แกนนำพันธมิตรฯ ขยายแนวร่วมต้านการฟื้นคืนชีพของ “ระบอบทักษิณ” ลั่นพร้อมสู้ทุกรูปแบบ และเข้มข้นกว่าเดิม เรียกร้องประชาชนทุกกลุ่มทั่วประเทศเตรียมพร้อม ย้ำหากมีการชุมนุมก็ทำโดยสันติวิธีและถูกกฎหมาย โดยประเมินสถานการณ์ทุกสัปดาห์
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการแถลงข่าวโดย แกนนำพันธมิตรฯ
คลิก! เพื่อชมภาพการแถลงข่าวของพันธมิตรฯ (56k) | (256K)
วันนี้ (25 ก.พ.) ที่บ้านพระอาทิตย์ บรรดาอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอันประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ร่วมกันหารือสถานการณ์ทางการเมือง และกำหนดจุดยืนตั้งแต่เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.
จากนั้นในเวลาประมาณเที่ยงได้ร่วมกันแถลงย้ำท่าทีให้สาธารณชนได้รับทราบ เริ่มจาก นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2551 จำนวน 7 ข้อ โดยสาระสำคัญเป็นการต่อต้านการคืนชีพของระบอบทักษิณ โดยการเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเท่านั้น จากรัฐบาลหุ่นเชิดที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชน และข้าราชการทุกกลุ่มที่รักชาติบ้านเมืองเตรียมพร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
นายสนธิ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้เฝ้ามองการทำงานของรัฐบาลกันไป แม้ว่าเป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่น่าขยะแขยงที่สุดในประวัติศาสตร์ และที่ผ่านมาไม่ได้ต่อต้านการกลับมาสู้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตราบใดที่ไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่ทนไม่ได้เมื่อมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม มี กกต. หรือมีรัฐมนตรีบางคนไม่ได้ทำหน้าที่ โดยยืนยันว่ายังยึดมั่น “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” เหมือนเดิม และพร้อมเผชิญหน้าทุกรูปแบบกับรัฐมนตรี ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นต้นไป
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ยังมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเหมือนเดิม ทั้งกรณีของ ประธานรัฐสภาที่ยังมีข้อกล่าวหา และการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพันธมิตรฯได้จุดยืนเดิมคือจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบเดิมกลับมาอีก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องมีการรวมตัวกันอีกครั้ง
นายพิภพ กล่าวว่า หลังรัฐประหารมีการดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามปกติ แต่หลังการเลือกตั้งและมีการแถลงนโยบายแล้ว พฤติกรรมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณก็ได้กลับมาอีก อีกทั้งนำวิกฤตกลับมาอีกเหมือนกับในยุค 5 ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มเกิดกลียุคขึ้นได้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลใช้ธรรม และความถูกต้องมาดำเนินการ ยืนยันพร้อมต่อสู้ทุกรูปแบบ โดยใช้สันติวิธี ใช้ธรรมเป็นตัวกำกับ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลได้แทรกแซงองค์กรอิสระ มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เหมือนกระทืบความรู้สึกประชาชน พร้อมกันนี้ได้ทวงถามเงื่อนไข 5 ข้อของ 5 พรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องการไม่แทรกแซงองค์กรอิสระ และการไม่ล้างแค้นข้าราชการ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกรับไม่ได้ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปพบหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งยังเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่ฮ่องกง
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เมื่อบ้านเมืองมีปัญหาก็ต้องออกมาอีกครั้ง พร้อมทั้งยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเต็มที่
“แกนนำทุกคนมีความเหนียวแน่นและเข้มข้นกว่าเดิม และการต่อสู้ครั้งนี้จะหาแนวร่วมเพิ่มกว่าเดิมอีกเพื่อดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อบ้านเมือง” พล.ต.จำลอง ระบุ และว่าหากมีการชุมนุมก็เป็นไปอย่างสงบและทำตามกฎหมาย ไม่ก่อความรุนแรง
นายสนธิ ตอบตำถามเรื่องการจัดระเบียบสื่อของรัฐบาลโดยเฉพาะสื่อผ่านดาวเทียมว่า ไม่กังวล และเชื่อว่าศาลจะเป็นที่พึ่งหากรัฐมนตรีหรือรัฐบาลใช้อำนาจบาตรใหญ่
“ผมยังคิดว่ารัฐบาลจะทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพื่อคุณทักษิณ ส่วนรัฐมนตรีบางคนที่บอกว่าจะไปรับทักษิณที่สนามบินก็เป็นเพียงแต่เพิ่มราคาให้ตัวเอง และรับเงินจากทักษิณเท่านั้น ขอย้ำว่าจะต่อสู้ทุกรูปแบบ และถึงไหนถึงกัน” นายสนธิ ระบุ และย้ำว่าในส่วนของคดีถ้าหากว่าถึงที่สุดแล้วศาลตัดสินให้จำคุกก็ยินดีเข้าคุก แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมบางส่วนถูกคุกคาม แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ยังยุติธรรม
ด้าน นายสุริยะใส กล่าวเสริมว่า ต่อไปแกนนำพันธมิตรฯ จะหารือประเมินสถานการณ์ทุกสัปดาห์ เพื่อรับมืออย่างทันท่วงที
รายละเอียดการแถลงของแกนนำพันธมิตรฯ
สนธิ ลิ้มทองกุล
อย่างที่ท่านสื่อมวลชนได้รับทราบถึงข้อความของแถลงการณ์ไปเรียบร้อยแล้ว ในส่วนตัวของผมใคร่จะขอชี้แจงสักนิดหนึ่ง หลังจากการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน แล้วนั้น ตัวผมเองนั้นจนกระทั่งวันนี้ ผมได้นั่งเพื่อใช้ความคิด ตกผลึกเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง ด้วยการหาทางที่จะสร้างสังคมใหม่ เรามีความรู้สึกว่าสังคมไทยนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินไปในทิศทางใหม่ ผมก็ปรึกษากับพรรคพวกมานานแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ไปทำมาหากิน ท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ท่านก็ไปทำโรงเรียนผู้นำ ท่านพิภพ ธงไชย ท่านก็ไปทำมูลนิธิเด็ก ท่านสมศักดิ์ โกศัยสุข ท่านก็ไปเรื่องแรงงาน อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ท่านก็เลือกเดินทางไปในสาย ส.ส. ส่วนผมเองนั้นก็นั่งเพื่อที่จะทบทวนบทบาทและทิศทางที่จะเดินต่อไป แต่ไม่ใช่ทิศทางที่จะเดินเพื่อคัดค้านคุณทักษิณ ชินวัตร เพราะว่าเราเชื่อเหมือนในแถลงการณ์บอกว่า ตราบใดที่กระบวนการยุติธรรมยังเดินหน้าต่อไปโดยไม่ถูกแทรกแซง คุณทักษิณอยากจะกลับมาเมื่อไรก็กลับ แต่ขอให้มาเผชิญหน้ากระบวนการยุติธรรม ถึงแม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ เป็นรัฐบาลที่น่าขยะแขยงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ผมก็ยังกล้ำกลืนไป ผมก็คิดว่าเขาเข้ามาถ้าเขาตั้งใจจะทำงานให้กับชาติบ้านเมือง 63 ล้านคน โดยที่เขาต้องการจะทำเพื่อประชาชนชาวไทย ไม่ใช่เพื่อคุณทักษิณ และครอบครัว หรือพรรคพวก ผมก็ยังพอจะรับได้
เหตุการณ์ที่จะต้องออกมาครั้งนี้ก็เพราะว่า หลังจากที่อดกลั้น อดทนมานาน จนกระทั่งมีการโยกย้ายท่านอธิบดี สุนัย ออกไป และจนกระทั่ง กกต.บางท่านได้ใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมกับคนซึ่งรักษากติกาของ กกต. ซึ่งประเดี๋ยวพันธมิตรฯ บางท่านจะพูด พวกเราก็เลยตัดสินใจมารวมตัวกัน
ผมขอกราบเรียนทุกท่าน และขอกราบเรียนผ่านไปบรรดารัฐมนตรีปากกล้าทั้งหลายที่ชอบพูดเอาดีใส่ตัว หรือพูดเพื่อที่จะหาทางเก็บเงินเก็บทองจากคุณทักษิณ ว่าจุดยืนของผมยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมยังยึดถือหลักตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ถ้ารัฐมนตรีบางท่านพร้อมจะตายกับผมและเจ๊งกับผม ผมยินดีต้อนรับทุกคน ตั้งแต่คุณเฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้นไป ในส่วนของผม ผมขอพูดเพียงแค่นี้ครับ
สมศักดิ์ โกศัยสุข
อยากจะเรียนพี่น้องและสื่อมวลชนว่า พันธมิตรประชาชนฯ ที่เคลื่อนไหวที่ผ่านมา จุดยืนเราคือต้องการให้มีการตรวจสอบรัฐบาลทักษิณในขณะนั้น เพราะว่ากลไกต่างๆ ถูกแทรกแซง ถ้ามีการตรวจสอบ เราคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะว่าเรารักษาผลประโยชน์ของประชาชน ของประเทศชาติ ไม่ใช่ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาหาประโยชน์ส่วนตน หรือยึดติดการคอร์รัปชั่น นั่นคือเป้าหมาย และเมื่อมีการยึดอำนาจก็เนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ขณะนั้นไม่ยอมให้มีการตรวจสอบ ไม่ใช่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เป็นเหตุ และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป วันนี้จะเห็นได้ชัดว่ากระบวนการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระต่างๆ ก็กลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ภายหลังการเลือกตั้งที่เป็นที่ทราบกันว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันเยอะแยะ ในการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เมื่อวันที่ 23 เราจะเห็นว่าแม้แต่ประธานรัฐสภา ที่ทุกคนก็ทราบดีว่ายังมีความไม่โปร่งใสอยู่ ยังมีข้อกล่าวหาอยู่ ก็ยังมา และเรื่องการโยกย้ายอธิบดีกรมดีเอสไอ เราก็จะเห็นชัดเจนว่า คดีต่างๆ ที่กำลังตรวจสอบอยู่ที่อธิบดีกรมดีเอสไอ ไม่น้อยกว่า ประมาณ 20 คดี การโยกย้ายแบบนี้มันบ่งชัดเจนว่าต้องการที่จะฟอกคนที่กำลังถูกสอบสวนให้พ้นจากความผิด ซึ่งเราเห็นว่าประชาชนเสียหาย ประเทศชาติเสียหาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปโดยปราศจากการแทรกแซง ผลออกมาอย่างไร เราเคารพ เรายอมรับ เราต้องการให้เกิดวัฒนธรรมแบบธรรมาภิบาล ที่ว่า ประชาชนสามารถที่จะตรวจสอบนักการเมืองได้ ดังนั้นประเด็นที่มีการเคลื่อนไหวขอเน้นย้ำว่า เราพูดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าทักษิณจะกลับวันไหนก็ได้ แต่ว่าเมื่อมีการแทรกแซงองค์กรอิสระ และการตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรมเมื่อใด เมื่อนั้นพันธมิตรฯ จำเป็นที่จะต้องรักษาจุดยืนเดิม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ
นอกจากนั้น เราจะเห็นว่า กกต.บางคนได้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ได้ยืนอยู่กับความเป็นธรรม อย่างเช่นกรณีนายสมชัย จึงประเสริฐ ในหลายเรื่อง วันก่อนที่ประชาชนไปร้องเรียนให้มีการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีว่าอดีตเคยเป็น ส.ว.มาไม่ถึง 2 ปี ก็ไปกล่าวหาประชาชนว่าจิตไม่ปกติ ซึ่งความจริงแล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะกล่าวอย่างนั้น เพราะเป็นสิทธิของเขา เขาเสนอไป คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คุณเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรมก็ว่ากันไป และการที่จะไปรับรองคุณยงยุทธ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างสอบสวน ก็ไม่น่าจะสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่บอกว่า จะต้องทำให้เกิดการบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม คนที่จะเข้าไปนั้น แต่ปรากฏว่ายังอยู่ในขั้นตอนอยู่ ก็ยังรับรองไป ก็เป็นตัวชี้ให้เห็น หลายๆ ส่วนที่สัมภาษณ์ออกมาแล้วมีลักษณะที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการปกป้อง ซึ่งสื่อมวลชนก็ทราบดีนะครับ นี่คือสิ่งที่เราเห็นว่า ทั้งองค์กรอิสระ ก็ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน กกต. หรือดีเอสไอ หรือตำรวจต่างๆ และสื่อมวลชนก็ทราบว่ายังมีหลายเรื่องที่กำลังจะเข้าไปแทรกแซงอยู่ ดังนั้นนี่คือภารกิจจำเป็นที่เราต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งครับ
พิภพ ธงไชย
ผมก็อยากจะพูดความในใจสักนิดหนึ่ง อย่างที่คุณสนธิได้เรียนให้ทราบแล้วว่า หลังจากเกิดการรัฐประหาร ในขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังทำการตรวจสอบรัฐบาลของคุณทักษิณอยู่นั้น ก็ต้องถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นน่าจะยุติลงได้ ถ้ากระบวนการยุติธรรมที่กำลังจะจัดการกับความไม่ถูกต้องในรัฐบาลของคุณทักษิณ ได้มีความสามารถที่จะ มีความเป็นอิสระในการทำงาน เพราะฉะนั้นผมเองก็ตั้งใจที่จะไปทำเรื่องการเมืองภาคประชาชน ทำให้ประชาชนมีความสำนึกในการที่จะมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองซ้ำซากอีกครั้งหนึ่ง แต่ทันทีที่มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลอย่างที่เห็นกันอยู่นี้ เกิดอาการ อารมณ์หงุดหงิดไปทั่วในคนที่รักความเป็นธรรมและความถูกต้อง ในวันที่ 23 ธันวาคม กระแสความรู้สึกว่าการเมืองกำลังจะกลับไปที่เก่ามันเกิดขึ้นทันที แล้วก็มีการเรียกร้องว่าพันธมิตรฯ น่าจะต้องกลับมาอีก ผมก็อธิบายว่าจะต้องให้โอกาสรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าจะรู้ว่า กกต.ไม่สามารถจัดการเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้ ต้องให้โอกาสเขา และเมื่อเราได้นายกรัฐมนตรีซึ่งรู้บทบาทการเป็นนักการเมืองในอดีตมา ความหวังก็ดูจะน้อยลง แต่ก็คิดว่าน่าจะให้โอกาส
แต่เมื่อในวันนี้เห็นได้ว่ารัฐบาลซึ่งอ้างว่าจะเป็นตัวของตัวเอง และปฏิเสธสิ่งที่เคยประกาศว่าตัวเองเป็นนอมินี เราก็มีความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะเป็นตัวของตัวเอง คือดำรงความยุติธรรม ดำรงความถูกต้อง แต่เมื่อเห็นอาการ หลังจากแถลงนโยบายในรัฐสภาแล้ว เราเห็นทันทีว่าสถานการณ์กำลังจะกลับเข้าไปสู่ในสมัยต้นรัฐบาลทักษิณอีก นั่นก็คือ ถ้าจำได้ก็คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้คดีซุกหุ้นไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนว่าการตัดสินให้ทักษิณพ้นผิดในวันนั้น มีความถูกต้องและชอบธรรม กระแสการแทรกแซงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นที่ประจักษ์ชัดทั่วไป และจากวันนั้นก็ทำให้เกิดวิกฤตมาตลอดในรอบ 5 ปี จนกระทั่งเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาเพื่อตรวจสอบ
ณ วันนี้ รัฐบาลชุดนี้กำลังนำวิกฤตกลับไปสู่สภาพเดิม และคราวนี้ถ้าวิกฤตกลับไปสู่สภาพเดิม ก็คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การไม่ยอมให้คุณทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างถูกต้อง และต่อสู้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ วิกฤตคราวนี้จะใหญ่หลวงกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อาจจะนำไปสู่การเกิดกลียุคได้ และการที่คุณทักษิณทำตัวเป็นผี คอยหลอกหลอนสังคมไทย และรัฐบาลก็อุ้มผีตัวนี้ให้หลอกหลอนต่อไป ผมคิดว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่มีทางเลือก ต้องปราบผีตัวนี้ แต่เราจะปราบผีด้วยธรรมะ และความยุติธรรม ฉะนั้นเราจึงต้องออกมาเรียกร้องว่า รัฐบาลต้องใช้ธรรมะ คือความถูกต้อง ในการดำเนินงานทางการเมือง ในการตรวจสอบความประพฤติของนักการเมือง และนายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว การใช้ธรรมะกำกับจะทำให้ประเทศชาติพ้นวิกฤต
สอง รัฐบาลจะต้องใช้กระบวนการยุติธรรม ปล่อยกระบวนการยุติธรรมให้อิสระ ซึ่งเราเชื่อว่า ผู้พิพากษาก็ดี หรือคนอยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็ดี ยังรักความเป็นธรรมและความเป็นอิสระ พร้อมที่จะรับสนองพระบรมราชโองการในเรื่องตุลาการภิวัตน์ แต่วันนี้รัฐบาลจะไม่ปฏิบัติในเรื่องธรรมะ และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และปล่อยให้คุณทักษิณทำตัวเหมือนผีที่หลอกหลอนสังคมไทย เป็นปัญหาของสังคมไทย ถ้ารัฐบาลไม่รีบแก้ไข และถ้าพันธมิตรฯ ไม่ออกมาท้วงติงในเรื่องนี้ ก็ถือว่าเราไม่ได้ทำหน้าที่ในการที่จะป้องกันสังคมไทยไม่ให้เข้าสู่กลียุค ฉะนั้นวันนี้เราจึงจำเป็นต้องออกมา แต่การออกมาเราจะออกมาด้วยการดูว่ารัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างไร และออกมาเพื่อกระตุ้นให้สังคมตื่นตัวในเรื่องที่จะออกมาป้องกันประเทศชาติไม่ให้นำไปสู่กลียุค อันนี้เป็นภารกิจที่พันธมิตรฯ จำเป็นต้องออกมา และขอยืนยันว่า เราพร้อมจะสู้ทุกรูปแบบ โดยมีสันติวิธีและธรรมะเป็นตัวกำกับครับ ขอบคุณ
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
ผมขออนุญาตสื่อสารไปถึงพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ พี่น้องประชาชนหลายล้านคน ท่านทั้งหลายคงจำได้ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบไปด้วย ท่านประธานศาลฎีกา ท่านประธานศาลปกครองสูงสุด และตุลาการอาวุโส 7 ท่าน รวม 9 ท่าน ได้มีมติยุบพรรคไทยรักไทย ในคำพิพากษาหน้า 151 ข้อ ข. กรณีการแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญตลอดระยะเวลา 5 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏข้อเท็จจริงว่าองค์กรอิสระทั้งหลายตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ถูกแทรกแซง ครอบงำ โดยอำนาจฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด ตั้งแต่กระบวนการสรรหา แต่งตั้ง การวินิจฉัยชี้ขาด จนทำให้การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระดังกล่าว ขาดความเป็นอิสระและเที่ยงธรรม เป็นการทำลายเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญและพฤติกรรมการแทรกแซงองค์กรอิสระดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และบุคคลใกล้ชิดเอง ในหลายกรณี
และในคำพิพากษา หน้า 181 อันนี้ร้ายกาจมาก ในหน้า 181 บอกว่า ติดต่อวิ่งเต้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน เพื่อขอความช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นผิดจากคดีซุกหุ้น โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ในส่วนของวุฒิสภานั้นก็มีการแทรกแซงอีก ที่ผมเรียนถึงพี่น้องประชาชนทั่วประเทศก็คือว่า บัดนี้รัฐบาลที่มีประมุข 2 คน คือนายสมัคร สุนทรเวช กับยุทธ ตู้เย็น หรือยงยุทธ ติยะไพรัช ได้กระทำการเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระ โดยเฉพาะนายสมัคร อย่างน่ารังเกียจ แล้วมันจะย้อนรอยคำพิพากษาของตุลาการอาวุโสทั้ง 9 ท่าน ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ ถึงขั้นทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พฤติกรรมอุกอาจ เหิมเกริม และลุแก่อำนาจของรัฐบาลหุ่นเชิดโดยทุนสามานย์คราวนี้ เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง เป็นการบดขยี้หัวใจของประชาชน และกระทืบซ้ำประชาชน เป็นความเจ็บปวดอย่างมาก ผมจึงเห็นว่าการฟื้นโครงสร้างของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราต้องการเห็นการลุกขึ้นของพลังทางศีลธรรมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อมาจัดการรัฐบาลหุ่นเชิดโดยทุนสามานย์ครั้งนี้ ซึ่งกำลังฟื้นคืนชีพ
ที่น่าอดสูที่สุดก็คือเราไม่น่าเชื่อเลยว่า ประธานรัฐสภา เจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทนายเอกของระบอบทักษิณ ดันไปพบผู้ร้ายข้ามแดน เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูมาก 2 ดาวร้ายทางการเมืองไปพบกัน พี่น้องคนไทยจะรู้สึกอย่างไร เมื่อประมุขของรัฐสภา และรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปพบผู้ร้ายข้ามแดน ที่มีหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พวกเขาไปโค้งให้กับผู้ร้ายข้ามแดน อาชญากรของประเทศ ซึ่งกระทำความผิดคดีอาญาหลายคดี และที่สำคัญที่สุด คนกลุ่มนี้ที่นำโดยรัฐมนตรียุติธรรม ความจริงไม่น่าจะใช้คำว่ายุติธรรมเลย ยังบังอาจไปย้ายอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งขณะนี้กำลังรับพิจารณาคดีของระบอบทักษิณ เครือข่าย และครอบครัว พวกพ้องเขา ราวๆ 20 คดี ข้อมูลที่เราได้รับมา
ผมขอถามประโยคสุดท้ายนะครับ คนอย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เจ้าของประโยคว่า "สัจจะนิยม" นายสุวิทย์ คุณกิตติ พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ไปยื่นเงื่อนไข 5 ประการ จำได้ไหมครับ ก่อนจะเข้าร่วมกับ "รัฐบาลชิงชัยแห่งชาติ" ชุดนี้ ข้อ 3 บอกว่า อยากมองเห็นว่าไม่มีการล้างแค้นสิ่งต่างๆ ก็ควรจะลืม ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุด หาข้อยุติไม่ได้ ข้อ 4 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมโดยชัดเจน และต้องไม่แทรกแซง ไม่ก้าวก่าย ท่านบรรหาร ศิลปอาชา กับท่านสุวิทย์ คุณกิตติ ท่านยังมีราคาทางประวัติศาสตร์อยู่ไหม ที่ไปร่วมกับรัฐบาลหุ่นเชิดโดยทุนสามานย์แห่งชาติ และท่านจำได้ไหมว่าสัจจะ 5 ประการ ที่ไปยื่นคืออะไร เอกสารนี่ถ่ายให้คนอย่างนายบรรหาร กับนายสุวิทย์ ไปดูหน่อยว่าจะจำความหลังได้ไหม หรือแก่ไปแล้ว หรือเส้นโลหิตในสมองมีปัญหาแล้วลืมไปหมด อันนี้อยากจะพูดกันตรงๆ เลย ขอบคุณครับ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
พันธมิตรฯ ห่างเหินกันมานานนะครับ เพิ่งจะมาพบปะประชุมปรึกษาหารือกันในเช้าวันนี้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าบ้านเมืองเป็นของเรา ประชาชนทุกคน นักการเมืองนั้นเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวที่เราจ้างเขามา ถึงเวลาก็มา ถึงเวลาก็ไป บางทีไม่ถึงเวลาก็ทั้งมาทั้งไป แต่ประชาชนนั้นยังต้องคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อบ้านเมืองมีปัญหา เราจึงต้องออกมาคัดค้าน ผมเดินทางเป็นประจำกรุงเทพฯ - ต่างจังหวัด ไปจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ได้พบคนหลายคน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ก็เข้ามาต่อว่าผมว่าการเมืองมันย่ำแย่อย่างนี้ นั่งอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ฉะนั้นวันนี้เราจึงมาประชุมพร้อมกัน เพื่อยืนหยัด ยืนยันว่าเราก็คือตัวแทนของประชาชนด้วยเหมือนกัน แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ตาม และเป็นตัวแทนของประชาชนที่มุ่งหวังเพื่อชาติบ้านเมืองโดยแท้ ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อผลประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย ดังที่ได้แสดงให้เห็นมาตลอดแล้ว เพราะฉะนั้นผมเป็นคนหนึ่งในพันธมิตรฯ ที่พร้อมจะดำเนินการอย่างเต็มที่ ตามที่เราได้ประชุมและได้แถลงให้กับพี่น้องประชาชนได้ทราบแล้ว
ที่แล้วมา ตลอดระยะเวลานั้น มีการเล่าลือกันในลักษณะว่าพวกเราอ่อนปวกเปียกกันไปหมดแล้ว คนนี้ทะเลาะกับคนนั้น คนนั้นทะเลาะกับคนนี้ ทั้งผม ทั้งคุณสนธิ เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ เดินไม่ไหวแล้ว เพื่ออะไรครับ เพื่อบอกให้พี่น้องประชาชนว่าอย่าลุกขึ้นมาคัดค้านเลย พวกนั้นอ่อนเปลี้ยเสียขาไปหมดแล้ว ไม่มีใครแล้วที่จะมาคัดค้าน แม้เราจะปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอย่างไร ก็ปล่อยเราเสียดีๆ เถอะ อย่างนี้เราจึงยอมไม่ได้ ก็เลยมาบอกให้พวกท่านทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกันว่า เรายังดำรงคงมั่นในความเหนียวแน่นของเราที่จะทำเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมืองตลอดเวลา และเราได้ตกลงกันแล้วว่า กรรมการพันธมิตรฯ 5-6 คนนี้ไม่พอหรอกครับ คราวนี้ เราจะต้องหามาเพิ่มเติมมากกว่านี้อีก จะเอานักต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย มารวบรวมขบวนการกับเราเพื่อเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มที่ อย่างที่พวกเราพร้อมแล้วว่า จะดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อบ้านเพื่อเมืองของเรา ถึงแม้ว่าเราคิดว่าคราวที่แล้วมันน่าจะหยุดไปแล้ว แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่เราก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ นั่นคือความตั้งใจจริงของเรา อยากจะบอกผ่านพี่น้องสื่อมวลชนไปยังประชาชนว่า เรายังเหมือนเดิม และเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมครับ
ช่วงถาม - ตอบ
ถาม
ตอบ - จะมีการประชุมกันทุกสัปดาห์ ส่วนจะแถลงข่าวหรือไม่นั้น ดูสถานการณ์รายสัปดาห์ ถ้าจะแถลงก็จะมีการแจ้งให้ทราบ แต่ว่าการหารือนอกจาก 5 แกนนำแล้ว จะมีการขยายแนวร่วมมากขึ้น เช่น นักวิชาการ นักธุรกิจ ชนชั้นกลาง นักกฎหมาย และนักสู้หลายๆ กลุ่มที่เคยต่อสู้กันมา ก็อาจจะย้ายที่ เช่น อาจจะไปประชุมที่อนุสรณ์สถานบ้าง กรณีที่มีคนมากขึ้น
ถาม - กังวลไหมว่าช่องทางสื่อสารกับประชาชนอย่าง ASTV จากนี้จะมีการจัดระเบียบจากทาง รมต.ประจำสำนักนายกฯ เรื่องของทีวีดาวเทียม ทำให้ช่องทางสื่อสารกับประชาชนน้อยลง
สนธิ - ผมคงไม่กังวลครับ เพราะในข้อกฎหมายของ พ.ร.บ.วิทยุโทรทัศน์ อันใหม่ที่รัฐบาลชุดที่แล้วร่างออกมา ไม่ได้มีข้อห้ามของวิทยุโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เป็นเพียงแค่การจดทะเบียน และอีกประการหนึ่งผมก็ไม่ได้กังวล เพราะว่าหากตัวท่าน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ผมเชื่อยังมีศาล ศาลยังคงเป็นที่พึ่งอยู่ เหมือนกับในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ และใช้กรมประชาสัมพันธ์มาระงับเรา เราก็ยังฟ้องร้องศาลปกครองได้ ผมเชื่อว่าอะไรก็ตามที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารนั้น เราไม่กลัวครับ คือผมจะสรุปสั้นๆ ในส่วนของผมนะครับ อะไรที่น่ากลัวที่สุด ที่ร้ายแรงที่สุด เราก็สู้มาแล้ว เราไม่ได้ประมาทรัฐบาลชุดนี้ เรายังหวังว่าเขาจะคิดว่าตัวเขาน่าจะทำงานให้กับชาติบ้านเมือง เพื่อชื่อเสียงของเขา ไม่ใช่ทำเพื่อรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายๆ คนที่ประกาศออกปาวๆ สนับสนุน จะไปรับที่สนามบิน อันโน้นอันนี้ พูดเพื่อให้ราคาตัวเอง จะได้ได้เงินจากคุณทักษิณมามากขึ้น เมื่อเงินเข้ามาอยู่ในระบบการเมืองแล้ว ประเทศชาติหวังพึ่งไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องที่เราจำเป็นต้องสู้ ผมเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เรากำลังระดมให้พันธมิตรฯ หรือประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั่วประเทศไทย ให้เตรียมตัวอยู่ คุณพิภพก็พูดแล้ว ท่าน พล.ต.จำลอง ก็พูดแล้ว ทุกๆ ท่านพูดแล้วว่า เราจะมีมาตรการในการเคลื่อนไหว โปรดสังเกตคำพูดนะครับ "ทุกรูปแบบ" และผมอยากจะต่อท้าย และผมเชื่อว่าพันธมิตรฯ ทั้งหลายจะเห็นด้วย ว่า "ถึงไหนถึงกัน" ไม่เชื่อถามพันธมิตรฯ ทุกคนว่าเห็นด้วยกับคำพูดผมหรือไม่ เพราะนี่คือมติของพวกเรา ว่า "ทุกรูปแบบ" และ "ถึงไหนถึงกัน"
ถาม
สนธิ - มาตรการการเคลื่อนไหวนั้นมีทุกรูปแบบ รูปแบบของการชุมนุมก็เป็นรูปแบบหนึ่ง มันยังมีอีกหลายรูปแบบนะครับ ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่เราจะเอายุทธวิธีของเรามาเล่าให้ฟัง ยังเร็วเกินไปนะครับ
ถาม - เรื่องทักษิณจะกลับมา
สนธิ - เราคัดค้านแน่นอนแล้วครับ ต้องเข้าใจเหตุผลการคัดค้านนะครับ ก่อนหน้านั้นเราไม่คัดค้าน แต่เมื่อมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เราจะคัดค้าน แต่เราอาจจะไม่ได้ไปคัดค้านที่สนามบิน แต่เราจะมีวิธีคัดค้าน เราจะไม่ไปครับ ให้คนที่รับเงินคุณทักษิณและต้องการโบนัส ไปรับที่สนามบิน แต่เราจะใช้ประชาชนทั่วประเทศคัดค้าน และวิธีการคัดค้านมีมากหมายหลายแบบนะครับ
ถาม - เราคำนึงถึงความเหมาะสมด้วยไหม เพราะตอนนี้ยังอยู่ระหว่างเรื่องราชพิธีพระศพ
พิภพ - เราคำนึงตลอดเวลาครับ สังเกตได้ว่าช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดการชุมนุม เราได้ดูเรื่ององค์ประกอบที่จะทำให้เกิดการชุมนุมได้หรือไม่ ตลอดเวลา เราเคารพพระราชพิธีมาตลอด จำได้นะครับตอนนั้นอยู่ในช่วง 60 พรรษา เราก็ยุติการชุมนุม พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงออกมามีพระราชดำรัสชี้แนะเรื่องกระบวนการยุติธรรม หรือตุลาการภิวัตน์ เราก็ยุติการชุมนุม ทัศนะของพันธมิตรฯ เราจะให้โอกาสกับรัฐบาล ให้โอกาสกับผู้มีอำนาจทางการเมือง ที่จะจัดการความถูกต้องมาตลอด และการชุมนุมที่พันธมิตรฯ ใช้ก็เป็นไปตามกรอบที่รัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิ์ไว้ และผมอยากจะย้ำว่า เครื่องมือของประชาชนไม่ได้หมายถึงพันธมิตรฯ เท่านั้น ก็คือการชุมนุมเดินขบวนอย่างสงบและสันติ ใช้ธรรมะนำหน้า ความถูกต้องกำกับ นี่เป็นเครื่องมือ และปรากฏว่าเราก็ประสบความสำเร็จมาหลายครั้ง มีคนเข้าร่วมทุกชนชั้น อันนี้พูดได้เลย และมีผลทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม คะแนนสูสีกันมาก ระหว่างผู้ไม่เอาทักษิณ กับเอาทักษิณ ประมาณ 10 กว่าล้าน อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ธรรมะกำลังจะกลับเข้ามาสู่ความถูกต้องกำกับการเมือง แต่วันนี้รัฐบาลกลับละเลย แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ละเลยความถูกต้อง ละเลยธรรมะ ฉะนั้นเราพันธมิตรฯ จึงมาบอกกับประชาชนว่า ถ้าเราปล่อยปละละเลยเหตุการณ์ครั้งนี้ไปอีก โดยไม่แสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ โดยไม่มาต่อสู้เพื่อให้เกิดความถูกต้อง คราวนี้จะเกิดกลียุคจริงๆ อันนี้ไม่ใช่เป็นคำทำนายที่เกินเลยจากข้อมูล เพราะพฤติกรรมที่มันซ้ำซากตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว คราวนี้จะรุนแรงมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าพันธมิตรฯ จะต้องการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง อันนี้ต้องย้ำนะครับ ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง เรายืนยันที่จะใช้สิทธิของตัวเองในเรื่องการแสดงออกทุกรูปแบบ บนพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูยและสันติวิธีครับ
ถาม - กังวลไหมว่าขณะนี้มีคดีเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นประมาท และโดนศาลสั่งจำคุกอยู่
สนธิ - ผมไม่กังวลครับ ผมพูดให้พี่น้องประชาชนที่ดูรายการนี้อยู่ ตลอดจนท่านสื่อมวลชน ผมเป็นคนเคารพกติกา ถึงแม้ว่าในที่สุดถ้าศาลฎีกาพิพากษาผม และผมต้องติดคุก 10 ปี ผมจะเดินหน้าเข้าคุกอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมไม่หนี ถึงแม้ว่าในข้อเท็จจริงกระบวนการยุติธรรม "บางส่วน" ได้ถูกครอบงำไปแล้ว ผมยังเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลสถิตยุติธรรม ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ที่รักความเป็นธรรมอยู่ ธรรมขั้นสูงของ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ก็คือว่า เมื่อสละได้แม้กระทั่งความตาย จะไปยี่หระอะไรกับคำพิพากษาให้จำคุก กระบวนการข่มขู่ผม กระบวนการให้ร้ายผมว่าผมรับเงินคุณทักษิณมา กระบวนการสาปแช่งผม บอกว่าคนที่ทำไม่ดีกับคุณทักษิณนั้นต้องมีอันเป็นไป เห็นไหมสนธิกับจำลองเป็นอัมพาตแล้ว เริ่มตลอดเวลา มันเป็นยุทธวิธีต่ำๆ ซึ่งผมไม่สนใจนะครับ จะบอกว่าผมเสียใจไหมถ้าผมถูกพิพากษาจำคุก ผมเสียใจ แต่ว่าจำคุกแล้วอย่างไร ไม่จำคุกแล้วอย่างไร ในเมื่อเราใช้ธรรมนำหน้า คือถ้าเราตัดความกลัวตรงนี้ออกไป เราเอาธรรมนำหน้า ผมเชื่อว่าชัยชนะของสังคมที่เต็มไปด้วยธรรมาภิบาลจะต้องมาสักวันหนึ่ง ถ้าผม หรือพวกผมจะต้องเสียสละหลายๆ เรื่อง มันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือครับ
ถาม - การเฝ้าดูสถานการณ์จะไปถึงขั้นไหน ที่จะทำให้พันธมิตรฯ ได้กลับมารวมตัวกันและมีการชุมนุมขึ้นอีกครั้ง
จำลอง - เราไม่ใช่มาประชุมกันวันนี้เพื่อเฝ้าดูนะครับ เรามาเพื่อตกลงกันว่าเราจะทำอะไร แต่เรายังไม่บอกเท่านั้นว่าเราจะทำอะไร เรามีขั้นตอนของเราอยู่ พร้อมมูล ถ้าเพื่อเฝ้าดูเราไม่ต้องมาประชุมกันหรอกครับ แค่โทรศัพท์ถึงกันแล้วบอกว่า เฝ้าไว้นะ ดูไว้นะ อย่างนี้มันไร้ผลครับ
ถาม - พันธมิตรฯ ขีดเส้นไหม หลังจากมีข้อเรียกร้องไปแล้ว
จำลอง - อย่าทำอย่างนั้นครับ จะเป็นการกดดันบีบคั้นเขา เพราะเราให้โอกาสเขาอีก ว่าให้กลับตัวมาทำความดีเถอะ เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อคน 63 ล้านคน เราพูดไปแล้วโดยแน่ชัด
ถาม - การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นเงื่อนไขให้ออกมาชุมนุมไหม ในเมื่อบอกว่ากลับมาในสถานการณ์ที่กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง
จำลอง - ในแถลงการณ์บอกไว้ชัดเจนเลยครับ ทั้งโดยคำพูดและลายลักษณ์อักษร มีอยู่ในนี้แล้ว เราจะแจกให้ทราบโดยทั่วกัน
ถาม - ที่ประกาศว่าคัดค้านทุกรูปแบบ จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้น
จำลอง - ใช้ความรุนแรงไม่ใช่เรานะครับ ถ้ามีก็เป็นฝ่ายอื่น คราวที่แล้วคุณเห็นไหมครับ พวกเราไปกินไปนอนอยู่ที่ข้างถนน กลางถนน 33 วัน 33 คืน โดยต่อเนื่อง รุนแรงไหมครับ ถ้าเขาไม่ใช้กำลังก็ไม่รุนแรง
ถาม - ในส่วนนี้เรากลัวไหมคะ
จำลอง - เรามีเหตุผล เรามีตัวอย่างชัดเจน ไม่ใช่วิเคราะห์เลื่อนลอยว่าอย่างนั้นมั้ง อย่างนี้มั้ง เราได้แสดงให้เห็นชัดแล้วใช่หรือเปล่า 33 วัน 33 คืน จริงๆ แล้ว 34 วัน 34 คืน มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยสำหรับการชุมนุมอย่างอหิงสา มีธรรมะกำกับอย่างที่ อ.พิภพ ว่า เราทำมาแล้วครับ ฉะนั้นเราเป็นที่เชื่อถือของประชาชนว่า พวกนี้ไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรง ถ้าจะมีความรุนแรงมันพวกอื่น ไม่ใช่พันธมิตรฯ
ถาม - จะมีการกดดันให้คืนตำแหน่งให้กับอธิบดีดีเอสไอหรือไม่
สนธิ - ถ้ารัฐบาลชุดนี้เข้าใจปัญหาการใช้ธรรมนำหน้า ก็ต้องคืนตำแหน่งให้ท่านอธิบดีสุนัย เพราะการคืนตำแหน่งให้อธิบดีสุนัยนั้น แทบจะทำให้ความชอบธรรมของเราในการที่จะมาชุมนุม ประชุมกันครั้งนี้ หายไป 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ เสียด้วยซ้ำ ท่านอธิบดีสุนัย ท่านเป็นชนวนตัวจริง ทั้งๆ ที่พวกเราเองก็มีความรู้สึกว่า วุฒิภาวะของ กกต.บางท่านนั้นท่านไม่สมควรที่จะออกมาปฏิบัติตนเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เรื่องหลายเรื่องซึ่งควรที่จะถูกส่งไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็ถูกดอง เราก็ยังมีน้ำอดน้ำทน เพราะเราหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่การโยกย้ายท่านอธิบดีสุนัย และโอกาสที่จะย้ายท่านปลัดฯ จรัญ ภักดีธนากุล และโอกาสที่จะย้ายท่านเสรีพิศุทธ์นั้นมาแรงมาก ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อรองรับการกลับมาของคุณทักษิณ ชินวัตร นั่นคือหลักปรัชญาทั้งหมดที่พวกเราสรุปว่า รัฐบาลชุดนี้ทำทุกอย่างไม่ใช่เพื่อคน 63 ล้านคน แต่เพื่อคุณทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวคุณทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นครับ
จำลอง - พวกเราได้ไปฟังแล้วใช่ไหมครับการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 18 ที่ผ่านมา นโยบายเร่งด่วน ข้อแรกของเร่งด่วนคืออะไรครับ คือการสมานฉันท์ การที่ได้ลงมือกระทำไปกับท่านอธิบดีสุนัย แสดงให้เห็นชัดแล้วนะครับว่า พูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง
ถาม - การต่อสู้ในครั้งนี้จะต้องถึงกับการเสียเลือดเสียเนื้อหรือรุนแรงไหม
จำลอง - ไม่มีครับ ถ้าเรารู้ว่าจะเสียเลือดเสียเนื้อ เราจะมาทำทำไม
ถาม - จะทำให้ถูกมองไหมว่าเราเป็นตัวสร้างความแตกแยก
จำลอง - ไม่ใช่นะครับ เราเป็นตัวที่สร้างให้เกิดความสามัคคี คุณอย่าไปรังแกเขา คุณเข้ามาปั๊บ คุณรื้อคนนั้น คุณย้ายคนนี้ แล้วคุณบอกว่าคุณจะย้ายคนต่อๆ ไปด้วย อย่างนี้บ้านเมืองปั่นป่วนหมด เราต่างหากที่ทำให้เกิดความสามัคคี ไม่ใช่ทำให้เกิดความแตกแยก เราไม่เคยมายุให้เอาคนนี้ออกไป ฆ่าคนนั้น ตัดตอนคนนี้ ไม่เคยพูดเลย มันตรงกันข้ามนะครับ ทีนี้คนที่พูดว่านโยบายเร่งด่วนข้อแรกคือการสมานฉันท์ ต้องทำนะครับ
ถาม - ถาม อ.สมเกียรติ เกี่ยวกับสถานะของการเป็น ส.ส.จะมีผลอะไรต่อการเคลื่อนไหวในฐานะพันธมิตรฯ ไหม
จำลอง - ถ้า อ.สมเกียรติ ก็คงจะไม่เหมาะ ผมพูดก่อนดีกว่า ในฐานะที่ผมเคยเป็นนักการเมือง ทั้งจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง และขณะนี้ก็ยังเป็น ส.ว.อยู่ด้วยนะ ผมยืนยันว่าสำหรับ อ.สมเกียรติ แล้ว ท่านมาอยู่ตรงนี้น่ะดี แม้จะเป็น ส.ส.ด้วยไม่เห็นน่ารังเกียจตรงไหนเลย เพราะว่าท่านมาร่วมกับเราก่อน ร่วมในการดำเนินการอย่างเข้มข้นมาตลอดเวลา ท่านเป็นคนเดียวที่เดินทางด้วยความทุลักทุเล อาศัยแม่บ้านเป็นคนขับรถให้ มาชุมนุมยันสองยาม ตีหนึ่ง ต้องกลับไปสอนที่โคราช แล้วก็มาชุมนุมอีก คนอย่างนี้ล่ะครับเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวแทนของประชาชน คือทำสองอย่างในขณะเดียวกัน หนึ่ง เป็นการเมืองภาคประชาชน สอง เป็นการเมืองของภาคนิติบัญญัติไปด้วย มีอีกไหมครับ มาร่วมกับเรานะครับ
สมเกียรติ - ผมขอตอบด้วยตัวเองนิดหนึ่งนะครับ คำถามนี้ผมไม่คาดคิดว่าจะมีการถามนะ ก็อยากจะบอกว่า ผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เหนือกว่าผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลและพรรค และผมก็มีจุดยืนทางการเมืองเพื่อภาคประชาชนมาโดยตลอด หากคนถาม หรือพี่น้องประชาชนสงสัย ก็ไปเปิดดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 เอกสิทธิ์ ส.ส. ไม่ถูกครอบงำใดๆ จากพรรค และไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรค ผมอิสระนะครับ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และการเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือการเมืองภาคประชาชน รัฐบาลเส็งเคร็งที่ล้มลงอย่างน้อย 3 รัฐบาล ล้มลงจากการเมืองภาคประชาชนทั้งสิ้น การเมืองในสภามีความหมายน้อยมาก เต็มไปด้วยผลประโยชน์ เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจกัน จึงเป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ ผมยังมีจุดยืนเพื่อการโค่นล้มรัฐบาลที่ เป็นรัฐบาล สมัยก่อนเรียกว่า ทรราช ตอนนี้เรียกว่า รัฐบาลหุ่นเชิดโดยทุนสามาร ไม่เปลี่ยนแปลงครับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
จำลอง - เมื่อกี้นี้ครับเมื่อกี้นี้ ผมเองครับเป็นคนพูดกับ อ.สมเกียรติ บอก อาจารย์การที่มาร่วมประชุมอย่างนี้แล้วแถลงอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ถ้าพรรคเข้าจะให้ออกอาจารย์ออกมาเลย อาจารย์อย่าไปห่วง เพราะว่านักการเมืองถึงเวลาก็มาถึงเวลาก็ไป ไม่ถึงเวลาก็ทั้งมาทั้งไป
ถาม - ขั้นแตกหักที่จะทำให้กลับมาชุมนุมกัน
จำลอง - หมายถึงอะไรครับ หนูคนนี้เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความรุนแรงมากเหลือเกิน ถามใหม่ครับเดี๋ยวพวกเราช่วยกันตอบ ไม่ใช่ผมคนเดียว
ถาม - เหตุการณ์ต้องไปถึงระดับไหนที่จะทำให้พันธมิตรฯ กลับมาชุมนุม
จำลอง - เรามีมาตรการ เรามีความคิด เรามีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เพราะพวกเราใกล้ชิดต่อสถานการณ์ ใกล้ชิดต่อข่าวสารมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเราคิดว่าการตัดสินใจของเราไม่พลาด คราวที่แล้วพลาดไหมครับ เดินกลางวันก็มี เดินไปแล้วกลับก็มี เดินกลางคืนก็มี ไปย่านชุมนุมชนก็มี ทำหมดทุกอย่างแล้วมันสำเร็จไหมครับ มันสำเร็จครับ เพราะเราก่อนจะออก เราได้พิจารณากลั่นแล้วกลั่นอีกนะครับ แม้สถานการณ์ฉุกเฉินที่หลังเวทีที่สนามหลวง เราก็มีการประชุมหารือกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราคิดว่าไม่พลาดหลอกครับ นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตที่เรามาบอกให้เห็น ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์วิจารณ์โดยเลื่อนลอยนะครับ
ถาม - ยังมั่นใจหรือไม่ว่าจะได้เสียงจากประชาชนกลับมาเหมือนเดิม
จำลอง - เมื่อกี้ผมบอกว่า เสียงที่เขาต่อว่าเรา ก็คือ เฉยๆ อยู่ได้อย่างไร บ้านเมืองเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ที่เรามายืนยัน ขอให้พี่น้องประชาชนเตรียมพร้อมอีกครั้งหนึ่ง คงทำให้หลายคนสบายใจ
สมศักดิ์ - ครับ คือการชุมนุมอะไรมันยังไม่ถึง เรายังไม่ได้ถึงเวลานั้น แต่ต้องเข้าใจนะครับว่า การชุมนุมใดๆ ที่เกิดขึ้นได้นั้น ประชาชนต่างหากที่เขาเห็นว่า เขาไม่สามารถทนอยู่ได้แล้วในสถานการณ์นั้นๆ เพราะประชาชนเขามีความฉลาด เขารอบรู้ เขาติดตามข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนคิดนะครับว่า เราได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ว่า มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ ต้องถามว่าวิธีตรวจสอบจะทำอย่างไร แล้วเรื่องที่กำลังตรวจสอบเป็นเรื่องที่บุคคลถูกกล่าวหาว่า โกงทุจริตทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลเอาเป็นของตนเองและพวกพ้อง เราเป็นคนไทย เราเป็นสื่อมวลชน เราคิดว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องเล็กหรอครับ เราไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรอครับ อยากให้มองประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญว่า นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างคนสองคน ไม่ถูกกันนะ อย่าพยายามเอาเรื่องที่ฝ่ายหนึ่งพยายามจะปกป้องสมบัติของชาติบ้านเมืองแล้วไปทำเป็นเรื่องเสมอภาคกับว่า ฝ่ายหนึ่งพยายามจะฟอกปิดและเพื่อทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม มันคนละเรื่องกันนะครับ ถ้าประชาชนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ก็ต้องร่วมกันตรวจสอบการกระทำแบบนี้ ถ้าเราไม่อยากให้ชาติบ้านเมืองเราถูกโกง ถูกทุจริต ลูกหลานในอนาคตจะมีชีวิตที่ย่ำแย่อยู่ต่อไปอีก มันมีทางอื่นไหมครับที่จะตรวจสอบแบบนี้ ในฐานะประชาชนอยากจะให้ช่วยคิดด้วย
จำลอง - ดีใจครับที่พวกเราเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการชุมนุม ผมมักจะถูกใครต่อใครหาว่าผมเป็นนักชุมนุมอาชีพ เพราะทำมาหลายครั้งหลายหน แต่ผมขอยืนยันนะครับว่า การชุมนุมไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมณ์อะไรเลย การที่ต้องไปกินไปนอนกลางถนน 34 วัน 34 คืน มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่ถ้าสถานการณ์มันจำเป็นจะต้องทำ เราก็พร้อมที่จะทำ พร้อมตั้งแต่วันนี้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าได้กังวลเรื่องการชุมนุม และพวกเราเคารพต่อกฎหมาย ถ้าเราจะทำเพื่อประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว และมันไปผิดกฎหมายข้อไหน เขาจับเราดำเนินคดีก็จับไป คราวที่แล้วเราถูกดำเนินคดีทุกครั้ง แม้กระทั่งในเหตุการณ์เดือนพฤษภา ผมถูกติดคุกตั้ง 2 คุก เดี๋ยวจะหาไม่แน่ ทั้งคุกตำรวจ คุกทหารด้วย ก็ยังไม่เห็นเป็นไรเลย ขอให้ตัดความกังวลเรื่องการชุมนุมออกไปครับ
พิภพ - ผมขอขอบคุณผู้สื่อข่าวนะครับที่กังวลเรื่องนี้ แล้วก็กังวลว่า ถ้าเกิดมีการชุมนุม ที่จริงวันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องชุมนุมเลยนะครับ ขอให้สังเกต แต่ผู้สื่อข่าวพยายามจะลากพาไปให้ตอบเรื่องการชุมนุม เพราะฉะนั้นอย่างที่เรียนให้ทราบ การชุมนุมไม่ง่าย ขึ้นอยู่กับประชาชนจะพร้อมชุมนุมหรือไม่ อันที่ 1 นะครับ อันที่ 2 บทเรียนของเราในเหตุการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงนั้น จะเห็นได้ว่า เรามีความระมัดระวังอย่างสูง ในการไม่นำให้การชุมนุมนำไปสู่การปะทะหรือเกิดความรุนแรง ผมคิดว่าอันนี้ผู้สื่อข่าวยืนยันได้ตลอดว่าเราใช้สันติ ใช้ความถูกต้อง เคารพกฎหมาย อยู่ตลอดเลย เพราะฉะนั้นขออย่าให้กังวลเรื่องนี้ อันที่ 3 อยากจะเรียนว่า ผมผ่านเหตุการณ์มาเยอะ 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯ พฤษภาฯ แล้วมาเหตุการณ์พันธมิตรฯ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่เคยสักครั้งที่ประชาชนเป็นฝ่ายเริ่ม ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและชุมนุมอย่างสงบและสันติ และไม่มีอาวุธ อันนี้พิสูจน์ได้ในเหตุการณ์ คนที่จะใช้ความรุนแรงก็คือ อำนาจรัฐ เป็นส่วนใหญ่ที่จะใช้ในเรื่องความรุนแรง หรือการแทรกแซงทางการเมืองที่จะทำให้นำไปสู่ความรุนแรง เพราะฉะนั้นวันนี้ผมอยากจะสื่อผู้สื่อข่าวที่กังวลเรื่องนี้ว่า เรามาร่วมกันครั้งนี้ไม่ใช่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางสังคมหรือการเมือง แต่เรามาเมื่อเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังนำไปสู่ความวุ่นวายในทางการเมือง โดยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยการจะพยายามทำให้คุณทักษิณกลับมาโดยไม่มีการจัดการเรื่องความถูกต้อง เพราะฉะนั้นคิดว่า ในการที่คุณทักษิณกลับมาต้องใช้ 2 เรื่องเท่านั้น ก็คือ ธรรมะ คือความถูกต้อง กับกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระ ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ารัฐบาลประกันในเรื่องนี้ และการเคลื่อนไหวไม่ได้หมายความว่าจะต้องมุ่งไปสู่การชุมนุม ไม่ใช่ การเคลื่อนไหวมีหลายรูปแบบ ขอยืนยันว่า เราพร้อมจะเข้ามาแก้ไขวิกฤตทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังสร้าง เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนครับ
สนธิ - ผมฝากนิดหนึ่งนะครับ ท่านสื่อมวลชนอยากจะพาดหัวว่า พันธมิตรฯ ประกาศชุมนุม แล้วพยายามจะให้เรายืนยันว่า จะมีชุมนุมหรือเปล่า อันนั้นก็คือคีย์เวิร์ดที่ท่านต้องการ แต่จริงๆ แล้วคีย์เวิร์ดที่สำคัญกว่านั้นถ้าท่านอ่านในแถลงการณ์ ท่านจะเห็นว่าเราบอกว่า เราพร้อมจะเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ ส่วนรูปแบบไหน ท่านต้องไปวิสัชนาเอง ผมให้ปุจฉาไปเรียบร้อยแล้ว อย่างที่ท่านพิภพพูด การชุมนุมนั้นต้องเป็นเรื่องที่ประชาชนเรียกร้อง ถามว่าจะมีโอกาสไหม ก็ตอบว่า ขึ้นอยู่กับการกระทำของรัฐบาล ขึ้นอยู่กับคุณทักษิณ ถ้ายังกระทำในทิศทางที่ไม่ใช้ธรรมนำหน้าโอกาสก็มีแน่นอน วิธีการอื่นมีอีกเยอะแยะไปหมด ในขณะนี้เราเพียงแต่ระดมให้กับประชาชนทั่วประเทศไทยพร้อมที่จะลุกขึ้นมาในรูปแบบใดก็ตามที่เราจะเสนอเข้าไป ซึ่งถามว่ามีหรือยัง บอกยังไม่มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องมาบังคับให้เราพูดว่าจะมีการชุมนุมหรือเปล่า เพียงเพื่อต้องการจะพาดหัวข่าว หรือว่าให้พิธีกรบอกว่า พันธมิตรฯ ประกาศชุมนุม ไม่ใช่ครับ นะครับ