xs
xsm
sm
md
lg

7 ตุลา 51 เลือด น้ำตา ประชาชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การจับกุม ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 1 ใน 9 ผู้ต้องหากบฏ และตามด้วยการจับกุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรขณะเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำให้สถานการณ์การเมืองเขม็งเกรียวหนักทันที

ค่ำคืนวันที่ 6 ตุลาคม แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 จึงได้เคลื่อนมวลชนเข้าปิดล้อมรัฐสภาและปักหลักพักค้างตลอดคืน เพื่อไม่ให้มีการประชุมสภาแถลงนโยบายของรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นรุ่งเช้าของวันอังคารที่ 7 ตุลาคม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้สมาชิกสภาเข้าสู่สภา ด้วยการยิงแก๊สน้ำตานับสิบลูกเข้าใส่ผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนขาข้างซ้ายขาด ซึ่งแพทย์ระบุว่าแก๊สน้ำตาไม่สามารถทำให้ขาขาดได้ ส่วนสาเหตุยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นก็ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ตึงเครียดหนักขึ้นไปอีก ส่งผลให้พันธมิตรฯ จำนวนมากตามมาสมทบมากขึ้นและปิดล้อมรัฐสภาทุกด้าน


1
“เมื่อคืนผมเคลื่อนมากับเขาด้วย เมื่อเช้าก็นอนกันอยู่ นอนบนถนนอย่างนี้แหละ พอตำรวจเข้าสลายผมเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตอนนั้นเสียงก็ดังใช้ได้อยู่ (หัวเราะ) ผมก็หมอบ ก็วิ่ง หนีออกมา ผมก็โดนเหมือนกัน แต่ไม่มีวิ่งชน วิ่งเหยียบ โดนตาบ้าง เอาน้ำล้าง ตอนที่ยิงแก๊ซน้ำตามา มันยิงใส่ประชาชนเลยแหละ”

ไชย เตียงน้อย เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต เล่าสถานการณ์ในตอนเช้าวันที่ 7 ที่มีการสลายการชุมนุม เขายังเล่าด้วยว่าได้สั่งให้พนักงานที่โรงแรมครึ่งหนึ่งขึ้นเครื่องบินเดินทางมาร่วมชุมนุมด้วย โดยเขาจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ นอกจากนั้น เขายังระบายออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่นว่า

“ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะรัฐบาลมันเลว ผมเที่ยวมา 42 ประเทศ ใช้เงินไป 4 ล้านกว่าบาท ผมรู้เลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยที่สุดในโลก แต่ถ้านักการเมืองไม่เลว อีก 5 ปีข้างหน้า จะไม่มีคนจนแม้แต่คนเดียว ผมไปเที่ยวยุโรป กินข้าวกิโล 8 บาท แต่ทำไมผมต้องซื้อข้าวที่นี่กิโล 40 บาท มันบ้าหรือไง รัฐบาลมันบ้าหรือไง ทำไมคนมันต่างกัน คุณมีเงินแสน ผมมีเงินหมื่น โอเคอยู่กันได้ แต่ถ้าคุณมีเงินเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน ผมไม่มีสักกะบาทล่ะ อยู่ได้มั้ย”

ขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งหัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ ที่ดูแลอยู่บริเวณแยกอู่ทองใน เล่าเหตุการณ์จากแนวหน้าให้ฟังว่า

“ตอนที่มีการสลายการชุมนุมชุดแรกที่บาดเจ็บก็มีทหารมาช่วยพยาบาล นำคนเจ็บออกไป ตอนนั้นเป็นลักษณะเหมือนยิงแก๊ซน้ำตาเข้ามาในฝูงชน แต่ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะตอนนั้นมวลชนเยอะ ควบคุมสถานการณ์ลำบาก เราก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่มีการบันทึกภาพไว้ ความจริงต้องเป็นความจริง เดี๋ยวก็รู้”

อุบลวรรณ บุญโยประการ อายุ 46 ปี พันธมิตรฯ จากจันทบุรี ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ขา เล่าวินาทีเอาชีวิตรอดว่า

“พวกเราก็นั่งอยู่ข้างนอกรั้วเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้บุกรุกหรือเข้าไปทำการปะทะกับตำรวจแต่อย่างใด เรามีขอบเขตของเราที่ชัดเจน ในใจก็คิดว่าเวลาตอนนั้นมันสว่างแล้วตำรวจคงไม่กล้าทำอะไรประชาชน แต่อยู่ดีๆ ตำรวจก็ยิงแก๊สน้ำตาใส่พวกเรา อาการแรกเมื่อโดนตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่รู้สึกแสบตามากจนน้ำตาไหล วินาทีนั้นทรมานมาก ทุกคนพยายามจะวิ่งหนีให้พ้นจากบริเวณ เวลานั้นก็มีเสียงก็ดังตู้มๆๆๆ ไล่หลังเรามาเลย ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นระเบิด อันไหลเป็นแก๊สน้ำตา

“ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้แล้ว ต้องวิ่งหนีอย่างเดียว ขณะที่กำลังวิ่งเราก็ล้มลง ตอนนั้นก็รู้ตัวว่าเราได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนที่ขาเยอะขนาดนี้ พอวิ่งต่อมาอีกสักพักรองเท้าลื่นหลุดเลย ก้มลงมองไปที่ขาของตัวเอง พอเห็นเลือดที่ขาเท่านั้นแหละเลยรู้สึกเจ็บมาก ตอนนั้นก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่แก๊สน้ำตาธรรมดาๆ แน่นอน เพราะที่ขามีแต่รอยสะเก็ดระเบิดทั้งนั้นเลย เวลานั้นถึงจะรู้สึกเจ็บขาขนาดไหนก็ยังต้องวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด พอออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นได้ก็จึงมีคนมาหามเราไปส่งเต็นท์พยาบาล”

อุบลวรรณให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตา ซึ่งขณะนี้เธอได้รับการทำแผลเรียบร้อยและอาการปลอดภัยดี


“อยากฝากไปถึงรัฐบาลชุดนี้ว่า ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกยังไง ไม่สมควรจะอยู่แล้ว สั่งให้ตำรวจมาทำร้ายประชาชนคนไทยได้ยังไง จะมาซ้ำรอย 6 ตุลาฯ หรือไง? พวก นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ก็อยู่ด้านหลังตำรวจเต็มไปหมดร่วมกันทำร้ายพันธมิตร”

2
จากภาพเหตุการณ์ที่บันทึกได้ พบว่ามีชายคนหนึ่งใส่แจ็กแก็ตสีดำ ถือวัตถุบางอย่างในมือเดินมาพร้อมแนวของเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจล ภาพที่ช่างภาพบันทึกไว้ปรากฏชัดว่าชายคนนั้นขว้างวัตถุดังกล่าวเข้าใส่ผู้ชุมนุม

ทั้งหมดนี้ ผลักดันให้ผู้คนต้องออกจากบ้านสู่ท้องถนน


วิมล เจวรัมย์ วัย 58 ปี พอทราบข่าวก็รีบออกจากบ้านแถวดินแดงมุ่งตรงมาที่รัฐสภาทันที เธอบอกว่าพอเห็นข่าวแล้วใจก็พุ่งมาทันที ไม่รีรอที่จะมาอยู่ร่วมกับประชาชนคนอื่นและคอยให้กำลังใจกันและกัน

“มาเมื่อเช้า พอฟังข่าวว่าที่รัฐสภาถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาก็เลยรีบมา ตอนมาถึงประมาณ 7 โมงครึ่ง รถติดน่าดูเลย แท็กซี่ก็ไม่ยอมมา เรียกจนกระทั่งมีคันที่ยอมมา เราก็ไม่ได้คิดอะไร ลูกหลานไม่เข้าใจเราก็นิ่งๆ เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ป้าจะอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องมาก็สบายดี เสียทั้งค่ารถมา แล้วยังต้องมานั่งให้แท็กซี่ไม่เข้าใจเรา แต่พอเห็นพี่น้องเราจะต้องแขนขาด ขาขาด เราก็รู้สึกว่าทำไมถึงต้องทำการขนาดนี้ ถ้าแค่ยิงแก๊ซน้ำตาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ป้าก็คงไม่มา ก็คิดว่าต้องมาให้กำลังใจกัน”

วิมลไม่เข้าใจว่าเป็นคนไทยด้วยกันทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้

อารมณ์ความรู้สึกของ วรรัตน์ ไวยศาลา และ พิสมัย สอนจังหรีด ดูจะไม่ต่างจากวิมลมากนัก ทั้งสองคนเมื่อทราบข่าวว่าเกิดการสลายการชุมนุมก็รีบเดินทางไปยังรัฐสภาทันที และครั้งนี้พวกเธอบอกว่าคงต้องอยู่กันยาว

“คิดว่าคงจะอยู่ยาวแล้วล่ะ เพราะค่ำๆ อาจจะมีคนมาสมทบอีก มันก็น่าจะมีเหตุรุนแรงอีกนะ แต่เราก็คงถอยไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมันก็จะถอยกลับไปอยู่ในระบบเก่า”

3
ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่จับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ก็มีอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น

อ้อย นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กล่าวว่า

“หนูไม่ได้เห็นตอนที่เขายิงแก๊สน้ำตาค่ะ แต่ตอนหนูเดินมาเรียนก็เห็นคนเยอะมาก และมันเหมือนจะมีแก๊สน้ำตาเหลืออยู่ เพราะมันแสบตามาก ทางที่มีผู้มาชุมนุมหนูเดินไปเรียนไม่ได้ แต่หนูเดินไปทางอื่นก็ได้ การมาชุมนุมเป็นสิทธิของคนทุกคน ก็แล้วแต่ ส่วนตัวหนูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วแต่ผู้มาชุมนุมเขา ส่วนผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บและโดนแก๊สน้ำตาหนูก็รู้สึกเห็นใจจริงๆ”

ส่วน ชัชวาล วรกาญจนสมบัติ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัย ซึ่งเดินทางมาที่รัฐสภาเพื่อรับน้องชายก็เห็นว่าน่าจะใช้วิธีการพูดคุยกันมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรงแบบนี้

“ผมมารอรับน้องชายครับ น้องมันมาทำงานในรัฐสภา ผมมาไม่ทันเห็นเหตุการณ์ครับ ผมมาถึงก็สิบโมงแล้ว ผมเดินผ่านมันยังมีแก๊สน้ำตาฟุ้งอยู่เลย แสบตา น้องผมมาทำงานเป็นลูกจ้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ โดยหลักมันควรจะพูดคุยกัน แล้วก็อย่าใช้ความรุนแรง แล้วก็ควรจะอยู่ในกรอบกติกา เพราะการใช้ความรุนแรงมันไม่ได้ทำให้สันติสุขเกิดขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวก็ต้องอยู่ในกรอบกติกาของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ในที่ตั้งของตัวเอง แล้วก็ใช้วิธีการทางกฎหมายอะไรก็ว่ากันไป ผมก็อยากฝากไปถึงทั้งสองฝ่าย ทุกคนก็อยากให้สงบ สันติ อหิงสา เหมือนที่ท่านจำลองว่า”

แต่สำหรับ ลุงปรีชา คนเก็บขวดพลาสติกขายที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ พูดทั้งน้ำตากับเหตุการณ์ที่ต้องเห็นคนไทยเข่นฆ่าห้ำหั่นกันเองแบบนี้

“ผมอยู่ตั้งแต่ที่มัฆวาน ผมมาค้างที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันรุนแรงมาก ผมเห็นมีคนล้มลง บาดเจ็บ ช่วยกันเอาส่งโรงพยาบาล ผมเห็นคนเจ็บหลายคน รถพยาบาลก็วิ่งมา ผมว่ามันน่ากลัวมาก ผมรู้สึกเสียใจมาก

“สิ่งที่ผมเห็น ผมน้ำตาร่วงเลย คนไทยด้วยกันแท้ๆ จะมีใครล่ะ มีแต่หัวดำๆ ทั้งนั้น คนไทยด้วยกันทั้งนั้น ยังทำกันได้ลงคอ ทำไมไม่คุยกันก่อน ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่อง ผมเสียใจมาก ผมเห็นมาหลายครั้งแล้วในชีวิต ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว ถึงแม้ผมจะเป็นแค่คนเก็บขวดขายเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน สิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งมีแต่สูญเสีย ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมาเลย ได้แต่ความสูญเสีย ปรองดองกันเถอะ นะครับ มาปรองดองกันเถอะ คนไทยด้วยกัน เห็นแล้วมันไม่เข้าท่า เอาเลือดเอาเนื้อเข้าแลกมันไม่ถูก คนไทยด้วยกันทำไมคุยกันไม่ได้ ผมเสียใจมาก มีใครที่ไหน มีแต่คนไทยด้วยกัน แล้วทำไมจะมาฆ่ากัน”


..............

35 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
32 ปีเหตุการณ์ 9 ตุลาคม 2519
16 ปีเหตุการณ์พฤษภาคม 2535

ถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ดูเหมือนสังคมไทยจะยังไม่เคยจดจำบทเรียนความเจ็บปวดในอดีตที่ว่า ความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาได้

...ยิ่งเมื่อเป็นความรุนแรงที่ฝ่ายรัฐเป็นผู้กระทำกับประชาชน


***************

สมชาย หอมละออ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน

“ผมคิดว่าประชาชนที่ชุมนุมอยู่หน้ารัฐสภาเมื่อเช้า ถือว่าอยู่ในกฎเกณฑ์ของการชุมนุมโดยสันติและโดยปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่รัฐบาลก็มีสิทธิที่จะแถลงนโยบายในรัฐสภา แต่วิธีการที่รัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ถึงขั้นทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนก็แขนขาดขาขาด ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตาตามปกติ อันนี้ผมถือว่าเป็นการดำเนินการเกินสมควรกว่าเหตุ เมื่อเป็นการกระทำที่เกินสมควรกว่าเหตุก็เป็นการผิดกฎหมาย ผู้ที่ปฏิบัติหรือผู้ที่กระทำต้องรับผิดชอบในทางอาญา ผู้ที่สั่งการก็ต้องรับผิดชอบในทางอาญาและในทางวินัย ผู้สั่งการก็ต้องรับผิดชอบ ส่วนรัฐบาลก็ต้องมีความรับผิดชอบในทางการเมือง สิ่งที่รัฐบาลบอกว่ามีหน้าที่ เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะเข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภานั้น ก็ถือว่าเป็นการทำตามกฎหมาย แต่รัฐบาลจะทำตามกฎหมายโดยที่ไม่ชอบธรรมไม่ได้ บางอย่างถูกกฎหมายแต่อาจจะไม่ชอบธรรมก็ได้ เช่น ความชอบธรรมโดยใช้ความรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุ ในความเห็นผมก็ไม่ชอบธรรมแล้ว เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เมื่อรัฐบาลขาดความชอบธรรมผมก็คิดว่ารัฐบาลคงอยู่ยาก”

ต่อการที่มีผู้ระบุว่าการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม เป็นเรื่องปกติสามัญที่เกิดขึ้นเป็นประจำในต่างประเทศ และถือว่าเป็นวิธีการที่ละมุนละม่อมในการสลายการชุมนุม อาการปวดแสบปวดร้อนมีผลน้อยกว่าการบาดเจ็บจากการถูกตีด้วยกระบอง ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกต่างก็ใช้วิธีการนี้สลายการชุมนุมทั้งสิ้น สมชายชี้แจงว่า

“การใช้แก๊สน้ำตาบางสถานการณ์สามารถทำได้ แต่ผลออกมาว่าในสถานการณ์ที่เขาใช้เป็นการใช้โดยไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะว่าถ้าใช้อย่างเหมาะสมแล้ว คนไม่บาดเจ็บหรอกครับ ไม่แขนขาดขาขาดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแสดงว่าการใช้แก๊สน้ำตาที่รัฐบาลอ้างว่าสามารถใช้ได้นั้น ใช้ไม่ถูกต้อง จริงๆ แล้วเหมือนกับกระบองแหละครับ วัดดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีพิษสงอะไร แต่ถ้าใช้ไม่ถูกก็สามารถตีจนคนตายได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรกว่าเหตุแล้ว

“หลักสิทธิมนุษยชนมีอยู่อย่างหนึ่งคือประชาชนมีสิทธิที่จะชุมนุม รัฐบาลมีสิทธิที่จะรักษาความสงบ แต่ต้องตามสมควรต่อเหตุ และในกรณีนี้ผมคิดว่ารัฐบาลได้ละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคม คือผมคิดว่าสิ่งที่พันธมิตรชุมนุมมาตลอดเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ สังคมได้สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นกฎเกณฑ์หนึ่งคือกฎเกณฑ์ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง แต่รัฐบาลได้ละเมิดกฎเกณฑ์อันนี้เสียแล้ว เมื่อรัฐบาลได้ละเมิดกฎเกณฑ์อันนี้เสียแล้ว ผมคิดว่ารัฐบาลก็จะขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ถึงแม้ว่าจะแถลงนโยบายได้แล้ว แต่ความชอบธรรมไม่มีแล้วและรัฐบาลนี้อายุจะสั้น”

*************

รื่นจิตร เจียมสุพรรณกุล พันธมิตรจากศรีราชา จังหวัดชลบุรี วัย 58 ปี ซึ่ง บัญชา บุญแก้ว ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาข้างซ้ายขาดช่วยป้องกันระเบิดไว้ให้ เปิดเผยถึงวินาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายให้ฟังว่า

“พอถึงเวลาหกโมงเช้าตำรวจก็ยิงแก๊ซน้ำตาใส่พวกเรา โดยตำรวจได้รัวกระสุนออกมาหลายนัด จากนั้นเริ่มมีกลุ่มควันตลบอยู่ทั่วบริเวณทำให้พวกเราทุกคนลืมตาไม่ได้เพราะว่าแสบตามาก ผู้ชุมนุมหลายๆ คนได้พยายามวิ่งหนีออกมา แต่เรารู้สึกแสบตามากไปไหนไม่ได้จึงนั่งหลบมุมอยู่ตรงกำแพง พอเหลือบๆ ตาดูเห็นภาพลางๆ ก็พบว่า มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าเรา นั่งบังเราไว้ หลังจากสิ้นเสียงระเบิดก็ลืมตาพบว่าเลือดออกกองใหญ่มาก เราก็นั่งนิ่งไม่ไปไหนเลย ตู้มเดียวกางเกงยีนส์ของเขาแหว่ง แล้วห้อยออกมา ขาขาดเลย

“กล้ารับประกัน ยืนยันได้เลยว่าที่ทำให้ขาขาดและเจ็บแบบนั้นได้ไม่ใช่จากแก๊สน้ำตาหรือระเบิดควันแน่นอน มันมาจากสะเก็ดระเบิด แรกๆ ที่ตำรวจโยนมาอาจจะใช่แก๊ซน้ำตาจริงๆ ที่ทำให้รู้สึกแสบหูแสบตา แต่ 5 ลูกหลังไม่มีทางเป็นแก๊สน้ำตาได้ มันเป็นระเบิดที่สามารถฆ่าคนตายได้เลย

“ถ้าไม่ได้ผู้ชายคนนี้สงสัยเราจะต้องกลายเป็นคนพิการไปแล้ว โมโห และแค้นมากเลย การกระทำของตำรวจชั่วในครั้งนี้ถือว่าเลวเกินไป เห็นพวกเราไม่ใช่คน ทำอย่างนี้ได้ยังไง พวกเราก็มีแค่เพียงมือตบเพียงอย่างเดียว และที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น


“รัฐบาลยังยัดเยียดความผิดให้ประชาชน สารเลวอย่างนี้สมควรจะลาออกไป ออกไป ออกไป ออกไป!”

**************
เรื่อง-ทีมข่าวปริทรรศน์







กำลังโหลดความคิดเห็น