ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ได้ตัดสินใจโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศที่ไม่อยู่ไกลนักเพื่อเข้าสายเข้ามาในที่ชุมนุมในการจัดรายการของกลุ่มผู้สมัครพรรคพลังประชาชนและแนวร่วมที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
บทสรุปอย่างง่ายการจัดงานดังกล่าวที่ใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลนั้นก็เพื่อ
1. สร้างภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศว่ามวลชนยังรักในตัวนักโทษหนีอาญาแผ่นดินคนนี้อยู่
2. แก้ตัวสร้างภาพใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรม เสมือนว่าตัวเองเป็นคนดีที่ถูกรังแกอย่างน่าสงสาร และ
3.ส่งสัญญาณว่าต้องการกลับมาเมืองไทยโดยเร็วแบบไม่ต้องติดคุกตะราง
โดยเฉพาะในประเด็นหลังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เลือกใช้คำว่า...
ไม่มีใครนำผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่ทรงเมตตา “หรือ” ไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น
“หรือ” เป็นคำสันธานปรากฏอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “คำบอกความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง”
ไม่ได้แปลว่าให้เลือกเอาทั้งสองอย่าง!
คนละเรื่องและคนละความหมายกับคำว่า “ราชประชาสมาสัย”
ถ้านำความหมายตามพจนานุกรมมาแทนคำสันธานนี้ ก็จะได้ความหมายแปลว่า ไม่มีใครนำผมกลับประเทศได้ นอกจากให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” ไม่ก็ “พลังของพี่น้องประชาชน”
ก็ย่อมต้องมีคำถามตามมาต่อว่า ถ้าไม่ได้พระบารมีที่ทรงมีเมตตาเพื่อทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศได้ ก็ต้องใช้พลังของพี่น้องประชาชนแทนใช่หรือไม่? และอาจถูกสงสัยว่าเป็นการส่งสัญญาณข่มขู่แกมบีบบังคับได้หรือไม่?
แล้วอะไรคือความคาดหวังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อพระบารมีที่ทรงมีเมตตาเพื่อให้ตัวเองกลับประเทศได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองจะกลับประเทศเองเมื่อใดก็ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คาดหวังการได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง เพื่อที่ตัวเองจะได้กลับมาโดยไม่ต้องถูกโทษจำคุกใช่หรือไม่?
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ หวังจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ตัวเองกลับไม่มีความสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดแม้แต่น้อย แล้วจะขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้ติดคุกจริงๆ ตามโทษที่ได้รับแม้แต่คดีเดียว อีกทั้งยังมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุดอีกมากที่กำลังรอการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งไม่สามารถพระราชทานอภัยโทษล่วงหน้าได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมว่าไม่มีความยุติธรรม ทั้งๆ ที่คดีความได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว
ศาลฎีกากระทำการใน “พระปรมาภิไธย” ที่พิจารณาตัดสินคดีความไปเสร็จสิ้นแล้ว ยังถูกนักโทษหนีอาญาแผ่นดินคนนี้ใส่ร้ายอีก แล้วจะยังมีหน้ามาขอพระราชทานอภัยโทษอีกได้อย่างไร?
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 197 บัญญัติเอาไว้ว่า:
“การพิจารณาคดีพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หวัง “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” เพื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองกลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องโทษจำคุก ด้วยเหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่มีความผิด แต่เป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีศาลในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสินนั้นไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ มีอภิสิทธิ์ชนชั้นสูงอยู่เบื้องหลังในกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งเพราะตัวเองเป็นนักการเมืองที่ได้ใจคนจน เช่นนั้นหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจว่าชาติจะเป็นอย่างไร แล้วยังมีหน้ามาพูดแสดงละครน้ำเน่าอย่างน่าสะอิดสะเอียนว่า “ความเดือดร้อนของผมเปรียบเทียบกับประชาชนในประเทศถือว่ายังเล็กน้อย ผมทนได้ แต่ว่าปัญหาคือประเทศจะย่อยยับ"
พ.ต.ท.ทักษิณ ขอ “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” บนเวทีของกลุ่มคนที่ร่วมขบวนการกับ นปช. ที่มีเครือข่ายเป็นผู้ที่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วยังมาพูดว่าจะเป็น “ราชประชาสมาสัย” ได้อย่างไร?
ประการสำคัญคือคดีความที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นเรื่องที่สากลเข้าใจได้ไม่ยากต่อกรณีการซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกว่าเป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” และคดีที่เหลือและอยู่การหลบหนีในการพิจารณาคดีในชั้นศาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันทั้งสิ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาประเทศไทยภายหลังจากพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ประกาศเองไม่ใช่หรือว่าตัวเองเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หลังจากที่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ได้โยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นคนที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จึงได้ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย เพราะคิดว่าพรรคพวกตัวเองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ ใช่หรือไม่?
เมื่อกลับเข้ามาประเทศไทย พรรคพลังประชาชนก็พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวอีกใช่หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ได้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาขัดขวาง ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?
เพราะแม้คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่หลุดเข้าไปในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ มิใช่หรือที่ยังหาทางดิ้นไปละเมิดและติดสินบนศาลด้วยถุงขนม 2 ล้านบาทและไม่สำเร็จ จนต้องได้รับโทษจำคุกอยู่ทุกวันนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองนั่นแหละที่กำลังทำตัวเป็น “อภิสิทธิ์ชนชั้นสูง” ของเมืองไทย เป็นถึงนักโทษหนีอาญาแผ่นดินแท้ๆ ยังมีหนังสือเดินทางเล่มแดง มีตำรวจติดตาม มีข้าราชการ และนักการเมืองไปเอาอกเอาใจ แถมยังด่ากระบวนการยุติธรรมต่อชาวต่างประเทศ และเข้าสายทางโทรศัพท์เข้ามาในประเทศเพื่อละเมิดอำนาจศาลได้ต่อหน้ามวลชน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบริวาร เห็นแก่ตัวเองเอาแต่ได้ ยามใดที่กระบวนการยุติธรรมตัดสินให้ตัวเองชนะเหมือนกับคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็บอกว่า ศาลมีความยุติธรรม ยามใดที่ตัดสินว่าตัวเองผิดก็บอกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรม
นักการเมืองจำพวกนี้กำลังทำตัวเหมือนเป็น “อภิสิทธิ์ชนชั้นสูงที่อยู่เหนือกฎหมาย” ยิ่งกว่าใคร ใช่หรือไม่ !?
มีกฎหมายก็บริหารจนกลไกรัฐทำอะไรตัวเองไม่ได้ มีข้าราชการดีที่ซื่อสัตย์ก็ถูกโยกย้ายให้พ้นจากหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้คดีความถึงการพิจารณาในชั้นศาล
พอมีคดีความหลุดไปชั้นศาลก็ใช้ลิ่วล้อไปติดสินบนศาลอีก
พอซื้อศาลไม่ได้และถูกลงโทษก็โวยวายว่าไม่เป็นธรรมและจะแก้กฎหมายเพื่อตัวเอง
พอแก้กฎหมายไม่ได้ ก็จะขอพระราชทานอภัยโทษ หรือไม่ก็ พลังของพี่น้องประชาชนเป็นแรงกดดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม บีบบังคับเพื่อไม่ให้ตัวเองได้รับโทษ จนทำให้ประเทศวุ่นวายกันไปหมดดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
คดีทุจริตคอร์รัปชันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับ 10 คดีที่ยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ในชั้นศาล
คดีอุ้มฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทางภาคใต้จำนวนมากรวมถึงทนายสมชาย นีละไพจิตร ยังไม่ปรากฏผู้สั่งการที่ต้องออกมารับผิดชอบ
คดีนโยบายฆ่าตัดตอนยาเสพติด 2,500 ศพ ที่มีหลักฐานแล้วว่ามีการฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ยังไม่มีคนออกมารับผิดชอบเช่นเดียวกัน
คดีการทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศจนวันนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว และบาดเจ็บจำนวนมากยังไม่มีใครรับผิดชอบเช่นกัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินอยู่เช่นเคย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง
แท้ที่จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น “คน” ที่ยังมีกิเลสตัณหาที่เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงย่อมทำผิดได้ Thaksin จึง can do wrong และเมื่อทักษิณ “ไม่มีความระวัง รู้ๆ อยู่ว่าอะไรผิดแล้วยังทำความผิดอีก” ก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ตามกฎแห่งกรรมที่ตัวเองก่อขึ้น จะทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้
ประการสำคัญที่สุดปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกกำลังยกระดับปัญหาของตัวเอง ให้กลายเป็น “ปัญหาความมั่นคงของชาติ” เพราะกำลังสั่นคลอนและท้าทายต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นตามมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
บทสรุปอย่างง่ายการจัดงานดังกล่าวที่ใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลนั้นก็เพื่อ
1. สร้างภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศว่ามวลชนยังรักในตัวนักโทษหนีอาญาแผ่นดินคนนี้อยู่
2. แก้ตัวสร้างภาพใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรม เสมือนว่าตัวเองเป็นคนดีที่ถูกรังแกอย่างน่าสงสาร และ
3.ส่งสัญญาณว่าต้องการกลับมาเมืองไทยโดยเร็วแบบไม่ต้องติดคุกตะราง
โดยเฉพาะในประเด็นหลังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เลือกใช้คำว่า...
ไม่มีใครนำผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่ทรงเมตตา “หรือ” ไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น
“หรือ” เป็นคำสันธานปรากฏอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “คำบอกความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง”
ไม่ได้แปลว่าให้เลือกเอาทั้งสองอย่าง!
คนละเรื่องและคนละความหมายกับคำว่า “ราชประชาสมาสัย”
ถ้านำความหมายตามพจนานุกรมมาแทนคำสันธานนี้ ก็จะได้ความหมายแปลว่า ไม่มีใครนำผมกลับประเทศได้ นอกจากให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” ไม่ก็ “พลังของพี่น้องประชาชน”
ก็ย่อมต้องมีคำถามตามมาต่อว่า ถ้าไม่ได้พระบารมีที่ทรงมีเมตตาเพื่อทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศได้ ก็ต้องใช้พลังของพี่น้องประชาชนแทนใช่หรือไม่? และอาจถูกสงสัยว่าเป็นการส่งสัญญาณข่มขู่แกมบีบบังคับได้หรือไม่?
แล้วอะไรคือความคาดหวังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อพระบารมีที่ทรงมีเมตตาเพื่อให้ตัวเองกลับประเทศได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองจะกลับประเทศเองเมื่อใดก็ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คาดหวังการได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง เพื่อที่ตัวเองจะได้กลับมาโดยไม่ต้องถูกโทษจำคุกใช่หรือไม่?
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ หวังจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ตัวเองกลับไม่มีความสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดแม้แต่น้อย แล้วจะขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้ติดคุกจริงๆ ตามโทษที่ได้รับแม้แต่คดีเดียว อีกทั้งยังมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุดอีกมากที่กำลังรอการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งไม่สามารถพระราชทานอภัยโทษล่วงหน้าได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมว่าไม่มีความยุติธรรม ทั้งๆ ที่คดีความได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว
ศาลฎีกากระทำการใน “พระปรมาภิไธย” ที่พิจารณาตัดสินคดีความไปเสร็จสิ้นแล้ว ยังถูกนักโทษหนีอาญาแผ่นดินคนนี้ใส่ร้ายอีก แล้วจะยังมีหน้ามาขอพระราชทานอภัยโทษอีกได้อย่างไร?
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 197 บัญญัติเอาไว้ว่า:
“การพิจารณาคดีพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หวัง “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” เพื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองกลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องโทษจำคุก ด้วยเหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่มีความผิด แต่เป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีศาลในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสินนั้นไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ มีอภิสิทธิ์ชนชั้นสูงอยู่เบื้องหลังในกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งเพราะตัวเองเป็นนักการเมืองที่ได้ใจคนจน เช่นนั้นหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจว่าชาติจะเป็นอย่างไร แล้วยังมีหน้ามาพูดแสดงละครน้ำเน่าอย่างน่าสะอิดสะเอียนว่า “ความเดือดร้อนของผมเปรียบเทียบกับประชาชนในประเทศถือว่ายังเล็กน้อย ผมทนได้ แต่ว่าปัญหาคือประเทศจะย่อยยับ"
พ.ต.ท.ทักษิณ ขอ “พระบารมีที่ทรงมีเมตตา” บนเวทีของกลุ่มคนที่ร่วมขบวนการกับ นปช. ที่มีเครือข่ายเป็นผู้ที่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วยังมาพูดว่าจะเป็น “ราชประชาสมาสัย” ได้อย่างไร?
ประการสำคัญคือคดีความที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นเรื่องที่สากลเข้าใจได้ไม่ยากต่อกรณีการซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกว่าเป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” และคดีที่เหลือและอยู่การหลบหนีในการพิจารณาคดีในชั้นศาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันทั้งสิ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาประเทศไทยภายหลังจากพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ประกาศเองไม่ใช่หรือว่าตัวเองเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หลังจากที่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ได้โยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นคนที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จึงได้ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย เพราะคิดว่าพรรคพวกตัวเองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ ใช่หรือไม่?
เมื่อกลับเข้ามาประเทศไทย พรรคพลังประชาชนก็พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวอีกใช่หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ได้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาขัดขวาง ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?
เพราะแม้คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่หลุดเข้าไปในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ มิใช่หรือที่ยังหาทางดิ้นไปละเมิดและติดสินบนศาลด้วยถุงขนม 2 ล้านบาทและไม่สำเร็จ จนต้องได้รับโทษจำคุกอยู่ทุกวันนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองนั่นแหละที่กำลังทำตัวเป็น “อภิสิทธิ์ชนชั้นสูง” ของเมืองไทย เป็นถึงนักโทษหนีอาญาแผ่นดินแท้ๆ ยังมีหนังสือเดินทางเล่มแดง มีตำรวจติดตาม มีข้าราชการ และนักการเมืองไปเอาอกเอาใจ แถมยังด่ากระบวนการยุติธรรมต่อชาวต่างประเทศ และเข้าสายทางโทรศัพท์เข้ามาในประเทศเพื่อละเมิดอำนาจศาลได้ต่อหน้ามวลชน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบริวาร เห็นแก่ตัวเองเอาแต่ได้ ยามใดที่กระบวนการยุติธรรมตัดสินให้ตัวเองชนะเหมือนกับคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็บอกว่า ศาลมีความยุติธรรม ยามใดที่ตัดสินว่าตัวเองผิดก็บอกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรม
นักการเมืองจำพวกนี้กำลังทำตัวเหมือนเป็น “อภิสิทธิ์ชนชั้นสูงที่อยู่เหนือกฎหมาย” ยิ่งกว่าใคร ใช่หรือไม่ !?
มีกฎหมายก็บริหารจนกลไกรัฐทำอะไรตัวเองไม่ได้ มีข้าราชการดีที่ซื่อสัตย์ก็ถูกโยกย้ายให้พ้นจากหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้คดีความถึงการพิจารณาในชั้นศาล
พอมีคดีความหลุดไปชั้นศาลก็ใช้ลิ่วล้อไปติดสินบนศาลอีก
พอซื้อศาลไม่ได้และถูกลงโทษก็โวยวายว่าไม่เป็นธรรมและจะแก้กฎหมายเพื่อตัวเอง
พอแก้กฎหมายไม่ได้ ก็จะขอพระราชทานอภัยโทษ หรือไม่ก็ พลังของพี่น้องประชาชนเป็นแรงกดดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม บีบบังคับเพื่อไม่ให้ตัวเองได้รับโทษ จนทำให้ประเทศวุ่นวายกันไปหมดดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
คดีทุจริตคอร์รัปชันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับ 10 คดีที่ยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ในชั้นศาล
คดีอุ้มฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทางภาคใต้จำนวนมากรวมถึงทนายสมชาย นีละไพจิตร ยังไม่ปรากฏผู้สั่งการที่ต้องออกมารับผิดชอบ
คดีนโยบายฆ่าตัดตอนยาเสพติด 2,500 ศพ ที่มีหลักฐานแล้วว่ามีการฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ยังไม่มีคนออกมารับผิดชอบเช่นเดียวกัน
คดีการทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศจนวันนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว และบาดเจ็บจำนวนมากยังไม่มีใครรับผิดชอบเช่นกัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินอยู่เช่นเคย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง
แท้ที่จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น “คน” ที่ยังมีกิเลสตัณหาที่เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงย่อมทำผิดได้ Thaksin จึง can do wrong และเมื่อทักษิณ “ไม่มีความระวัง รู้ๆ อยู่ว่าอะไรผิดแล้วยังทำความผิดอีก” ก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ตามกฎแห่งกรรมที่ตัวเองก่อขึ้น จะทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้
ประการสำคัญที่สุดปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกกำลังยกระดับปัญหาของตัวเอง ให้กลายเป็น “ปัญหาความมั่นคงของชาติ” เพราะกำลังสั่นคลอนและท้าทายต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นตามมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550