xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : จุดจบ “ทักษิณ”...บทสรุป “คนรวยแล้ว (ไม่) โกง”!?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
อมรรัตน์  ล้อถิรธร...รายงาน
 
การออกแถลงการณ์โจมตี “กระบวนการยุติธรรม” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการหนีคดีของตัวเอง ไม่เพียงตอกย้ำ “ธาตุแท้-ตัวตน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นคนเช่นไร แต่ยังช่วย “ปอกเปลือก” อุดมการณ์ทางการเมืองของเหล่า ส.ส.พรรคพลังประชาชน นอมินี ของ “ทักษิณ-ทรท.” ด้วยว่า “นายใหญ่” สำคัญกว่าสิ่งใด “นายทำอะไร ย่อมถูกเสมอ” พร้อมเห็นดีเห็นงาม แม้จะเป็นการ “บ่อนทำลาย” ชาติก็ตาม ลองมาจับท่วงท่ากิริยาของอาการดังกล่าว พร้อมปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ในสังคมต่อแถลงการณ์ฉบับอัปยศ และบ่อเกิดแห่งจุดจบของอดีตนายกฯ เจ้าของวลี “ผมรวยแล้วไม่โกง”

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ 

แม้ข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หนีคดี-หนีศาล ไปอยู่ที่อังกฤษ จะเป็นข่าวใหญ่พาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ แต่สิ่งที่ครึกโครมยิ่งกว่า ก็คือ “แถลงการณ์” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกตามมา เพราะไม่เพียงยกสารพัดเหตุผลเพื่อความชอบธรรมของตนที่ไม่กลับมารายงานตัวต่อศาลในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ที่ใกล้จะพิพากษาในเร็วๆ นี้ แต่เขายัง “ให้ร้าย” ประเทศไทย พร้อมโยน “ระเบิด” ใส่กระบวนการยุติธรรมของไทยด้วย

เริ่มด้วยการให้เครดิตประเทศอังกฤษที่เขาตัดสินใจไปพักอยู่นั่น โดยชื่นชมว่า “อังกฤษเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด” จากนั้นก็อ้างว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและครอบครัว เป็นเพราะ “ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการ และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดการตนและครอบครัว” แถมยังเรียกคะแนนสงสาร ด้วยการอ้างว่า “ชีวิตของตนไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหน ก็ต้องใช้รถกันกระสุน”

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยกตัวเองด้วยว่า ตนและครอบครัวจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหาที่สุดมิได้ และตนไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา พร้อมส่งสัญญาณว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนจะไม่จบแค่นี้ สักวันตนจะกลับมา โดยบอกว่า “วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกสักนิด”

แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้หลายฝ่ายในสังคมรับไม่ได้ โดยเฉพาะการที่เขาอ้างว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง เพื่อจัดการเขาและครอบครัว ซึ่งตรงข้ามกับข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่สังคมได้เห็นในช่วงที่ผ่านมาก็คือ มีความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจริง แต่ไม่สำเร็จ และผู้ที่แทรกแซงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง (3 ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดูแลคดีซื้อที่รัชดาฯ) ซึ่งถูกจับขังคุกไปแล้วกรณีนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้าน ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ ในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เข้ารายงานตัวต่อศาล ในคดีซื้อที่รัชดาฯ

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำร้ายประเทศไทย ด้วยการบ่อนทำลายภาพลักษณ์กระบวนการยุติธรรมของไทย เพียงเพื่อให้เข้าทางตนในการขอลี้ภัย-หลบหนีคดี แต่รัฐบาลนอมินีของทักษิณอย่างพรรคพลังประชาชนก็เลือกที่จะปกป้อง “นายใหญ่ทักษิณ” มากกว่าจะปกป้อง “แผ่นดินเกิด” สังเกตได้จากคำพูดของมือกฎหมายพรรคพลังประชาชนอย่างนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่บอกว่า รัฐบาลขอ “นิ่งเฉย” ต่อแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง โดยนายชูศักดิ์ อ้างว่า “ที่รัฐบาลไม่ชี้แจง เพราะเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมที่ตัวเองประสบอยู่ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล รัฐบาลไม่มีหน้าที่ไปพูดขยายความ” มือกฎหมายพรรคพลังประชาชนอย่างนายชูศักดิ์ ยังอ้างด้วยว่า “พอรัฐบาลนิ่งเฉยก็ถูกหาว่าเห็นพ้อง พอวิจารณ์ก็ถูกหาว่าไปวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ดีที่สุดคือนิ่งเฉย ไม่วิพากษ์วิจารณ์”

ขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม จากพรรคพลังประชาชน ก็ป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน โดยพูดถึงแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง ว่า เป็นสิทธิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวได้ แม้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ไม่สามารถห้ามได้

แม้รัฐบาลจะไม่กล้าแตะต้อง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างน้อยก็มีสัญญาณที่ดีจากเจ้ากระทรวงการต่างประเทศคนใหม่นายเตช บุนนาค ที่ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการยืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังพร้อมจะพิจารณาถอนพาสปอร์ตการทูต (พาสปอร์ตสีแดง) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันทีที่ได้รับหนังสือยืนยันจากศาลฎีกาฯ ถึงการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ

ด้านสภาทนายความที่มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ เป็นนายกสภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) โดยชี้ว่า แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากจะสะท้อนถึงความพยายามหลบหนีคดีแล้ว ยังกล้าบิดเบือนข้อมูลและให้ร้ายระบบยุติธรรมของไทยอย่างไม่ควรที่จะให้อภัย แถลงการณ์ของสภาทนายความ ยังประณามการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า “ประเทศไทยได้พัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านกระบวนการยุติธรรมที่ยอมรับในนานาประเทศตลอดมาเกือบร้อยปี บัดนี้ มีบุคคลซึ่งเป็นคนไทย ได้ทำให้เกิดความด่างพร้อย อาศัยการที่เคยเป็นผู้นำประเทศและอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองที่ล่มสลาย มากล่าวหาระบบการศาลของประเทศไทยในทำนองที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องที่น่าอับอายและไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

ส่วนท่าทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ได้แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพทำหนังสือชี้แจงต่อสถานทูตทุกประเทศในไทย เพื่อตอบโต้คำแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าระบบยุติธรรมไทยถูกแทรกแซง หากรัฐบาลไม่ทำ แกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมกำหนดท่าทีว่า พันธมิตรฯ จะทำหนังสือชี้แจงต่อสถานทูตทั่วโลกเองหรือไม่

ลองไปดูปฏิกิริยาของฝ่ายอื่นๆ ในสังคมบ้างว่าจะรู้สึกอย่างไรต่อแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและท่าทีของรัฐบาลที่นิ่งเฉยในเรื่องนี้

นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ บอกว่า ตนก็คงไม่ต่างกับคนไทยส่วนใหญ่ที่รู้สึกว่า แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการดูหมิ่นดูถูกประเทศของตน ประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ แถม พ.ต.ท.ทักษิณ ยังตั้งชื่อพรรคตัวเองว่า “ไทยรักไทย” แต่ข้อความในแถลงการณ์กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง อดีตทูตสุรพงษ์ ยังชี้ด้วยว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณใช้ข้ออ้างในแถลงการณ์เพื่อขอลี้ภัยในต่างประเทศ เชื่อว่าจะไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะอ้างว่าคดีของตนเป็นคดีการเมืองไม่ใช่คดีอาญา หรือไม่มีความปลอดภัยในชีวิตก็ตาม

“ข้ออ้างของเขาเนี่ย มันไม่น่าจะ คือคนที่ไม่ต้องเป็นคนฉลาด คนที่มีสามัญสำนึกก็ย่อมรู้แล้วว่า มันเป็นไปได้ยาก เพราะอะไร 1.คดีทั้งหลายเกี่ยวกับตัวเขาเนี่ย มันเป็นคดีอาญาทั้งนั้น คดีพูดง่ายๆ ฉ้อฉล คดโกง หลบเลี่ยงภาษีใช่มั้ย ถ้าสมมติคดีเกี่ยวกับฆ่าตัดตอน 2,000 กว่าศพ สมัยเขาเป็นนายกฯ เรื่องกรือเซะ เรื่องตากใบ พวกนี้ล่ะจะเป็นลักษณะคดีการเมืองได้มาก ที่จะฟังขึ้นมาก เพราะเวลาพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ดี หรือการเอาคนไปทำให้เสียชีวิตก็ดี สงครามยาเสพติดก็ดี อันนี้นอกจากละเมิดหลักนิติรัฐนิติธรรมแล้ว ละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับการเมืองมากเลย ถ้าอย่างนั้นเขาอาจจะโน้มน้าวให้ต่างชาติเห็นว่า เขากำลังถูกรังแก และเป็นคดีการเมือง ถูกใส่ร้าย แต่คดีของเขาเป็นคดีอาญาทั้งนั้นเลย และ 2.เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อในความยุติธรรมของศาล แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้ทนายฟ้องบุคคลหลายบุคคล ข้อหาหมิ่นประมาทข้อหาอะไรเยอะแยะ ก็ฟ้องกับระบบตุลาการ ระบบศาลปัจจุบันของประเทศไทยไม่ใช่เหรอ และบอกว่าต้องนั่งรถกันกระสุน ความจริงคุณทักษิณก็ไม่ได้นอนอยู่ในรถกันกระสุน 24 ชม.365 วันเสียเมื่อไหร่ล่ะ ตอนอยู่ (เมืองไทย) ผมก็เห็นแกออกงานเยอะแยะ งานแต่งงาน งานศพ งานทำบุญ แกไปไหว้วัดไม่รู้กี่วัด แกก็ออกไปสู่ที่สาธารณะ ถ้ามีคุณมุ่งร้ายคุณทักษิณให้เสียชีวิตจริงๆ เขาก็สามารถทำได้แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”

นายสุรพงษ์ ยังแนะด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ต้องตอบโต้แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการเร่งชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานทูต-สถานกงสุลทุกประเทศ และว่า นอกจากกระทรวงการต่างประเทศต้องถอนพาสปอร์ตสีแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว แม้แต่หนังสือเดินทางธรรมดา ก็ไม่ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเลยด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นจำเลยที่หนีคดี ไม่มารายงานตัวตามที่ศาลฯ นัด ส่วนกรณีที่อังกฤษอาจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวลี้ภัยนั้น นายสุรพงษ์ ชี้ว่า อังกฤษต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อังกฤษ ที่มีมาช้านานด้วยว่า คุ้มหรือไม่ที่อังกฤษจะรักษาคนๆ เดียวที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง และหากอังกฤษยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลี้ภัย อังกฤษก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับพลังในประเทศไทย และคนไทยที่จะต่อต้านการตัดสินใจของอังกฤษในเรื่องนี้ด้วย

ด้าน ศ.ดร.สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยอมรับว่า รู้สึกไม่ดีกับแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โทษว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหา ทั้งที่จริงๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมของไทยเทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ และว่า การออกแถลงการณ์โดยให้ข้อมูลที่ผิดและทำให้คนทั่วไปโดยเฉพาะชาวต่างชาติมองกระบวนการยุติธรรมของไทยไปในทางที่ไม่ดี ก็เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่รักประเทศของตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรกระทำก็คือ ชี้แจงเรื่องนี้ให้ประเทศต่างๆ ทราบ หากเพิกเฉย เท่ากับรัฐบาลรู้เห็นเป็นใจกับแถลงการณ์ดังกล่าว

“ผมว่าเรื่องนี้ต้องชี้แจง เพราะถ้ารัฐบาลไม่ชี้แจงก็เหมือนกับรัฐบาลก็รู้เห็นเป็นใจในแถลงการณ์อันนี้ ก็เท่ากับว่า ข่าวร่ำลือว่าเป็นนอมินีมันก็เป็นของจริงสิ ใช่มั้ย คือ จะต้องแยกกันว่า โอเค คุณสนับสนุนคุณทักษิณ คุณชอบคุณทักษิณก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามันมีอะไรที่มันมีการพูดจาในสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับกระบวนการยุติธรรมและประเทศชาติเสียหาย ทำให้คนเข้าใจผิดเนี่ย เราก็ต้องชี้แจง ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงให้ทราบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น (ถาม-ขณะนี้ บางฝ่ายมองว่า คุณทักษิณไม่ได้อยู่ในเมืองไทยก็ดี ความขัดแย้งในไทยคงจะคลี่คลายขึ้น แต่บางฝ่ายมองว่า ไม่ได้ ถ้าคุณทักษิณทำผิด ก็ต้องติดคุกหรือรับโทษกันไป อาจารย์มองอย่างไร?) ขณะนี้ถือว่าเป็นการหนีคดี ดังนั้นการหนีคดี ก็ต้องดำเนินการต่อตามกฎหมาย จะดำเนินการยังไง ก็มีกฎหมายอยู่ ก็ต้องดำเนินการ มีการออกหมายจับ ก็ว่ากันไป แต่ถามว่า ให้แกไปอยู่ต่างประเทศดีกว่าในประเทศหรือไม่ ผมว่ามันไม่ใช่อยู่ที่ไหนดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ลี้ภัยการเมืองดีกว่า หนีคดีดีกว่าหรืออะไรดีกว่า อยู่ที่ว่าล้างมือทางการเมืองจริงหรือเปล่า ถ้าล้างมือทางการเมืองจริง อยู่ที่ไหนก็ไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็คือมันมีอะไรออกมาชี้ให้เห็นว่าไม่ได้ล้างมือทางการเมืองจริง มันก็เลยมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา (ถาม-จากแถลงการณ์ก็เห็นว่ายังไม่ล้างมือ?) ยังไม่ล้างมือหรอก (เขาบอก วันนี้ไม่ใช่วันของผม ให้อดทนอีกสักนิด) ก็จะกลับมา แสดงว่ายังไม่ได้ล้างมือ และสำคัญคือ มันไม่ใช่วันของใคร มันเป็นสิ่งที่ว่า (ตนเอง)ทำอะไรไว้ มันถึงได้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น”

ขณะที่ ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คงต้องการขอความเห็นใจจากคนที่รักทักษิณ ขณะเดียวกันก็เป็นการ “โหมโรง-เปิดม่าน” เพื่อนำไปสู่กระบวนการขอลี้ภัยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับข้ออ้างในแถลงการณ์ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าประเทศยังคงถูกเผด็จการครอบงำ หรืออ้างว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงนั้น ผศ.ทวี ยืนยันว่า ล้วนแล้วแต่เป็นการอ้างเท็จ เพราะขณะนี้ คณะรัฐประหารพ้นอำนาจไปแล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญก็มาจากขั้นตอนการจัดทำอย่างเป็นระบบ โดยมีสภาร่าง รธน.และมีการทำประชามติ ซึ่งได้ผ่านการรับรองโดยเสียงข้างมากของประชาชน และได้รับการยอมรับจากพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ลงเลือกตั้งตาม รธน.ฉบับนี้ กระทั่งมีรัฐบาล มีสภา มีทุกอย่างเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ คำอ้างที่ว่าไม่มั่นใจในระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบเผด็จการยังครอบงำอยู่นั้น จึงเป็นเท็จ

ส่วนการตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ผศ.ทวี ชี้ว่า แม้จะตรวจสอบโดย คตส.ที่ตั้งโดย คมช. แต่ก็ไม่มีภาพเผด็จการเหมือนสมัย รสช. โดยสังเกตได้ว่า กว่า คตส.จะตรวจสอบได้แต่ละคดี ต้องใช้เวลาแทบแย่ ที่สำคัญ เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นศาล ต้องถือว่าเข้ากระบวนการโดยปกติแล้วตามหลักนิติรัฐ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตำหนิกระบวนการยุติธรรม จึงเท่ากับตำหนิระบบนิติรัฐ ที่เป็นกระบวนการมาตรฐานทางนิติธรรมที่ทั่วโลกก็ใช้กันอยู่

“ในระบบนิติรัฐ ถือว่าเมื่อเข้าสู่ศาล ก็คือ เข้ากระบวนการโดยปกติ ถ้าเผื่อคุณทักษิณมาต่อว่า ตำหนิตรงนี้ก็คือตำหนิระบบนิติรัฐ ซึ่งเป็นกระบวนการมาตรฐานทางนิติธรรมทั่วโลกเขาใช้กันอยู่ เราไม่มีศาลพิเศษ เราไม่มีลักษณะของการเลือกปฏิบัติ แม้คุณทักษิณจะโจมตีว่าศาล หมายถึงลิ่วล้อด้วย (ที่โจมตีศาล) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับนักการเมืองเป็นศาลพิเศษ ซึ่งก็ไม่ใช่ มันเป็นศาลที่เกิดขึ้นตาม รธน. รธน.รองรับ ถ้าเผื่อเป็นอย่างนี้ คุณก็ต้องไปว่าศาลทหาร คุณต้องไปว่าศาลภาษีอากร คุณต้องไปว่าศาลแรงงาน ซึ่งเป็นศาลเฉพาะทั้งสิ้นด้วย ใช่มั้ย อันนี้เป็นศาลที่เราจะเอาผิดนักการเมือง และไม่ใช่คุณทักษิณคนแรก ก็โดนกันมาแล้วหลายคน คุณรักเกียรติก็โดนเข้าไป ติดคุก 15 ปี ก็ลดไปลดมาก็จะออกจากคุกแล้วเนี่ย ก็ล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการนี้ทั้งสิ้น”

“ในข้อที่ 2 เรื่องการไม่ได้รับความยุติธรรมจากศาล หรือศาลเราบกพร่องเนี่ย ก็เป็นเท็จเช่นกัน และยิ่งประการสุดท้าย เรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเนี่ย ก็เป็นสิ่งที่คุณทักษิณสร้างขึ้นด้วยส่วนหนึ่ง โดยการพยายามจะสร้างความแตกแยกของผู้คนในสังคม และก่อให้เกิดการจับคนไทยมาชนกัน แบ่งเป็นพรรคเป็นพวก และคุณทักษิณพยายามจะหล่อเลี้ยงคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งไว้ด้วยอามิสสินจ้างทางการเมือง ที่เราเรียกว่า ประชานิยม ซึ่งตอนนี้ก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่าคุณทักษิณเนี่ยเป็นผู้ที่มีเจตนาร้ายต่อสังคมและบ้านเมืองเรา เพราะฉะนั้นการที่อ้างว่าใครทำร้ายคุณทักษิณ ไม่ใช่ ต้องมองว่าคุณทักษิณได้ทำร้ายคนไทยหรือไม่”


ผศ.ทวี ยังวิเคราะห์ด้วยว่า เหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดสินใจหนีคดี ก็เพราะรู้แล้วว่าซื้อศาลไม่ได้ ดังนั้นตัวเองไม่มีทางหลุดพ้นคดีแน่ และว่า ส่วนตัวแล้วมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณหมดสิทธิฟื้นแล้ว และคงยากที่จะกลับมาอยู่เมืองไทยได้อีก บทสรุปของ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นประวัติศาสตร์เป็น “บทเรียน” สอนใจให้นักการเมืองยุคใหม่รู้ว่า “คนชั่วคนเลวย่อมอยู่ในสังคมไม่ได้” ใครทำอะไรไว้ ต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น

“เมื่อคุณทักษิณซื้อศาลไม่ได้ แทรกแซงศาลไม่ได้ ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางหลุดพ้นคดีความ จึงตัดสินใจที่จะหนีไป และผมก็มองไปว่า แกจะกลับเข้าประเทศยาก แม้จะมีคนไปช่วยนิรโทษกรรมให้ ออกกฎมาให้ ผมว่าแกก็กลับมาไม่ได้หรอก โทษทัณฑ์ของแกยิ่งใหญ่มาก ถ้าเผื่อผมจะวิจารณ์แรงๆ เนี่ย แกก็ทำร้ายสถาบันต่างๆ ของประเทศเรา ทั้งระบบรัฐสภา พรรคการเมือง รัฐบาล และตอนนี้แกก็จะทำลายระบบศาลอีก มันก็เป็นส่วนที่ทำให้เห็นว่าแกเนี่ยจะอยู่ในสังคมไทยไม่ได้หรอก …ท้ายที่สุด ในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากคุณทักษิณกลับมาเมืองไทยไม่ได้เนี่ย มันก็จะเป็นเรื่องของการที่เราก็จะมีบทเรียนเป็นประวัติศาสตร์บ้านเมืองว่า คนชั่วคนเลวอยู่ในสังคมไม่ได้ ดังนั้นการเมืองในยุคใหม่ก็จะมีตัวแบบคุณทักษิณเนี่ยคอยสอนใจ ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น (ถาม-คิดว่านี่คือจุดต่ำสุดของคุณทักษิณหรือยัง หรือว่าจะหลุดจากประธาน “เรือใบสีฟ้า” และเงินที่ถูกอายัดไว้ก็คงจะไม่ได้คืนแน่นอน?) ใช่ ก็คงจะมีวิบากกรรมไปอีกมาก เพราะแม้กระทั่งคดีความ คุณทักษิณไม่อยู่ เขา(ศาล) ก็ยังพิจารณาต่อไปได้ มีการตัดสินเอาผิดลงโทษได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณทักษิณเนี่ย ไม่ฟื้นแล้ว และคงจะเป็นอดีตและเป็นอะไรที่เราก็ต้องถือว่าเขาทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น ไม่ได้เป็นการซ้ำเติม แต่เป็นหลักการของความยุติธรรมโดยทั่วๆ ไป เมื่อทำผิดก็ต้องรับผิด”

ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณส่งสัญญาณว่าจะกลับมาอีกครั้ง โดยบอกว่า “วันนี้ไม่ใช่วันของผม...” นั้น ผศ.ทวี ชี้ว่า นั่นเป็นเพียงภาษานักเลงที่ฝากไว้ในการสื่อสารกับสาธารณะ แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ แมคอาเธอร์ ที่เคยบอกว่า “I shall return” ก็ไม่สามารถ return ได้ หรือแม้แต่นักการเมืองในอดีตของไทยหลายๆ คน ที่เคยหนีไปอยู่ต่างประเทศก็กลับประเทศไทยไม่ได้ ทั้งที่บางท่านสังคมก็ให้อภัยแล้ว แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าสังคมคงให้อภัยยาก

ผศ.ทวี ยังพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าของวลี “รวยแล้วไม่โกง” ต้องพบกับบทสรุปในวันนี้ที่ต้องหนีคดีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศว่า สิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเสียคน ไม่เพียงมาจากการลุ่มหลงมัวเมาใน “อำนาจทางการเมือง” แต่ยังมาจากความ “ทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด” ของเขาด้วย สังเกตได้จากแม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีเงินมากมายหลายหมื่นล้าน แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ อยากจะรวยให้มากขึ้นเป็นแสนๆ ล้านอย่าง บิล เกต มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกมีเงิน 5-6 แสนล้าน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าเขาน่าจะทำได้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็พลาด เพราะแทนที่เขาจะทำตามที่ตัวเองเคยพูดว่า “ผมรวยแล้วไม่โกง” เขากลับทำเหมือน “การเมือง” เป็น “กิจการ” ของตัวเอง และ “ประเทศชาติ” ก็เป็น “บริษัท” ของตัวเอง ...เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณสำคัญผิด คิดว่า “เงินทอง” คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต หาใช่ “ชื่อเสียง” ที่ควรสั่งสมด้วยการทำความดีแล้ว บทสรุปของเขาจึงเป็นเช่นวันนี้!!
แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างความไม่พอใจให้หลายฝ่ายในสังคม
พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวเดินช็อปปิ้งในอังกฤษอย่างสบายใจ หลังหนีคดีและถูกศาลฯ ออกหมายจับ(12 ส.ค.)
พ.ต.ท.ทักษิณแสดงอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด หลังศาลอาญาสั่งจำคุกคุณหญิงพจมาน 3 ปี ไม่รอลงอาญาคดีใช้อุบายหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินฯ(31 ก.ค.)
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงเพื่อเล่นงานตน แต่ทนายความของตัวเอง 3 คน(ในภาพ-นายพิชิฏ ชื่นบาน)กลับแทรกแซงศาลกรณีนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล.มอบให้ จนท.ศาลฎีกา
น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความของนายพิชิฏ ถูกศาลสั่งจำคุกด้วยเช่นกันกรณีสินบน 2 ล้าน
โฉมหน้านายธนา ตันศิริ(ในวงกลม) 1 ใน 3 ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณและเป็นญาติกับคุณหญิงพจมานด้วย ถูกศาลสั่งจำคุกพร้อมกับนายพิชิฏและ น.ส.ศุภศรี กรณีสินบน 2 ล้าน
ชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จากพรรค พปช.บอก รบ.ขอนิ่งเฉยต่อแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เรื่องของ รบ.
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.กระทรวงยุติธรรม อ้าง แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นความคิดเห็นส่วนตัว แม้จะกระทบภาพลักษณ์ประเทศ ก็ไม่สามารถห้ามได้
กำลังโหลดความคิดเห็น