“พิภพ” ชี้ “สมชาย” ไม่มีสิทธิตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ ที่ตัวเองเป็นฆาตรกร ย้ำต้องลาออกเท่านั้น เผย “อนุพงษ์” ถูกมือตบโห่ไล่ เพราะ ปชช.ไม่พอใจที่ทหารอยู่เฉย ยันไม่ต้องการให้ปฏิวัติ แต่ต้องปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกฆ่า พร้อมกล้าแฉตำรวจที่โกหกเรื่องอาวุธ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วานนี้ (13 ต.ค.) เวลาประมาณ 21.45 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้เราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ “น้องโบว์-อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ” ที่สำคัญ ทรงเสด็จฯ ขึ้นเมรุเพื่อปลงศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นที่ปลื้มปีติของพี่น้องพันธมิตรฯ เป็นอย่างมากมาก และได้ส่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เป็นระยะด้วย ซึ่งน้องโบว์เป็นคนใสสะอาด เป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ถูกยิงหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าอย่างชัดเแจ้ง ถึงแม้ตำรวจจะแถลงแก้ตัวก็ตาม
โดยตอนนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแล้วนอกจากลาออก ถึงตอนนี้มีคนถามว่านายกฯ มีสิทธิตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้ไหม ซึ่งคนที่เป็นฆาตรกรไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดของตัวเอง ถึงแม้จะพยายามหาคนซื่อสัตย์ตั้งใจทำงานก็ตาม แต่ประเด็นนี้ นายกฯ ที่ต้องรับผิดชอบไม่มีสิทธิตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบความผิดของตัวเอง นอกจากลาออกอย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีหนทางที่จะดำเนินการกับนายกฯ คนนี้ ด้วยการเข้าชื่อไปยังคณะศาลฎีกาองค์คณะใหญ่ เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะถูกตั้งโดยคณะศาลฎีกา ด้วยการให้ผู้เสียหายเข้าชื่อร้ององค์คณะศาลฎีกา นอกจากนั้น เราสามารถฟ้องร้องศาลอาญา ศาลแพ่ง ที่เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งตอนนี้สภาทนายความกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องต่อไป เพราะเราจะเอาผิดคนสั่งการ ไม่ว่าคนที่อยู่ลอนดอน และชี้ชัดว่าผู้สั่งการตัวจริง คือ คนที่ลอนดอนหรือไม่ นอกจากนั้น วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร สามารถตั้งกรรมาธิการสอบสวนได้ รวมถึงการส่งฟ้อง ป.ป.ช.เพื่อหยุดอำนาจการใช้กำลังของรัฐบาลนี้ทำได้ ซึ่งตอนนี้มีหลายช่องทางที่ทำได้
นายพิพภ กล่าวถึงกรณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถุกประชาชนใช้มือตบขับไล่ที่วัดศรีประวัติว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านมาอยู่ในฝูงชนที่ต่อสู้การทุจริต คอร์รัปชัน และเพื่อความถูกต้องของบ้านเมือง ซึ่งความรู้สึกของประชาชนต่อตัวท่านในวันนี้ ไม่ได้มาจากการอภิปรายและพูดบนเวที เพราะพี่น้องไม่ได้คล้อยตามคนที่พูดบนเวที แต่ที่แสดงออกว่าไม่ชอบ เพราะประชาชนไม่ชอบที่ท่านปรากฏตัวต่อที่สาธารณะ หลังเหตุกาณ์วันที่ 7 ตุลาคม ว่าท่านมีความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง
“เวลาที่เกิดเรื่องในประเทศ คนอยากพึ่งทหาร หรือมาแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาแม้จะออกมาทำรัฐประหาร แต่บางส่วนคอร์รัปชั่นเอง ดังนั้น ความรู้สึกที่ต้องการให้ทหารแก้ปัญหา จึงผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะทหารก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้หลังตัวเองมีอำนาจ กลับปล่อยให้นักการเมืองยังลอยหน้าลอยตา มีอำนาจเหมือนเดิม ซึ่งคนเหล่านี้ไม่แคร์ทหาร มองว่า ทหารเป็นคนธรรมดาใช้เงินซื้อได้เท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า วันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ จะออกมาพูดว่าทหารไม่ทำรัฐประหารเพราะแก้ไขปัญหาไม่ได้นั้นก็จริงอยู่ แต่กระนั้นก็ตาม กองกำลังในสังคมมี 2 กำลัง คือ กองกำลังทหาร กับตำรวจ ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาตำรวจฆ่าฟันประชาชน ตำรวจที่ พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สร้างอาณาจักรขึ้นมา คนก็หวังว่า ถูกรังแกแล้วทหารจะลุกขึ้นมาช่วย แต่วันนี้ประชาชนที่ถูกยิงหน้ารัฐสภา จะให้เขามองทหารอย่างไร เขาไม่ต้องการให้รัฐประหาร แต่ต้องการให้ออกมาขวางไม่ให้ตำรวจฆ่าประชาน กลับแต่นิ่งเฉย ถามว่าการกระทำแค่นี้ ทำไมทำไม่ได้ อย่าอ้างว่าต้องทำในขอบเขตกฏหมายเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ทันทีที่มีการยิงกัน ถ้าไม่กล้าเอาทหารออกมา ท่านก็สามารถออกมาพูดทางทีวีก็ได้ โดยรวมพลกัน 3 เหล่าทัพ ว่าไม่เห็นด้วยที่สั่งฆ่าประชาชน แค่นี้รัฐบาลก็ถอยแล้ว และนี่คือ 2 เรื่องที่ประชาชนอยากให้ท่านทำในวันที่ 7 ตุลาคม ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวตฆ่าประชาชนตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น
ดังนั้น ความรู้สึกของประชาชนวันนี้ไม่ได้บอกว่าประชาชนไม่รักท่าน แต่ประชาชนทนไม่ได้ ที่ท่านปล่อยให้ประชาชนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา ที่พูดแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา กองทัพได้แสดงตลอดว่า กองทัพจะอยู่ข้างประชาชน แต่ท่านต้องทำให้จับต้องได้ว่า จะอยู่ข้างประชาชนแบบไหน ดังนั้น ไม่ต้องตกใจ หรือเกลียดประชาชนกับสิ่งที่แสดงออกวันนี้ ถ้าท่านซึมซับอารมณ์ความรู้สึกของเขาที่เห็นพี่น้องถูกยิงขาขาด แล้วทหารไม่ทำอะไร เขาก็ต้องแสดงออกว่าไม่สนับสนุนท่านและหมดความรักท่านไปในที่สุด
นายพิภพ กล่าวว่า นอกจากนั้น มีหลายเรื่องที่กองทัพทำได้ โดยเฉพาะเรื่องอาวุธ ที่รู้ดีว่าอาวุธเป็นอะไร สามารถตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้ ว่าตำรวจไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตาที่ไม่มีสารระเบิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเชี่ยวชาญ แต่ทำไมไม่ออกมาตอกหน้าว่าตำรวจพูดเท็จ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย และท่านต้องไม่กลัวรัฐบาล ถ้าพร้อมอยู่กับประชาชนแล้ว ประชาชนก็พร้อมอยู่กับท่าน ถามแค่คำเดียวเท่านั้นว่า ท่านพร้อมอยู่ข้างประชาชน และอยู่ข้างฝ่ายถูกต้อง หรือฝ่ายธรรมมะหรือไม่ ท่านรู้ว่า ทักษิณ โกงบ้านเมืองอย่างไร ภรรยาเองก็ถูกตัดสินผิดไปแล้ว ท่านเองก็ตั้ง คตส. ขึ้นมาตรวจสอบเอง แล้วจะไม่เชื่อหรือ
“เมื่อท่านรับความรู้สึกประชาชนแล้ว ว่ารู้สึกอย่างไร ถ้าท่านไม่รู้รายงานจากลูกน้องที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในทำเนียบว่าเป็นอย่างไง ท่านก็ปลอมตัวมาอยู่กับเรา แล้วจะรู้ว่าเราต้องการต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จริงๆ เราสละทั้งครอบครัว เงินทอง ผลัดกันมา ซึ่งมาแล้วไม่ต้องห่วง มาแล้วได้เพื่อนใหม่ เพื่อนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน พร้อมจะสละชีวิต เอาตัวบัง เพื่อนไม่ให้โดนแก๊สน้ำตา ซึ่งหาได้ที่พันธมิตรฯ เท่านั้น”
นายพิภพ กล่าวว่า หลังจากผมพูดเรื่องมโนธรรมสำนึก ความกล้าหาญทางจริยธรรม ก็มีการพูดถึงในหมู่ทหาร และถามกลับมาว่าให้บอกชัดๆ ว่าจะให้ทหารทำอะไร ซึ่งถ้าผมจะอธิบายว่าควรจะทำอะไร อย่ามาอ้างว่าไม่มีกฏหมายรองรับแล้วกัน ซึ่งเรื่องนี้ มโนธรรมสำนึกต้องเกิดก่อน ว่าความถูกต้องของสังคมอยู่ที่ไหน นั่นคือ คิดได้ว่าอะไรถูกผิด ซึ่งไปดูแค่กฏหมายไม่ได้ ต้องใช้หลักทางศีลธรรม และธรรมะเป็นตัวตัดสินด้วย เพราะธรรมะเกิดมาก่อนกฏหมาย เมื่อเราได้ธรรมะเป็นตัวตัดสินแล้ว ท่านผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ ก็จะเกิดมโนธรรมสำนึกว่า อะไรถูกผิด ไม่ใช่ว่าตำรวจไม่ขอ ก็ไม่สามารถออกมาทำอะไรได้ ต้องไตร่ตรอง และเมื่อมีมโนธรรมแล้ว ต้องมีความกล้าที่จะแสดงออก โดยไม่ต้องอ้างกฏหมาย ท่านไม่ต้องกลัวว่า ถ้าออกมาว่ารัฐบาลผิดแล้วท่านกลัวถูกย้าย แต่การที่ประชาชนโกรธท่าน เพราะท่านออกมาช้า เพราะประชาชนได้ตายไปแล้ว พิการไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อมีมโนธรรมแล้ว ต้องกล้าหาญทางจริยธรรม ออกมาโดยไม่กลัวว่าตำแหน่งจะหลุด ถามว่า ถ้าถูกย้ายเพื่อปกป้องประชาชนแล้ว สุดท้ายประชาชนจะออกมาปกป้องท่านเอง แล้วคิดหรือว่า รัฐบาลจะปกป้องท่าน เพราะรัฐบาลชั่วๆ หรือจะปกป้องทหารดี ๆ ขณะเดียวกัน ท่านไม่ทำเพื่อประชาชน สุดท้ายท่านก็จะสูญเสียประชาชนไปด้วย
“ถึงตอนนี้เราพูดตลอดว่าเราต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม นำการเมืองเก่าไปสู่การเมืองใหม่ ถ้าเพียงเปลี่ยนขั้วยุบสถา การเมืองเก่าก็ยังอยู่ ดังนั้น วันนี้มาช่วยกันคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคม ปฏิวัติสังคมโดยไม่ใช่รูปแบบเก่าด้วยการรัฐประหาร แล้วช่วยกันคิด เราคิดแล้วว่าการเมืองใหม่เป็นอย่างไร แต่เราต้องการพลังทุกส่วนของสังคม พลังส่วนดีของกองทัพ ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ข้าราชการ และประชาชนที่ตื่นแล้วกว่าครึ่งประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสดี ที่ประชานตื่นตัวถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้น ท่านอย่ารีรอ มาร่วมกับประชานเพื่อขจัดการเมืองเก่าแล้วท่านจะได้รับความรู้สึกใหม่กับประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่แสดงออกวันนี้” แกนนำกล่าว