xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” จวก “เพ็ญ” ไม่คู่ควรตำแหน่ง - ลอบกัด “สนธิ-ผู้จัดการ” ในสภา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จวก “จักรภพ” ไม่เป็นผู้ใหญ่ ฉวยโอกาสด่า “สนธิ-เครือผู้จัดการ” ข้างเดียวในสภา ติง “ทั่นยุทธ” ไม่ตักเตือน แถมปิดไมค์อดีตพันธมิตรฯ ที่ลุกขึ้นตอบโต้ ย้ำอดีตแกนนำ นปก.ไม่คู่ควรเก้าอี้ รมต.คุมสื่อ เหตุพฤติกรรมยังเหมือนแกนนำม็อบ จับตา “หมัก” ประกาศปลดแอก “แม้ว” เพื่อใคร

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์  ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 20 ก.พ. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ โดยได้กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ อภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา พาดพิงถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อในเครือผู้จัดการ ทั้ง เอเอสทีวี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เว็บไซต์ และวิทยุชุมชนคลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน ว่า เป็นสื่อทีมีปัญหาสร้างวิกฤติความแตกแยกในบ้านเมือง ทำให้เขาต้องเข้ามาจัดระบบสื่อ ซึ่งถือว่านายจักรภพได้ประกาศเป็นปฏิปักษ์กับสื่อในเครือผู้จัดการ และเป็นที่ชัดเจนว่าที่นายจักรภพเคยพูดถึงสื่อที่มีปัญหาก่อนหน้านี้ หมายถึงใคร

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้นำเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งจำคุกนายสนธิในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ ฟ้องหมิ่นประมาท มาอ่าน เป็นการตำหนิติเตียนนายสนธิในสภา โดยที่นายสนธิไม่ได้มีโอกาสได้ไปตอบโต้ ทั้งที่คดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด และนายสนธิไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนว่านายจักรภพ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่สมกับที่ได้เป็นรัฐมนตรี คิดแต่ว่าตัวเองยังอยู่ในม็อบ ขณะที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา ก็ไมได้เสนอข้อคิดอะไร หรือติติงนายจักรภพเลย ที่เอาคนภายนอกมาตำหนิติเตียนในสภา โดยไม่มีโอกาสได้เข้ามาชี้แจง

ขณะเดียวกัน เมื่อนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงที่มีการพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 และบอกว่าภูมิใจที่ได้ร่วมเคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขับไล่ระบอบทักษิณ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ประธานในที่ประชุมได้ปิดไมโครโฟนเสียก่อน

ผู้ดำเนินรายการได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในการประชุมรัฐสภาครั้งนี้ หากใครที่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ ลุกขึ้นอภิปรายก็จะถูกประท้วงตลอด เริ่มตั้งแต่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่วันแรกๆ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ สนช.ทำหน้าที่ ส.ว. ที่อภิปรายตำหนิทุกพรรคการเมือง ก็มีคนประท้วงว่าให้ไปหาหมอดีกว่า แม้กระทั่งนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคพลังประชาชน ประท้วงแถมเยาะเย้ยว่าสื่ออย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์รับเข้ามาได้อย่างไร

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า การประชุมสภาวันนี้ดูเหมือนคนที่เป็นประธานจะควบคุมอะไรไม่ได้ รัฐมนตรีที่อยู่ฝ่ายบริหารก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และเป็นเรื่องน่าเสียดายที่นายจักรภพ เคยเข้าเฝ้าฯ แล้ว แต่ความเป็นผู้นำยังมีอยู่หรือเปล่า เมื่อดูจากการใช้คำพูดคำจา ก่อนที่นายจักรภพจะมาจัดระบบสื่อ ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มที่หรือยัง

การที่นายจักรภพ บอกว่าสื่อในเครือผู้จัดการสร้างความวุ่นวาย แล้วทำไมนายจักรภพจึงใช้เวทีของพีทีวีขับไล่ทหาร นายจักรภพเคยเป็นสื่อ วิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ไม่รู้เลยหรือว่าสมัยรัฐบาลทักษิณเคยแทรกแซงสื่อออย่างร้ายกาจเพยงใด ทั้งรายการวิทยุ รายการทีวีถูกปิดมากมาย ถ้านายจักรภพมีจิตวิญญาณความเป็นสื่อทำไมไม่ถอนตัวออกมาจากรัฐบาลชุดนั้นที่ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อ

ผู้ดำเนินรายการกล่าวอีกว่า นายจักรภพเคยเป็นสื่อ กลับใช้วิธีคิดแบบนักการเมือง ทำการตำหนิติเตียนคนอื่นโดยที่ไม่มีโอกาสชี้แจง เขากล่าวหาว่าคนอื่นไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด มีแต่เสนอข่าวด้านเดียว แต่นายจักรภพกลับใช้เวทีประชุมสภาในการด่าคนที่อยู่ข้างนอก

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของพันธมิตรที่ก่อนรูปขึ้นมาได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดจากการปิดกั้นสื่อ ประกอบกับกระบวรการตรวจสอบทั้งหมดพิกลพิการ พรรคฝ่ายค้านที่มีเสียน้อยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ส.ว.ขณะนั้นก็ไปสรวลเสเฮฮากับรัฐบาล ประชาชนจึงไม่รู้จะพึ่งใคร จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวและชุมนุมกันอย่างสงบตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ

ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า รัฐบาลจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่นั้น ไมได้อยู่ที่รูปแบบ รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งก็ใช้วิธีการเผด็จการแทรกแซงสื่อได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารกลับเปิดโอกาสให้มีการใช้สื่อด่าทอตัวเองอย่างเปิดเผย มีการถ่ายทอดสดการด่ารัฐบาล เพราะฉะนั้นอะไรคือเผด็จการ อะไรคือประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ที่การหย่อนบัตร แต่อยู่ที่การเปิดให้ประชาชนมีอิสระในการรับข้อมูลข่าวสารต่างหาก

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า น่าเสียดายที่นายจักรภพเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยังไม่มีข้อสรุปไปอ่านเพื่อตำหนินายสนธิ แต่นายจักรภพลืมไปว่า ก่อนหน้านี้มีคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทยที่นายจักรภพเคยสังกัดอยู่

คำวินิจฉัยดังกล่าว ให้เหตุผลว่า พรรคไทยรักไทยได้ก่อให้เกิดวิกฤติทางการเมือง ดำเนินการไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เป็นภัยต่อของความมั่นคงของชาติ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้านายจักรภพเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปอ่าน แล้วหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงการยุบพรรคที่ตัวเองเคนอยู่ ก็น่าเสียดายที่คนแบบนี้มาเป็นรัฐมนตรีที่คุมสื่อ

**ทางเลือกของ"นายกฯหมัก"

ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงท่าทีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ปฏิเสธข่าวการไปตีกอล์ฟกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชาว่า หลังจาก 3 สัปดาห์ผ่านไป หลังการเข้ารับตำแหน่งนายกฯ นายสมัครเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีพฤติกรรมที่มีนัยทางการเมืองว่าไม่แคร์ความรู้สึกของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่าไหร่ จนเชื่อกันว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษัณไม่ไว้ใจนายสมัครแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากกรณีที่เว็บไซต์ไฮทักษิณยอมถอดบทความโจมตี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และครอบครัวออกจากเว็บไซต์ การตั้งนายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน ชิดชอบ ที่นายสมัครเคยกีดกันไม่ให้ร่วม ครม. ไปเป็นประธานวิปรัฐบาล และการตั้ง พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณเป็นโฆษกรัฐบาล ทั้งที่นายสมัครอยากได้นายจักรภพ เหมือนเป็นความพยายามประนีประนอมเพื่อประสานรอยร้าวภายในพรรคพลังประชาชนเอง

ทั้งนี้เป็นเหลี่ยมคูทางการเมืองของนายสมัคร ที่รวบตำแหน่งสำคัญๆ ไว้ดูแลเอง แต่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอะไร เช่น ประธานวิป นายสมัครสามารถผ่อนปรนให้คนอื่นได้

ผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ว่า ท่าทีของนายสมัครขณะนี้สามารถมองได้ 2 ทฤษฎี ทฤษฎีแรกคือนายสมัครกำลังอำพรางตัวเองว่าไม่เป็นนอมินีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อไม่ให้ถูกยุบพรรค ซึ่งเท่ากับว่านายสมัครกำลังหลอกคนทั้งประเทศ หรือทฤษฎีที่ 2 นายต้องการสลัดคราบการเป็นนอมินีตั้งแต่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ เพราะต้องการอิสรภาพ ไม่อยากถูกประณามว่าเป็นนายกฯ หัวตอ

ทฤษฎีที่ 2.นี้ ยังแยกย่อยได้ 3 แนวทาง คือ 1.นายสมัครต้อวงการรวบอำนาจทั้งหมด เพื่อต่อรองกับ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือ 2.เพื่อประคองอำนาจให้อยู่ยาวที่สุด หรือ 3.รวบอำนาจเพื่อทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้เต็มที่ ซึ่งข้อนี้เป็นไปได้น้อย หรือข้อ 4. สถาปนาอำนาจตัวเองเพื่อเข้าสู่อำนาจอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม นายสมัครอาจนึกถึงเกียรติภูมิของวงตระกูล และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานพระบรมราโชวาทต่อนายสมัครและ ครม. เมื่อวันที่ 6 ก.พ. รวมทั้งได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสมัครเข้าเฝ้าก่อนเป็นเวลา 30 นาทีด้วย ถ้านายสมัครยังอยู่ในปัจจัยที่ว่าตัวเองยังจงรัก ต้องทำงานเพื่อ 63 ล้านคนตามแนวพระราชดำรัส ปัจจัยทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไป




กำลังโหลดความคิดเห็น