"ประสงค์"แฉเบื้องลึกย้าย"สุนัย"พ้นดีเอสไอ หวังเอาคนของตัวเองเข้าควบคุมเพื่อทำลายหลักฐานคดี"แม้ว"และพรรคพวก หนุนอดีตธิบดีดีเอสไอฟ้องศาลปกครองหาความเป็นธรรม
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ปฏิบัติหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) กล่าวในรายการ"รู้ทันประเทศไทย" ทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า ก่อนหน้านี้พันธมิตรฯ ก็อยู่ในความสงบมาตลอด แต่เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มทำอะไรตามใจชอบ จึงต้องออกมาเคลื่อนไหว โดยมีฟางเส้นสุดท้าย คือ การย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม จากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ไปเป็นรักษาการเลขาธิการสำนักงานปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ป.ป.ท.)
"การออกมาต่อต้านเรื่องนี้ผมเห็นด้วย เพราะกรมนี้ สำคัญต่อการดำเนินคดีคุณทักษิณ การย้ายครั้งนี้แก้ตัวไม่ได้ว่า เป็นการย้ายพวกพ้อง
ของคนในรัฐบาลนี้ที่เตรียมการไว้เพื่อเข้าไปควบคุมกรมนี้ แล้วหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด จะถูกทำลาย
"คดีต่างๆ ถ้าขึ้นสู่ศาล คุณทักษิณและพวกยากที่จะรอด หลักฐานบางสิ่งบางอย่างที่เก็บไว้ที่ดีเอสไอ นอกจากคดีคุณทักษิณแล้ว ยังมีของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบอบทักษิณ ที่อ้างว่าจะให้ไปช่วยงานองค์กรใหม่ คือ ป.ป.ท. ไม่ใช่หรอก ความต้องการสำคัญที่สุดก็คือ เอาคนของตัวเอง เข้าไปคุม แล้วทำลายหลักฐาน คุณสมพงษ์ อ้างว่าคดีไปที่อัยการสูงสุดแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ใช่หรอก หลายสิ่งหลายอย่างยังตกค้างอยู่ที่ดีเอสไอ"น.ต.ประสงค์กล่าว
น.ต.ประสงค์กล่าวต่อว่า ล่าสุด ตุลาการรัฐธรรมนูญชี้ว่าร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต วันนี้ เป็นโมฆะ ซึ่งจะกระทบกับ ป.ป.ท. เพราะฉะนั้นนายสุนัยที่ถูกย้ายไปก็ลอยๆ จึงอยากให้นายสุนัยฟ้องศาลปกครอง ที่เป็นที่พึ่งได้ เพราะคณะผู้พิพากษายังเห็นความถูกต้อง กรณีคุณสุนัยไม่รู้จะไปไหน ก็ฟ้องศาลปกครองได้เลย
"รัฐธรรมนูญใหม่บังคับใช้แล้ว นักการเมืองพวกนี้อย่าหลงลืมว่าจะคิดทำอะไรก็ได้เหมือนอย่างเก่า แม้แต่เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย มันเขียนไว้ชัดเจน รวมถึงแทรกแซงสื่อทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็ห้ามไว้ทั้งนั้น ถ้าพิสูจนิ์ได้ว่ามีการแทรกแซงสื่อ ก็มีสิทธิจะถอดถอนได้ทันที"น.ต.ประสงค์กล่าว
กรณีที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กรุงปักกิ่ง โดยอ้างว่าไปในนามส่วนตัวนั้น น.ต.ประสงค์กล่าวว่าทั้งนายนพดล และนายยงยุทธ ผิดมารยาทต่อหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ นายยงยุทธเป็นประธานสภาฯ ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แม้ตัวเองจะยังมีชื่ออยู่ในพรรคนี้ แต่ก็ต้องวางตัวให้ดี ไม่ใช่ไปเดินตามหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งมันผิดมารยาท ถือว่าทำหน้าที่ไม่ใถูกต้อง
น.ต.ประสงค์ในฐานะที่เคยเป็น รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงนายนพดลว่า กำลังจะทำให้เกียรติภูมิศักดิ์ศรีของกระทรวงการต่างประเทศถูกติฉินนินทา ข้าราชการในกระทรวงนี้กำลังอึดอัด นายนพดลเปรียบเสมือนเป็นหน้าต่างที่เปิดให้คนต่างประเทศมองเข้ามา เขาเห็นพฤติกรรมนี้แล้ว แม้นายนพดลจะอ้างว่าไปในนามส่วนตัว แต่สถานะการเป็นรัฐมนตรีมันครอบงำอยู่
"เวลาคุณไปหาคุณทักษิณ คุณลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศชั่วคราวได้ไหม คุณลาออกไม่ได้ ขณะที่คุณทักษิณก็ไม่ธรรมดา เขาเป็นผู้ต้องหาที่ถูกหมายจับเอาไว้ คนต่างประเทศเขามองดู แม้นายนพดลจะอ้างว่าตั้งใจดี แต่ก็ต้องสำนึกว่า ขณะนี้มีภาระหน้าที่ ที่ต้องวางตัวให้เหมาะ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง แล้วอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัว มันไม่ได้หรอก ในทางมารยาททางการทูต" น.ต.ประสงค์กล่าว
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศนั้น น.ต.ประสงค์กล่าวว่า ตนพูดมาจะ 100 ครั้งแล้ว ว่าไม่ได้ห้าม เพราะ พ.ต.ท.ถูกหมายจับอยู่ พันธมิตรฯ ก็ไม่ได้ต่อต้านเรื่องที่จะกลับหรือไม่กลับ แต่ที่เขาเตือนก็เพื่อให้รู้ว่าอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเท่านั้นเอง ทั้งนี้ การที่นายยงยุทธ โดน กกต.ให้ใบแดงในคดีทุจริตเลือกตั้ง ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณชะงักอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะเปลี่ยนอธิบดีดีเอสไอได้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้กลไกการเข้าหาผู้พิพากษาได้หรือไม่ ทั้งนี้ตนยังเชื่อมั่นว่าผู้พิพากษวางตัวได้ดี และจะให้ทุกอย่างเดินไปตามหลักนิติธรรม
ทั้งนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับติดตัว ถ้าเจ้าหน้าที่ไปพบไม่ว่าที่ไหนต้องควบคุมตัวไว้ก่อน ฉะนั้นการที่จะไปแห่ห้อมล้อมตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา ขอเตือนคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ว่าเราต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนการระวังภัยต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้น ก็จะต้องป้องกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปต้อนรับเขา ดูแลเขาเหมือนกับยังเป็นนายกฯ อยู่
"การไปต้อนรับเพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่มีใครห้ามได้ แต่การแสดงออกของคุณในฐานะที่คุณเป็นเจ้าพนักงาน เมื่อเจอคนที่มีหมายจับ ต้องควบคุมตัวไว้ก่อน เพราะคุณไม่ได้พิเศษมาจากไหน"น.ต.ประสงค์กล่าว
