การชุมนุมแบบปักหลักพักค้างของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ) ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องยาวนานจนเลยระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว การต่อสู้กันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของการทะเลาะกันอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นการเดิมพันความอยู่รอดและอนาคตของ ชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน
เป็นการต่อสู้ของกลุ่มประชาชน กับฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจทางการเมือง ที่ต้องมีข้างหนึ่งเป็นฝ่ายถูก และอีกข้างหนึ่งเป็นฝ่ายผิด!
ข้างพันธมิตรฯ คือกลุ่มคนที่ยืนออกมาปกป้องราชบัลลังก์มิให้ใครมาดูหมิ่นจาบจ้วงล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เคารพและยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม เรียกร้องให้ยกเลิกอภิสิทธิ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้ฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมิให้ลดพระราชอำนาจหรือโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสงบ
ในขณะที่ข้างรัฐบาล คือกลุ่มคนที่ปล่อยให้คนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีอำนาจทางการเมือง ชะลอถ่วงคดีความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ในแทบทุกคดี มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและการความพยายามติดสินบนศาล โอบอุ้มและให้อภิสิทธิ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดินผู้ไม่เคารพกติกาดูหมิ่นคำตัดสินของศาลที่กระทำการในพระปรมาภิไธย และฝ่ายรัฐบาลยังคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและลดโครงสร้างหรือพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้วิธีการรุนแรงโหดเหี้ยม เข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่างจากตัวเอง
ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรฯ เป็นเพียง “แรงกดดัน” ในการเปลี่ยนหรือหยุดยั้งพฤติกรรมที่มิชอบของฝ่ายข้าราชการและนักการเมือง หรืออาจยกระดับเป็น “เงื่อนไข” ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ
อย่างน้อยที่สุดก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ที่พันธมิตรฯ ได้หยุดยั้งนักการเมืองมิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ จนคดีความทุจริตคอร์รัปชัน และคดีทุจริตเลือกตั้งสามารถเดินหน้าต่อไปได้จนถึงทุกวันนี้
แต่พันธมิตรฯ ไม่สามารถเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยตัวเองได้!
ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลก็หน้าด้านบริหารประเทศย้ายสำนักงานและทำงานต่อไปได้ ชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาลก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน จนแขนขาขาด บาดเจ็บ และล้มตายลง ดังที่ปรากฏ และรัฐบาลก็ยังหน้าด้านทำงานต่อไปอีก
พันธมิตรฯ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ยกเว้นว่าจะจับอาวุธขึ้นสู้ฟาดฟันยึดอำนาจรัฐด้วยตัวเอง หรือสามารถชุมนุมขัดขวางการทำงานของรัฐบาลโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอาวุธคอยให้การสนับสนุนและไม่ยับยั้งการขัดขวางการทำงานของรัฐบาลนั้น ซึ่งดูจากผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยแล้ว แนวทางนี้จึงย่อมเป็นไปได้ยาก
นอกเสียจากว่ามียุทธวิธีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ข่าวสารการชุมนุมของพันธมิตรฯ หรือการจัดรายการของ ASTV กระจายไปทั่วประเทศทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันจนประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกตั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้อีกเช่นกัน
ในช่วงระยะเวลานี้ คน 3 กลุ่มต่างหาก ที่จะเป็นตัวจริงในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้โดยตรง คือ กลุ่มนักการเมือง, กลุ่มตุลาการ, และกลุ่มทหาร
1. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มนักการเมืองมีทางเลือกในการ พลิกขั้ว, ลาออก, ยุบสภาฯ ซึ่งทั้ง 3 แนวทางที่ว่านี้ เป็นการชะลอบรรยากาศความร้อนแรง ทางการเมืองเป็นการชั่วคราว แต่ถ้าการเลือกตั้งยังคงปล่อยให้มีการโกงและใช้เงินเป็นใหญ่ภายใต้ระบบที่เป็นอยู่นี้ การเมืองไทยก็จะกลับมาสู่วังวนที่เป็นวิกฤตเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมในที่สุด
2. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มตุลาการ ศาลสถิตยุติธรรม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้เหมือนกันด้วยการเร่งรัดคดีทุจริต และเร่งรัดคดีที่กระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองทั้งหลาย ตลอดจนการยุบพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามขบวนการวิ่งเต้น ติดสินบน หลบ หลีก และหนี การลงโทษทางการเมืองของระบอบทักษิณ ก็สามารถเกิดซ้ำได้อีกผ่านนักการเมืองและพรรคการเมือหุ่นเชิดดังที่ได้เคยทำกันมาแล้ว และอาจทำให้คดีที่คั่งค้างอยู่ไม่สามารถส่งถึงการพิจารณาคดีในชั้นศาลได้
และหากการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิมต่อไป แทนที่จะเกิดการเปลี่ยนอำนาจรัฐโดยตุลาการ ก็อาจจะกลับกลายเป็นการลดอำนาจตุลาการโดยกลุ่มการเมือง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ซึ่งก็ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองได้พ้นจากวิกฤตอยู่ดี
3. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับหรือไม่ก็ตาม หรือจะร่วมกับประชาชนในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐหรือไม่ก็ตาม การรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐอย่างฉับพลันและรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะทำไปเพื่อเอื้อต่อระบอบทักษิณก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาใส่เกียร์ว่างก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาเป็นเผด็จการทหารที่แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งจากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่ทำรัฐประหาร โดยอ้างว่านักธุรกิจ นักวิชาการ และชาวต่างชาติไม่ยอมรับ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย
แต่สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้ประกาศออกทางโทรทัศน์ส่งสัญญาณให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพราะสังคมไม่สามารถยอมรับรัฐบาลที่อยู่บนกองเลือดของประชาชน แล้วนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้นำเหล่าทัพและกองทัพย่อมได้รับผลเสียหายต่อเกียรติภูมิอย่างใหญ่หลวง
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเป็นประจำว่าตัวเองไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีข้อจำกัดทางกฎหมาย จึงอ้างว่าทำหน้าที่ได้เพียงแค่เป็นผู้ช่วยพนักงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และส่งคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเท่านั้น
“เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” คือคำขวัญของกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกทำได้เพียงแค่นี้เองหรือในยุคที่ได้รับงบประมาณจากภาษีของประชาชนในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มากที่สุด?
แท้ที่จริงแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มี “หน้าที่” ของทหาร ตามมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า
“รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”
ทหารจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รอการร้องขอจากตำรวจเท่านั้นได้อย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคู่กรณี ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองให้มาเข่นฆ่าประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อย่างโหดเหี้ยม?
จะให้คนไทยที่ใช้สิทธิในการชุมนุมเพื่อปกป้องราชบัลลังก์และผลประโยชน์ของชาติล้มหายตายจากอีกกี่คน จากน้ำมือของอันธพาลและตำรวจของรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จึงจะรู้สำนึกในหน้าที่พิทักษ์ความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของชาติ
กองทัพเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ ทำหน้าที่ได้เพียงแค่พูดเตือนกลุ่มที่จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดีกับแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม “นรกป่วนชาติ” (นปช.) และวิทยุชุมชนที่จาบจ้วงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นหรือ? ทั้งๆ ที่นายจักรภพ เพ็ญแข ยังคงลอยนวลต่อไปด้วยการโอบอุ้มจากตำรวจระดับสูง นายสุชาติ นาคบางไทร ก็ยังจับไม่ได้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้จัดรายการบนเวทีที่กลุ่มดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล
ยังไม่นับเว็บไซต์ที่จาบจ้วงจำนวนมากที่ทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยปราศจากการสนใจของกองทัพ อ้างแต่เพียงว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งๆ ที่การดูหมิ่นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นได้ทำกันเป็นขบวนการและให้ท้ายสนับสนุนจากคนในรัฐบาล
เอาเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ส่งเข้ามาบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาฯ ก็เห็นแล้วว่า มีการเตรียมความพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเอง ทั้งมาตรา 190, 237, 68 และ 309 อีกทั้งยังไม่รองรับสถาบันองคมนตรีที่เป็นพระราชอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์อีกด้วย พล.อ.อนุพงษ์ กลับมองเฉยๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร?
ถ้าตั้ง ส.ส.ร. 3 โดยฝ่ายรัฐบาลขึ้นมาสำเร็จ และนำร่างเหมือนที่รัฐบาลได้เตรียมเอาไว้ผ่านเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาได้สำเร็จ จนไปลดโครงสร้างและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ความผิดทั้งหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้เช่นกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อีกหรือไม่?
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เคยพูดว่า กองทัพเน้นให้กำลังพลในความเป็นทหารของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้องและธำรงไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติ
ในยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมือง และมีกระแสพระราชดำรัสว่า “บ้านเมืองใกล้ล่มจม เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าอะไรคือภัยต่อความมั่นคงของชาติจนถึงขั้นใกล้ล่มจมกันแน่!
อย่ามาพูดเลยว่ากองทัพบกไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการใดๆ เอาเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น วิทยุในเครือกองทัพบก และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันนี้นำไปทำมาหากินอิ่มหมีพลีมัน ให้สัมปทาน ให้เอกชนเช่า จำนวนเท่าไร แทนที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างจิตสำนึกแห่งความรักชาติเพื่อป้องกันภัยต่อความมั่นคงของชาติที่กำลังถาโถมเข้ามาต่อราชบัลลังก์?
กลับปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที บิดเบือนและขย่มทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมอยู่ทุกวัน
ทหารมีหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ถ้า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พิทักษ์รักษาหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไม่เป็น และทำไม่ได้ ก็สมควรพิจารณาสำรวจตัวเองได้แล้วว่ายังคงเหลือศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการทหารบก ทหารเสือพระราชินี และทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไปได้หรือไม่?
เป็นการต่อสู้ของกลุ่มประชาชน กับฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจทางการเมือง ที่ต้องมีข้างหนึ่งเป็นฝ่ายถูก และอีกข้างหนึ่งเป็นฝ่ายผิด!
ข้างพันธมิตรฯ คือกลุ่มคนที่ยืนออกมาปกป้องราชบัลลังก์มิให้ใครมาดูหมิ่นจาบจ้วงล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เคารพและยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม เรียกร้องให้ยกเลิกอภิสิทธิ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้ฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมิให้ลดพระราชอำนาจหรือโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสงบ
ในขณะที่ข้างรัฐบาล คือกลุ่มคนที่ปล่อยให้คนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีอำนาจทางการเมือง ชะลอถ่วงคดีความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ในแทบทุกคดี มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและการความพยายามติดสินบนศาล โอบอุ้มและให้อภิสิทธิ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดินผู้ไม่เคารพกติกาดูหมิ่นคำตัดสินของศาลที่กระทำการในพระปรมาภิไธย และฝ่ายรัฐบาลยังคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและลดโครงสร้างหรือพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้วิธีการรุนแรงโหดเหี้ยม เข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่างจากตัวเอง
ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรฯ เป็นเพียง “แรงกดดัน” ในการเปลี่ยนหรือหยุดยั้งพฤติกรรมที่มิชอบของฝ่ายข้าราชการและนักการเมือง หรืออาจยกระดับเป็น “เงื่อนไข” ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ
อย่างน้อยที่สุดก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ที่พันธมิตรฯ ได้หยุดยั้งนักการเมืองมิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ จนคดีความทุจริตคอร์รัปชัน และคดีทุจริตเลือกตั้งสามารถเดินหน้าต่อไปได้จนถึงทุกวันนี้
แต่พันธมิตรฯ ไม่สามารถเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยตัวเองได้!
ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลก็หน้าด้านบริหารประเทศย้ายสำนักงานและทำงานต่อไปได้ ชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาลก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน จนแขนขาขาด บาดเจ็บ และล้มตายลง ดังที่ปรากฏ และรัฐบาลก็ยังหน้าด้านทำงานต่อไปอีก
พันธมิตรฯ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ยกเว้นว่าจะจับอาวุธขึ้นสู้ฟาดฟันยึดอำนาจรัฐด้วยตัวเอง หรือสามารถชุมนุมขัดขวางการทำงานของรัฐบาลโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอาวุธคอยให้การสนับสนุนและไม่ยับยั้งการขัดขวางการทำงานของรัฐบาลนั้น ซึ่งดูจากผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยแล้ว แนวทางนี้จึงย่อมเป็นไปได้ยาก
นอกเสียจากว่ามียุทธวิธีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ข่าวสารการชุมนุมของพันธมิตรฯ หรือการจัดรายการของ ASTV กระจายไปทั่วประเทศทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันจนประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกตั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้อีกเช่นกัน
ในช่วงระยะเวลานี้ คน 3 กลุ่มต่างหาก ที่จะเป็นตัวจริงในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้โดยตรง คือ กลุ่มนักการเมือง, กลุ่มตุลาการ, และกลุ่มทหาร
1. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มนักการเมืองมีทางเลือกในการ พลิกขั้ว, ลาออก, ยุบสภาฯ ซึ่งทั้ง 3 แนวทางที่ว่านี้ เป็นการชะลอบรรยากาศความร้อนแรง ทางการเมืองเป็นการชั่วคราว แต่ถ้าการเลือกตั้งยังคงปล่อยให้มีการโกงและใช้เงินเป็นใหญ่ภายใต้ระบบที่เป็นอยู่นี้ การเมืองไทยก็จะกลับมาสู่วังวนที่เป็นวิกฤตเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมในที่สุด
2. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มตุลาการ ศาลสถิตยุติธรรม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้เหมือนกันด้วยการเร่งรัดคดีทุจริต และเร่งรัดคดีที่กระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองทั้งหลาย ตลอดจนการยุบพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามขบวนการวิ่งเต้น ติดสินบน หลบ หลีก และหนี การลงโทษทางการเมืองของระบอบทักษิณ ก็สามารถเกิดซ้ำได้อีกผ่านนักการเมืองและพรรคการเมือหุ่นเชิดดังที่ได้เคยทำกันมาแล้ว และอาจทำให้คดีที่คั่งค้างอยู่ไม่สามารถส่งถึงการพิจารณาคดีในชั้นศาลได้
และหากการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิมต่อไป แทนที่จะเกิดการเปลี่ยนอำนาจรัฐโดยตุลาการ ก็อาจจะกลับกลายเป็นการลดอำนาจตุลาการโดยกลุ่มการเมือง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ซึ่งก็ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองได้พ้นจากวิกฤตอยู่ดี
3. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับหรือไม่ก็ตาม หรือจะร่วมกับประชาชนในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐหรือไม่ก็ตาม การรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐอย่างฉับพลันและรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะทำไปเพื่อเอื้อต่อระบอบทักษิณก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาใส่เกียร์ว่างก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาเป็นเผด็จการทหารที่แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งจากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่ทำรัฐประหาร โดยอ้างว่านักธุรกิจ นักวิชาการ และชาวต่างชาติไม่ยอมรับ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย
แต่สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้ประกาศออกทางโทรทัศน์ส่งสัญญาณให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพราะสังคมไม่สามารถยอมรับรัฐบาลที่อยู่บนกองเลือดของประชาชน แล้วนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้นำเหล่าทัพและกองทัพย่อมได้รับผลเสียหายต่อเกียรติภูมิอย่างใหญ่หลวง
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเป็นประจำว่าตัวเองไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีข้อจำกัดทางกฎหมาย จึงอ้างว่าทำหน้าที่ได้เพียงแค่เป็นผู้ช่วยพนักงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และส่งคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเท่านั้น
“เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” คือคำขวัญของกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกทำได้เพียงแค่นี้เองหรือในยุคที่ได้รับงบประมาณจากภาษีของประชาชนในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มากที่สุด?
แท้ที่จริงแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มี “หน้าที่” ของทหาร ตามมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า
“รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”
ทหารจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รอการร้องขอจากตำรวจเท่านั้นได้อย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคู่กรณี ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองให้มาเข่นฆ่าประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อย่างโหดเหี้ยม?
จะให้คนไทยที่ใช้สิทธิในการชุมนุมเพื่อปกป้องราชบัลลังก์และผลประโยชน์ของชาติล้มหายตายจากอีกกี่คน จากน้ำมือของอันธพาลและตำรวจของรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จึงจะรู้สำนึกในหน้าที่พิทักษ์ความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของชาติ
กองทัพเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ ทำหน้าที่ได้เพียงแค่พูดเตือนกลุ่มที่จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดีกับแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม “นรกป่วนชาติ” (นปช.) และวิทยุชุมชนที่จาบจ้วงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นหรือ? ทั้งๆ ที่นายจักรภพ เพ็ญแข ยังคงลอยนวลต่อไปด้วยการโอบอุ้มจากตำรวจระดับสูง นายสุชาติ นาคบางไทร ก็ยังจับไม่ได้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้จัดรายการบนเวทีที่กลุ่มดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล
ยังไม่นับเว็บไซต์ที่จาบจ้วงจำนวนมากที่ทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยปราศจากการสนใจของกองทัพ อ้างแต่เพียงว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งๆ ที่การดูหมิ่นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นได้ทำกันเป็นขบวนการและให้ท้ายสนับสนุนจากคนในรัฐบาล
เอาเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ส่งเข้ามาบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาฯ ก็เห็นแล้วว่า มีการเตรียมความพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเอง ทั้งมาตรา 190, 237, 68 และ 309 อีกทั้งยังไม่รองรับสถาบันองคมนตรีที่เป็นพระราชอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์อีกด้วย พล.อ.อนุพงษ์ กลับมองเฉยๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร?
ถ้าตั้ง ส.ส.ร. 3 โดยฝ่ายรัฐบาลขึ้นมาสำเร็จ และนำร่างเหมือนที่รัฐบาลได้เตรียมเอาไว้ผ่านเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาได้สำเร็จ จนไปลดโครงสร้างและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ความผิดทั้งหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้เช่นกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อีกหรือไม่?
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เคยพูดว่า กองทัพเน้นให้กำลังพลในความเป็นทหารของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้องและธำรงไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติ
ในยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมือง และมีกระแสพระราชดำรัสว่า “บ้านเมืองใกล้ล่มจม เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าอะไรคือภัยต่อความมั่นคงของชาติจนถึงขั้นใกล้ล่มจมกันแน่!
อย่ามาพูดเลยว่ากองทัพบกไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการใดๆ เอาเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น วิทยุในเครือกองทัพบก และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันนี้นำไปทำมาหากินอิ่มหมีพลีมัน ให้สัมปทาน ให้เอกชนเช่า จำนวนเท่าไร แทนที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างจิตสำนึกแห่งความรักชาติเพื่อป้องกันภัยต่อความมั่นคงของชาติที่กำลังถาโถมเข้ามาต่อราชบัลลังก์?
กลับปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที บิดเบือนและขย่มทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมอยู่ทุกวัน
ทหารมีหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ถ้า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พิทักษ์รักษาหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไม่เป็น และทำไม่ได้ ก็สมควรพิจารณาสำรวจตัวเองได้แล้วว่ายังคงเหลือศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการทหารบก ทหารเสือพระราชินี และทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไปได้หรือไม่?