“พันธมิตรฯ” ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่คัดค้านการเดินทางกลับเข้าประเทศเพื่อต่อสู้คดี แต่รัฐบาลหุ่นเชิดต้องไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ยืนยันแกนนำพร้อมจับตาหากพบพิรุธถกด่วนตอบโต้ทุกรูปแบบ
วันนี้ (27 ก.พ.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ “อย่าบิดเบือนอำนาจเพื่อคนคนคนเดียว จุดยืนต่อรัฐบาลสมัคร และการกลับเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
โดยมีเนื้อสาระว่า แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า พวกเราสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและพร้อมสนับสนุนนโยบายที่ดีของรัฐบาลเพื่อคลี่คลายวิกฤตปัญหาประเทศ ซึ่งพวกเราปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช จะนำพาประเทศก้าวพ้นจากความแตกแยกและการเผชิญหน้า และปลดเปลื้องสารพัดทุกข์ของประชาชนคนไทย ตามที่หาเสียงและแถลงนโยบายไว้กับประชาชน
ในขณะเดียวกัน พวกเราก็จะไม่ขัดขวางกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาประเทศเพื่อพิสูจน์ความผิดของตัวเอง พันธมิตรฯ ไม่เคยคัดค้านการกลับเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำประเด็นการกลับหรือไม่กลับไปเป็นประเด็นทางการเมืองสร้างความสับสนเข้าใจผิดให้กับประชาชนตลอดเวลา โดยไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร
สัญญาญการบริหารแผ่นดินที่เริ่มบิดเบือน
อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประเมินสถานการณ์ในช่วงสั้นภายใต้รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช พบความปกติหลายอย่าง และดูเหมือนมีวาระซ่อนเร้นที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้แก่ประชาชน เช่น การอ้างนโยบายเยียวยาข้าราชการประจำที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่นโยบายดังกล่าวขาดหลักธรรมาภิบาลเลือกปฏิบัติและกลายเป็นนโยบายที่ใครทีมัน โดยเฉพาะการส่งสัญญาณต่อข้าราชการระดับสูงที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อระบอบทักษิณ เช่น การขู่ปลดผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ทปธ.) อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (ปชส.) ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.สตช.) ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และล่าสุดคำสั่งย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อย่างมีเงื่อนงำ ทั้งๆ ที่อธิบดีคนดังกล่าวมีผลงานโดดเด่น โดยเฉพาะการสอบสวนขยายผลคดีซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบคัว ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัท เอสซี แอสเซท บริษัทในเครือชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งการขยายผลในประเด็นการฟอกเงิน และการเป็นนอมินีของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นชินฯ 73,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีคดีสำคัญที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งเกี่ยวโยงกับความผิดของคนในรัฐบาลชุดนี้ เช่น การบุกรุกที่ป่าสงวนฯ ที่ จ.เชียงราย คดีฆ่าตัดตอนจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด คดีอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายสิทธิมนุษยชน คำสั่งย้ายดังกล่าวแท้ที่จริงแล้ว คือ การตัดตอนคดีที่เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย และต้องการนำบุคคลที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพลังประชาชนมาทำหน้าที่แทนเพื่อรื้อสำนวนสอบสวนในคดีซุกหุ้นภาค 2 และคดีอื่นๆ ดังที่กล่าวมา และในที่สุดเพื่อให้สำนวนที่จะขึ้นพิสูจน์ความผิด พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสำนวนอ่อน หละหลวมไม่รัดกุม และผู้ต้องหารอดพ้นจากความผิดในที่สุด
ล่าสุด การโยกย้าย นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกรณีการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือ CL ก็พบเงื่อนงำชัดเจนในการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล การพยายามรวบรัดเร่งรีบคืนพาสปอร์ตเล่มแดง ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การวางตัวของ รมว.มหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะองครักษ์ หรือประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แทนที่จะทำหน้าที่บำบัดทุกดข์บำรุงสุขของประชาชนจากภัยอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ เกลื่อนเมือง การวางตัวของ รมว.กระทรวงต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ที่ยังทำตนเป็นทนายประจำตัวมากกว่าตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทั้ง 2 คนได้ใช้เวลาราชการแอบไปพบปะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศเป็นระยะๆ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตกเป็นผู้ต้องหาและมีหมายจับในคดีใช้อำนาจมิชอบ ซึ่งอาจทำให้อำนาจรัฐต้องถูกใช้ไปเพื่อฟอกผิด พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่าย
สัญญาณของการฟื้นคืนชีพของระบอบทักษิณ
เป็นที่ทราบกันดีว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ได้ลอกเลียนแบบนโยบายของรัฐบาลทักษิณมาแทบทั้งหมด แม้เป็นสิทธิของรัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งมาก็ตาม แต่รัฐบาลไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าว หวังแต่เพียงกอบโกยคะแนนนิยมทางการเมืองเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีนโยบายหลายประการที่เคยสร้างปัญหาและรัฐบาลชุดนี้นำประกาศใช้โดยไม่มีการทบทวน เช่น นโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้ โครงการบ้านเอื้ออาทร นโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่ไม่ได้ยึดหลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แต่กลับส่งสัญญาณให้เกิดการฆ่าตัดตอน ทำให้ผู้บริสุทธ์ต้องตกเป็นแพะต้องสียชีวิตและถูกขึ้นบัญชีดำ การจัดระเบียบสื่อ ที่ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักกฎหมายแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ฯลฯ แต่อยู่บนหลักพวกใครพวกมัน และส่งสัญญาณไปยังสื่อในกำกับของรัฐให้หวาดเกรง ไม่กล้าตรวจสอบหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล
มาตรการการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอย้ำจุดยืนว่าจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ เพื่อคัดค้านการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางถึงประเทศ ไทย แกนนำทั้งหมดจะเฝ้าดูและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจในฐานะเจ้าพนักงานสอบสวน อัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยยึดหลักปฏิบัติเดียวกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกัน บรรดารัฐมนตรีที่ได้รับการปูนบำเหน็จทางการเมืองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ควรวางตัวให้เหมาะสมไม่ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่ารัฐบาลชุดนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อมอบคืนอำนาจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหากพบมีความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม แกนนำพันธมิตรฯ จะเรียกประชุมเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวเป็นกรณีฉุกเฉินทันทีในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง