสูงในส่วนกลางเท่านั้น แต่ลามเลยไปถึง ขรก.ระดับสูงใน ตจว.แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ผู้การเชียงราย-รองผู้การบุรีรัมย์” ที่หลายฝ่ายมองว่า ถูกเด้งเพื่อสังเวย “ใบแดงยงยุทธ” และ “ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ 3 คน” ไม่เท่านั้น ยังเป็นการเด้งที่อาจหวังผลเพื่อ “ตัดตอนความผิด” ในคดีต่างๆ ของตระกูล “ชิดชอบ” ด้วย ...ไม่น่าเชื่อว่า สังคมส่วนใหญ่พากัน “ดูดาย” ต่อภาวะเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ถึงเพียงนี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ปฏิบัติการล้างบาง-เช็กบิลข้าราชการโดยรัฐบาลนอมินีไทยรักไทยที่เริ่มเปิดฉากตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือน ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสั่งเด้งข้าราชการที่ไม่อาจมองเป็นอื่นได้ นอกจากต้องการเช็กบิลข้าราชการผู้นั้น ขณะเดียวกัน ก็หวังผลเพื่อแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือแทรกแซงคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว-เครือญาติ รวมถึงคดีที่เกี่ยวพันกับอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยและแกนนำพรรคพลังประชาชนที่บางองค์กรดูแลอยู่ สังคมจึงได้เห็นรัฐบาลสั่งเปลี่ยนหัวองค์กร แล้วนำคนของตัวมาคุมแทน
เช่น การเด้ง นายสุนัย มโนมัยอุดม พ้นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ถูกมองว่าใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ มาคุมดีเอสไอแทน และการเด้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ แล้วให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.รักษาการแทน ซึ่งสังคมก็มองออกเช่นกันว่า นี่คือ การกรุยทางให้พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หรือพี่ภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มาเป็นใหญ่ใน “รัฐตำรวจ” เร็วๆ นี้!
คงไม่ต้องพูดต่อว่า ถ้ากระบวนการยุติธรรมชั้นต้นอย่าง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อยู่ในมือของพี่ชายจำเลยคนสำคัญของประเทศแล้ว แนวโน้มของคดีจะดำรง “ความตรงไปตรงมา” ได้เพียงใด เมื่อตำรวจและจำเลยต่างเป็นเครือญาติ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งกันและกัน อย่าว่าแต่จะหวังให้คดีไปถึงมือศาลเลย แค่ตำรวจจะส่งฟ้องจำเลยต่ออัยการหรือไม่ ก็คงหวังได้ยากแล้ว
ไม่เพียงการโยกย้ายข้าราชการส่วนกลางที่ถูกมอง ว่า เพื่อหวังผลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้แต่ข้าราชการตำรวจระดับสูงในต่างจังหวัดก็ไม่เว้น ดังจะเห็นได้จากการเด้งฟ้าผ่า พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ไปช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา แม้ภาพที่ออกมาจะดูเหมือนว่า ผู้ลงนามคำสั่งย้าย คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนคำสั่งย้ายจะมีขึ้นไม่กี่วัน (25 ก.พ.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ได้เรียก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เข้าพบ!
ให้น่าสงสัยว่า การสั่งย้ายผู้การเชียงรายมาจากความคิดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เอง หรือถูก ร.ต.อ.เฉลิม บีบเพื่อให้สั่งย้ายกันแน่ ถ้าเป็นประเด็นหลัง แสดงว่านั่นคือการ “ยืมมือ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้ “เด้ง” ลูกน้องตัวเองโดยที่รัฐบาลไม่ต้องออกแรงหรือลงมือเอง เสร็จแล้วรัฐบาล(โดยนายกฯ สมัคร สุนทรเวช) ก็ “เชือด” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ด้วยการสั่งโยกไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ในวันที่ 29 ก.พ.เช่นกัน
คงยังไม่ลืมกันใช่มั้ยว่า ผู้ที่เรียกร้อง-กดดันให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งย้าย พล.ต.ต.ทรงธรรม ผู้การเชียงรายก่อนหน้านี้คือใคร ถ้าไม่ใช่แกนนำพรรคพลังประชาชน ที่จี้ให้ ผบ.ตร.(พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์) สั่งย้าย พล.ต.ต.ทรงธรรม ออกนอกพื้นที่ โดยอ้างว่ามีการข่มขู่พยานในคดีทุจริตเชียงรายให้กล่าวหา นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนของพรรค ทั้งที่สังคมเห็นว่าผู้ที่ถูกข่มขู่ คือ พยานฝ่ายตรงข้ามในนายยงยุทธมากกว่า โดยเฉพาะนายไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากเอกที่รู้เห็นการทุจริตซื้อเสียงของนายยงยุทธ!?!
การเด้ง พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้การเชียงรายเข้ากรุ จึงยากที่จะมองเป็นอื่นได้ นอกจาก เพื่อสังเวยใบแดงที่นายยงยุทธได้รับจากมติ กกต.3:1 ที่เห็นว่า นายยงยุทธสมควรได้ใบแดง เพราะทุจริตซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงรายจริง (ล่าสุด กกต.เตรียมส่งสำนวนพร้อมความเห็นเสนอให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือให้ใบแดงนายยงยุทธภายในสัปดาห์นี้)
หลังผู้การเชียงรายถูกเด้งได้แค่ 3 วัน (3 มี.ค.) ก็มีการสั่งเด้งรองผู้การที่บุรีรัมย์ อันเป็นถิ่นของ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยอีก คราวนี้ เหยื่อคือ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล ที่ไม่เพียงมีตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ยังเป็น กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับประธาน กกต.บุรีรัมย์ นายเกษม วัฒนธรรม จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเสนอ กกต.กลางเพื่อพิจารณาให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์เขต 1 พรรคพลังประชาชนไป 3 คน(ประกอบด้วย นายประกิจ พลเดช-นายรุ่งโรจน์ ทองศรี-นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน) โดย พ.ต.อ.สังวรณ์ ถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษ
แม้คำสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ จะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.แต่กว่าสาธารณชนจะทราบเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อสมัชชาประชาชนภาคอีสาน จ.บุรีรัมย์พร้อมตัวแทนเครือข่าย 22 องค์กร ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ (เมื่อ 8 มี.ค.) เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในฐานะรองผู้การบุรีรัมย์และ กกต.บุรีรัมย์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม จึงเชื่อว่า คำสั่งย้ายของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ที่ให้ พ.ต.อ.สังวรณ์ไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษนั้น มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากล และน่าจะถูกกลั่นแกล้งให้ย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะ พ.ต.อ.สังวรณ์ ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวอำนาจหรืออิทธิพลของนักการเมืองใหญ่ใน จ.บุรีรัมย์
สมัชชาประชาชนภาคอีสานพร้อมเครือข่าย ยังเชื่อด้วยว่า การถูกย้ายของ พ.ต.อ.สังวรณ์ ครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับการที่ พ.ต.อ.สังวรณ์ รับผิดชอบสอบสวนและดูแลคดีอาญาใหญ่ๆ หลายคดีที่พัวพันกับนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ตระกูล “ชิดชอบ” เช่น คดีบุกรุกครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เกือบ 140 ไร่ ของ นายชัย และ นางละออง ชิดชอบ บิดา-มารดาของ นายเนวิน ชิดชอบ, กรณีการเพิกถอนสิทธิครอบครองที่ดินการบุกรุกที่วนอุทยานเขากระโดงและที่ดินรถไฟ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ของตระกูลชิดชอบ และการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.บุรีรัมย์กลุ่มของนางกรุณา ชิดชอบ ภรรยานายเนวิน ซึ่งทาง กกต.กำลังพิจารณาอยู่ เป็นต้น
ด้าน กกต.(นายสุเมธ อุปนิสากร) ได้ออกมายืนยัน (9 มี.ค.) ว่า พ.ต.อ.สังวรณ์ เป็นคนขยัน เอาการเอางาน ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยงาน กกต.เป็นอย่างดี และว่า หากมีการโยกย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ออกนอกพื้นที่จริง จะส่งผลกระทบต่องานและสำนวนที่ยังค้างอยู่ รวมทั้งอาจทำให้การดำเนินคดีในส่วนที่ พ.ต.อ.สังวรณ์ รับผิดชอบอยู่เกิดความล่าช้าได้!
ขณะที่สมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่มีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นประธาน ได้ประชุมกำหนดท่าทีต่อกรณีที่ พ.ต.อ.สังวรณ์ถูกย้ายพร้อมเปิดแถลง (9 มี.ค.) ว่า ที่ประชุมมีมติจะยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (พล.ต.ท.วราสิทธิ์ พรเลิศ) และรักษาการ ผบ.ตร.(พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) ให้ทบทวนคำสั่งย้ายดังกล่าว เนื่องจากการย้ายข้าราชการกลางคัน จะส่งผลต่อกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีที่ พ.ต.อ.สังวรณ์ ดูแลอยู่
นายไชยวัฒน์ ยังชี้ด้วยว่า การย้ายอธิบดีดีเอสไอ เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมระดับประเทศเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ และวันนี้ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมระดับจังหวัดเพื่อช่วยเหลือนักการเมืองได้เกิดขึ้นแล้วที่ จ.บุรีรัมย์ ดังนั้น สมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัดจะให้เวลาในการทบทวนคำสั่งย้ายดังกล่าว 15 วัน หากไม่มีความชัดเจน สมัชชาประชาชนภาคอีสานฯ จะหารือเพื่อกำหนดมาตรการในการเคลื่อนไหวใหญ่ต่อไป นายไชยวัฒน์ ยังเผยด้วยว่า ล่าสุด มีข่าวว่า จะมีการย้าย พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ ออกนอกพื้นที่เพิ่มเติมอีก!
ด้านนายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ และ ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ได้ออกมาปกป้อง นายเนวิน ชิดชอบ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ออกนอกพื้นที่ โดยบอก (9 มี.ค.) ว่า ตนในฐานะที่อยู่พรรคพลังประชาชนและใกล้ชิด นายเนวิน ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจในการสั่งย้ายข้าราชการเพื่อล้างแค้นหรือแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใดใด และว่า การสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ เป็นการโยกย้ายข้าราชการตามปกติ เมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา และมีกระบวนการไตร่ตรองอย่างยุติธรรมแล้ว
ขณะที่ พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (คนใหม่) กล่าวถึงคำสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ ไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษ ว่า เป็นเรื่องที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เป็นผู้พิจารณา เพราะช่วงนี้ที่ จ.ศรีสะเกษ มีปัญหาการลักลอบตัดไม้พยุง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ จึงมีการตั้งศูนย์ปราบไม้พยุง อีกทั้งรองผู้การที่ศรีสะเกษ (พ.ต.อ.วัฒนา เงินหมื่น) ลาออกไปเลือกตั้ง ทำให้ทางศรีสะเกษขาดกำลังที่จะดูแลระดับบริหาร ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เห็นว่า พ.ต.อ.สังวรณ์ เคยรับราชการอยู่ที่นั่น จึงส่งไปช่วยราชการ!?!
ฟังความเห็นของฝ่ายต่างๆ แล้ว คิดว่าฝ่ายใดน่าเชื่อกว่ากัน? ถ้ายังตัดสินไม่ได้ ลองมาย้อนรอยดูความน่าจะเป็นอีกสักนิดเป็นไร ว่าใครที่อยากให้ย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ เหลือเกิน ถ้าไม่ใช่คนของพรรคพลังประชาชน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2550 กกต.มีมติ 4:1 ให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน 3 คน คือ นายประกิจ พลเดช-นายรุ่งโรจน์ ทองศรี-นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน เนื่องจากตรวจสอบพบหัวคะแนนของบุคคลทั้งสามจ่ายเงินให้ประชาชนไปฟังการปราศรัยของตน
หลังโดนใบแดง ปรากฏว่า ว่าที่ ส.ส.ทั้ง 3 และว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนในเขตอื่นของบุรีรัมย์ที่ได้รับเลือกตั้งรวม 9 คน ได้ออกอาการไม่ยอมรับ 3 ใบแดงดังกล่าว โดยนอกจากจะมีการนำชาวบ้านชุมนุมประท้วงขับไล่ประธาน กกต.บุรีรัมย์ (นายเกษม วัฒนธรรม) ให้ออกนอกพื้นที่ โดยอ้างว่านายเกษมวางตัวไม่เป็นกลางแล้ว ว่าที่ ส.ส.ดังกล่าวยังเข้าแจ้งความต่อ สภ.อ.เมืองบุรีรัมย์ (4 ม.ค.) ให้ดำเนินคดีนายเกษม และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รอง ผบก.ภ.จังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะ กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน โดยอ้างว่า นายเกษมและ พ.ต.อ.สังวรณ์ใส่ร้ายและสร้างหลักฐานเท็จเสนอ กกต.กลางให้แจกใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์เขต 1 พรรคพลังประชาชน!
แม้ประธาน กกต.บุรีรัมย์ จะเคยชี้แจงยืนยันแล้วว่า ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนนั้น ทาง กกต.บุรีรัมย์ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบถึง 2 ชุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด ซึ่งผลการสอบก็ปรากฏการกระทำผิดที่ชัดเจน กกต.บุรีรัมย์จึงได้ส่งผลสอบไปยัง กกต.กลางเพื่อพิจารณา แต่นอกจากคำชี้แจงของประธาน กกต.บุรีรัมย์ดังกล่าวจะไม่สามารถทำให้ความไม่พอใจของว่าที่ ส.ส.ดังกล่าวยุติลงได้แล้ว ยังได้เกิดการข่มขู่ประธาน กกต.บุรีรัมย์ และ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของบุรีรัมย์ตามมา
และแม้ กกต.กลาง จะยืนยันว่า กกต.จังหวัดไม่ได้เป็นผู้ให้ใบเหลืองใบแดง แต่อยู่ในการพิจารณาของ กกต.กลาง และว่า กระบวนการให้ใบแดงก็ยังไม่ยุติ ขอให้ม็อบดังกล่าวรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนว่าจะเห็นเหมือน กกต.หรือไม่ ซึ่งสุดท้าย คณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีมติ(7 ม.ค.)ว่า กระบวนการพิจารณาให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน 3 ใบของ กกต.เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนพอสมควรแล้ว แต่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนก็ยังไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ดี
โดยนายประกิจ พลเดช ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน บอก หลังทราบคำวินิจฉัยดังกล่าว ได้มีชาวบุรีรัมย์จำนวนมากโทรศัพท์มาให้กำลังใจพวกตน พร้อมบอกจะชุมนุมประท้วงใหญ่อีกครั้ง แต่ตนได้ขอร้องไว้ว่าอย่าเพิ่งมาชุมนุม เพราะจะถูกมองว่าเป็นการกดดัน กกต.กลาง และขณะนี้ประเทศก็อยู่ในช่วงไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ด้วย
แม้จะยังไม่ชุมนุมใหญ่ แต่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 ทั้งสามก็พยายามดิ้นให้พ้นใบแดง ด้วยการเข้าร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง(8 ม.ค.)ขอให้เพิกถอนคำสั่งของ กกต.ที่ให้ใบแดงพวกตน พร้อมขอให้ศาลสั่งระงับประกาศของ กกต.ที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 1 บุรีรัมย์ในวันที่ 17 ม.ค. แต่สุดท้าย ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วมีคำสั่ง(11 ม.ค.)ให้ยกคำร้องของ 3 ว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า กกต.มีอำนาจตามกฎหมายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง)หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) หากเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่ กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.รายใด แล้ว กกต.มีมติให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.รายนั้น ถือว่าคำวินิจฉัยของ กกต.เป็นที่สุด เว้นเสียแต่ว่า กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.รายนั้นไปแล้ว และต้องการให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว จะต้องส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้วินิจฉัย ดังนั้นในกรณีนี้ ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนทั้งสามคนซึ่ง กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้ว กกต.มีมติให้ใบแดง จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาฯ
ด้าน พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รอง ผบก.ภ.จังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะ กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน แม้จะถูกว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชนแจ้งความดำเนินคดี รวมทั้งถูกอำนาจมืดข่มขู่ แต่ พ.ต.อ.สังวรณ์ก็ไม่สะทกสะท้าน โดยให้เหตุผลว่า เพราะตนปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยสำนึกอยู่เสมอว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“เราปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องและชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ไม่มีอะไรหนักใจเลย ไม่เคยสะทกสะท้านเลย ถ้าเขาไม่เคารพกฎหมายก็เรื่องของเขา จังหวัดบุรีรัมย์มันเป็นอย่างนี้ก็ปล่อยมันไป เป็นอย่างนี้ ก็ให้คนทั้งประเทศไทยรู้เลยว่าบุรีรัมย์มันไม่เคารพกฎหมาย (ถาม-พรรคพลังประชาชน(ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคฯ)เขาบอกว่า(การชุมนุม)นั่นมันเป็นความรู้สึกชาวบ้าน?) ถามว่าชาวบ้านมีความรู้สึกจริงมั้ย ต้องถามอย่างนั้น ชาวบ้านที่มานี่มาเพราะอะไร ลองถามเขาดู การมีม็อบแต่ละครั้ง การปราศรัยใหญ่แต่ละครั้ง ต้องดูที่มาที่ไปนะ อันนี้ผมไม่พูดว่าเป็นยังไง (ถาม-ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านใช่มั้ย มีว่าที่ ส.ส.มาไฮปาร์คด้วยใช่มั้ย?) ถูกต้อง ก็ไม่เป็นไร เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ อะไรที่ผิดกฎหมาย เดี๋ยวผมก็ว่ากันตามกฎหมาย (ถาม-มีถูกข่มขู่บ้างมั้ย ทางโทรศัพท์ ข่มขู่จากม็อบหรืออะไร?) มี ก็ธรรมดา มันก็ขู่ บอกว่า “ระวังนะ เดี๋ยวจะถูกย้ายนะ” ก็ว่าไป (ถาม-เราก็เฉยๆ ไม่ใส่ใจ?) ผมจะไปสนอะไร เป็นตำรวจมันก็ต้องเจียมตัว ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่ไว้วางใจ จะต้องถูกย้าย ก็โอเค ก็ว่าไป แต่ถ้าหากว่าเราย้ายไปในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เราก็ลาออก เราก็เป็น กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร (ถาม-ทั้งท่านสังวรณ์และท่านเกษม (ประธาน กกต.)ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งนั้น?) อย่าไปกลัว ห้ามกลัว (ถาม-อะไรทำให้เรารู้สึกไม่กลัว ทำให้เราทำงานตรงนี้ได้อย่างมั่นคง?)มี”ในหลวง” ผมเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
คำพูดดังกล่าวของ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล ที่เผยออกมาก่อนหน้านี้ คงสะท้อนความเป็นคนตรงไปตรงมาของบุรุษผู้นี้ได้เป็นอย่างดีว่า เขารักศักดิ์ศรีและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ โดยไม่ยี่หระต่ออำนาจหรืออิทธิพลใดใดที่ข่มขู่คุกคาม ด้วยสำนึกในความเป็น “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และวันนี้...สิ่งที่ข้าราชการอย่างเขาได้รับก็คือ การถูกเด้งจากรองผู้การบุรีรัมย์(ที่รับผิดชอบดูแลคดีใหญ่ๆ ในพื้นที่)เพียงเพื่อไปปราบการลักลอบตัดไม้เถื่อนที่ศรีสะเกษ นี่...คือเรื่องที่ชอบธรรมแล้วใช่มั้ย? และสังคมยังมีความสุขดีที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้หรือ??