“พิภพ” แฉเบื้องลึก “ชัย ชิดชอบ” ดื้อดึงประชุมสภาแถลงนโยบาย “รบ.โจร” ทั้งๆ ที่ “พันธมิตรฯ” รวมตัวกดดันอยู่หน้าปากประตูทางเข้า พร้อมจี้ “อนุพงษ์” แก้ภาพพจน์ทหาร โดยการเร่งพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ปกปิดความผิดให้กับ “ทักษิณ” ปูดซ้ำ “วีรชน” ที่กำลังนอนป่วยอยู่ตามโรงพยาบาล ถูก “อำนาจมืด” คุกคาม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วานนี้ (10 ต.ค.) เมื่อเวลา 22.00 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนยืนยันได้เลยว่า ตำรวจมีส่วนกระทำโดยมีการสร้างหลักฐานเท็จ โดยเช้ามืดของวันที่ 8 ต.ค. ตำรวจทำลายหลักฐานโดยการเอาน้ำ และสีมาฉีดลบรอยเลือด และรอยสะเก็ดระเบิด แล้วจะให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ไปพิสูจน์อะไรอีก เพราะในความเป็นจริง หากเกิดเหตุการณ์รุนแรง ก็จะต้องมีการปิดพื้นที่เพื่อรอการพิสูจน์หลักฐาน แต่ตำรวจกลับทำลายหลักฐานการวิสามัญฆาตกรรมเสียเอง
“มีเด็กคนหนึ่งเขียนจดหมายมาให้กำลังใจพันธมิตรฯ พร้อมทั้งเขียนประโยคหนึ่งว่า หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย นั่นเป็นเพราะภาพพจน์ของทหารเสียหาย เนื่องจากไม่ยอมช่วยประชาชนในยามมีภัย ฉะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะต้องไตร่ตรองว่า ประชาชนที่รุมว่าท่านนั้น เป็นจริงหรือไม่ และท่านจะต้องพิสูจน์ความจริงให้ได้ว่าเป็นคนปกป้องความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ อีกทั้งจะต้องบอกกับประชาชนว่า ตำรวจใช้อาวุธที่มีความรุนแรงขนาดไหน โดยเฉพาะอาวุธที่ยิงแล้วเกิดประกายไฟ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรง เนื่องมีประสิทธิภาพทำอันตรายกับอวัยวะของผู้ที่ถูกยิง ส่วนคนอย่างกัปตันการบินไทยนั้นแน่จริง เพราะเขาไม่ยอมให้ 3 ส.ส.พรรคพลังประชาชนขึ้นเครื่องบิน” นายพิภพ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ผู้กล้าของเราอยู่ที่เรือนจำคลองเปรมอีก 4 คน โดยเราจะปิดบัญชีเพื่อช่วยเหลือผู้กล้าของเรา ซึ่งเราจ่ายให้กับผู้กล้า 84 คน ทั้งสิ้นประมาณ ล้านกว่าบาท และจะนำไปแสดงในเวปไซต์ผู้จัดการ สำหรับผู้บาดเจ็บสาหัสตามโรงพยาบาลนั้น ขณะนี้ผู้กล้าเหล่านั้นกำลังถูกคุกคามโดยที่เรานึกไม่ถึง โดยเริ่มจากตำรวจที่จะไปสอบสวน เสมือนกับคนบาดเจ็บเป็นผู้ต้องหา โดยในวันเกิดเหตุมีตำรวจเข้าไปสอบสวนผู้บาดเจ็บ เหมือนจะบอกว่า อยู่ดีๆ แล้วเอาตัวเองไปรับกระสุนทำไม ดังนั้นขอให้ผู้กล้าทั้งหมดที่อยู่ตามโรงพยาบาล ไม่ต้องให้ปากคำกับตำรวจ เพราะเราไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่เราเป็นโจทก์ และเตรียมที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
“มีรายงานข่าวแจ้งมาว่า หมอทศพร ซึ่งเป็นนักการเมืองไทยรักไทย ได้เข้าไปจับแขนคนไข้ซึ่งนอนอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วทำการบีบแขนอย่างแรง ซึ่งเรามีพยานเห็นเหตุการณ์ การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการทำคนไข้ให้หวาดกลัว ฉะนั้นขอให้ญาติของคนไข้ช่วยตรวจดูเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้งขณะนี้เราได้ติดต่อไปยังโรงพยาบาลรามา เพื่อย้ายคนป่วยให้ออกมาจากโรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ยังมีคนมาข่มขู่โดยการไปเตะเตียงผู้ป่วย และยังมีคนที่ทำท่าทางเข้าไปเยี่ยม แล้วไปขอเสื้อผ้าของผู้ป่วยที่ใส่ในวันเกิดเหตุ เพราะเขาจะเอาไปทำลายหลักฐาน ฉะนั้นขอให้คนป่วยนำเสื้อผ้ามาให้ที่กองทัพธรรม เพื่อที่เราจะได้เอามาเก็บไว้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง” แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ตนไม่อยากให้สังคมไทยเข้าสู่จุดของความรุนแรงเหมือนกับ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ โดยมีสาเหตุมาจากพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนคนที่ร่วมชุมนุมจะรู้สึกไม่ดี หากไม่นำตัวตำรวจที่ใช้ความรุนแรงมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงของ 3 จ.ชายแดนภาคใต้นั้น มีการจับมุสลิม ไปสอบสวน แล้วสุดท้ายก็ปล่อยตัว ท้ายที่สุดคือ หากมีการจับเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดเข้าคุกสัก 1 คน เชื่อว่าสถานการณ์ใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ ก็จะสงบลง
ส่วนกรณีตำรวจใช้อาวุธยิงประชาชนนั้น นายพิภพ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ ฉะนั้นประชาชนจึงใช้วิธีรุนแรงเป็นการตอบโต้ โดยจะเห็นได้จากกรณีที่มีการไล่ทำร้ายประชาชนที่ จ.อุดร แต่ตำรวจไม่สามารถจับใครมาลงโทษได้ สุดท้ายประชาชนก็จะหมดความอดทน และเมื่อนั้น บ้านเมืองก็จะเต็มไปด้วยความรุนแรง ดังนั้นตนจึงอยากให้ประชาชนออกมาแก้ปัญหา เพื่อลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่สำคัญเรามีหลักฐานเป็นวีดีโอ ฉะนั้นรัฐบาลจะต้องตัดสินใจให้ตำรวจที่ลงมือทำร้ายประชาชนออกจากตำแหน่งทันที เพื่อให้เกิดการสอบสวน ซึ่งถือเป็นระเบียบปกติของทางราชการ
“ความรุนแรงเกิดจาก ส.ส.ออกมาแถลงข่าวว่า จะมีการแถลงนโยบาย ทั้งนี้มีการคัดค้านให้มีการย้ายสถานที่แถลงนโยบาย แต่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ยินยันว่าจะต้องไปประชุมสภาที่รัฐสภาให้ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพันธมิตรฯ ไปชุมนุมกดดันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ประกอบกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เดินเข้าไปประชุมสภาอย่างสบายใจ ทั้งๆ ที่เขารู้ข่าวว่ามีประชาชนเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก จึงน่าที่จะยับยั้งการแถลงนโยบาย ฉะนั้นคนที่สนับสนุนให้เกิดการฆ่าประชาชนที่หน้ารัฐสภาก็คือ นายกฯ นายชัย ส.ส.พรรคพลังประชาชน และ ส.ว. ซึ่งต่างสนับสนุนให้ตำรวจเป็นฆาตกร” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ขณะนี้นักการเมืองพวกนั้น ขอให้ปิดชื่อคนที่เข้าประชุม เพราะกลัวว่าจะถูกประชาชนต่อต้าน นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการบางคน กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ และรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในวันดังกล่าว จึงขอถามกลับไปว่า พันธมิตรฯ ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะเราไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภา แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างใน รวมทั้งพวกเรานั่งลงขณะที่เผชิญหน้ากับตำรวจ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าตำรวจมีปืนยิงแก๊สน้ำตา รวมทั้งระเบิดถาม แล้วอย่างนี้ถามว่า พันธมิตรฯ ผิดหรือไม่
“ขอถามคุณเสถียร จันทิมาธร คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์มติชนว่า ประชาชนอย่างเราผิดหรือไม่ แล้วคนที่ยิงเรานั้นไม่มีความผิดหรืออย่างไร เราไม่เคยคิดว่าจะเจอการปราบปรามอย่างนี้ เราจึงไม่ได้เตรียมน้ำไปเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกครั้งที่เราเผชิญหน้ากับตำรวจ ถ้าตำรวจไม่ยอม เราก็นั่ง แต่ถ้าตำรวจยอม เราก็จะคืบหน้าไปเรื่อยๆ อีกทั้งตำรวจไม่ได้เจรจากับเรา แต่เขาต้องการเพียงพื้นที่เข้าสภาเพียง 12-20 เมตร” แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า ดังนั้นอย่าคิดว่าการประชุมรัฐสภา สำคัญกว่าการเสียชีวิตของประชาชน แล้ว ส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ขับรถหน้าระรื่นเข้าไปในสภาได้อย่างไร ส่วนพันธมิตรฯ ที่ไล่ทำร้ายตำรวจนั้น เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ฉะนั้นขอให้อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับความสูญเสียของพันธมิตรฯ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นต้องสืบให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการให้เกิดความรุนแรงโดยผ่านทางนายเนวิน และนายชัย เพื่อทำให้เกิดความวุ่นวายจนนำไปสู่การขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอังกฤษหรือไม่
“ถึงแม้จะถูกข่มขู่ว่า จะมีตำรวจถอดเครื่องแบบแล้วไปเป็น นปก. เพื่อเข้ามาสลายการชุมนุม แต่เราไม่กลัว เพราะเราสู้บนความถูกต้อง เนื่องจากนักการเมืองที่ซื้อสิทธิ์ขายเสียงแล้วข้ามาเป็น ส.ส.นั้น จะแปลเปลี่ยนไปเป็นทรราช และถ้ามีหลักฐานชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะกลายเป็นผู้ชักใยฆาตกรทันที ส่วนผู้บัญชาการทหารอากาศ ยืนยันว่าจะปกป้องชาติบ้านเมือง และประชาชน ฉะนั้นถ้าท่านยังนิ่งเฉยอยู่ ท่านจะไม่สามรถรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาไว้ได้เลย ที่สำคัญ คือ เราจะต้องไล่นักการเมืองเก่าออกไป แล้วสร้างการเมืองใหม่ให้จงได้” นายพิภพ กล่าว