xs
xsm
sm
md
lg

“เพ็ญ” เต็มเหนี่ยวจัดระเบียบสื่อขู่ 1 เดือน เด้งอธิบดีกรมประชา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เพ็ญ” เข้มลั่นจัดระเบียบสื่อทุกประเภท แบะท่าชัดบีบอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ใช้อำนาจจัดการ ขู่ทำไม่ได้เด้งพ้นเก้าอี้ภายใน 1 เดือน ปัดเข้าไปเปลี่ยนแปลงเพลงชาติชี้แค่ข่าวลือ

วันนี้ (21 ก.พ.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฐานะรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการย้าย นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ว่า ขณะนี้มีข่าวลือมากเกี่ยวกับอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยากจะเรียนว่าในฐานะที่มากำกับดูแลงานด้านนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะต้องมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ที่เกี่ยวกับข้าราชการประจำ และไม่ได้คิดว่าการโยกย้ายข้าราชการประจำ เป็นการแสดงการทำงานของฝ่ายการเมืองแต่อย่างใดเลย

“แต่ผมจำเป็นจะต้องพิจารณาดูว่า ข้าราชการประจำตำแหน่งใดไม่เฉพาะท่านอธิบดีเท่านั้นที่สามารถจะวางตัว และทำงานสอดคล้องต่อกรอบนโยบายใหม่ได้หรือไม่ เป็นการปรับคนกับงานถ้าหากจะมีเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในขั้นนี้ยังไม่มีดำริและยังไม่มีการพิจารณาเกี่ยวกับตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลง หรือว่าเป็นการนำคนในหรือคนนอกเข้ามาก็ตาม เพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็ให้สบายใจได้ในขั้นหนึ่งครับ” นายจักรภพ กล่าว

รมต.สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ในระยะนี้ข่าวลือเยอะก็ขอให้พี่น้องสื่อมวลชนมาขอตรวจสอบก่อน อย่างเมื่อวานก็มีข่าวที่ไม่แพร่กระจายนัก แต่ก็ฟังดูไม่ดีเช่นว่า ได้ไปสั่งการเกี่ยวกับเรื่องเปลี่ยนแปลงเพลงชาติไทย ก็ได้มีข่าวลือในสายทำเนียบว่าไปยุ่งเกี่ยวกับเพลงชาติไทยว่าเร็วไปบ้างช้าไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ไม่ได้คิดว่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้

“เพราะฉะนั้นข่าวลือใดๆ ก็ตามที่มากับกระแสการโยกย้ายควรหยุดได้แล้ว เพราะว่าไม่มีประโยชน์ และไม่มีผลกระทบต่อผม ผมจะดำเนินการตามผลการประเมินว่าสามารถทำตามนโยบายได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องอดีตไม่ใช่เรื่องปัจจุบัน แต่ยอมรับครับว่าปัจจัยเรื่องการสนับสนุนเผด็จการ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการพิจารณา เพราะนี่คือรัฐบาลประชาธิปไตยก็มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคนั้นด้วย เพียงแต่ว่าอะไรคือ เกณฑ์อะไรคือผลการประเมินว่าตรงไหนคือเชื้อโรคจะต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งที่จะบอกกล่าวต่อไป”

เมื่อถามว่า จะใช้เวลาในการประเมินเท่าใด นายจักรภพ กล่าว “น่าจะไม่เกิน 1 เดือนนี้ครับ ในส่วนของตำแหน่งนี้ และผมจะใช้เกณฑ์ในการพิจารณาทุกตำแหน่งที่ผมดูแล แต่ว่าถ้านำมาสู่การเปลี่ยนแปลงจริงก็จะต้องแจ้งให้ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น อาจจะไม่ใช่เหตุผลนี้ก็ได้” นายจักรภพ กล่าว ส่วนจะเข้าตาหรือไม่เข้าตานั้น เรื่องนี้ตนเขียนไว้แล้วไม่ต้องใช้เวลาดูเพิ่มเติมเพียงแต่ใช้เวลาในการดูการทำงานในระยะเฉพาะหน้าไปก่อน

นายจักรภพ กล่าวว่า เรื่องของกรมประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องดูแลมาก เพราะหลายประเด็นของกรมประชาฯยังไม่สะเด็ดน้ำ และเป็นเรื่องที่เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาและค้างคาอยู่อย่างนั้น เช่น วิทยุชุมชน ทีวีดาวเทียม เคเบิลท้องถิ่น ช่อง 11 จะปฏิรูปหรือไม่อย่างไร เหล่านี้เป็นสิ่งที่คาอยู่และไม่มีการสานต่อตนเองก็ต้องไปพัฒนาสิ่งเหล่านี้และการสานต่อ ก็คือ การสานต่อจริงๆ อะไรที่ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ก็ไม่ต้องเริ่มต้นให้เสียเวลาเรื่องช่อง 11 ได้ให้สัมภาษณ์ไปบ้างแล้วว่าจะไปดูที่เอสดียูว่าที่รัฐบาลชุดก่อนรัฐประหารทำไว้ ตอน รมต.สุรนันทน์ เวชชาชีวะ ดูแลอยู่ตอนนั้นทำไว้ตรงไหน ค้างไว้อย่างไร หากไปต่อได้ให้ไปสู่ได้สู่การปฏิรูปช่อง 11 ตามนโยบายของนายกฯตนก็อาจจะไปทางนั้นบ้าง แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะเก็บทางเลือกอย่างอื่นเอาไว้สำหรับการปฏิรูป ความจริงมีงานใหญ่หลายงานที่จะต้องทำเกี่ยวกับวงการสื่อแต่ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นการสร้างเวทีใหม่ๆ และพัฒนาเวทีให้มีความทันสมัยและมีความสมบูรณ์สำหรับที่สื่อจะไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ

เมื่อถามว่า แสดงว่า คนที่ถูกเปลี่ยนแปลงนั้นหมายถึงคนที่รับใช้เผด็จการมาตลอดใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่จำเป็น แต่หมายความว่า จะใช้เกณฑ์นั้นพิจารณาในทุกตำแหน่ง แต่ว่าถ้านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจริงก็ต้องแจ้งให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นอาจจะไม่ใช่เหตุผลนี้ก็ได้

เมื่อถามถึงการที่พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กลับมาจัดรายการวิทยุเหมือนเดิมเพื่อลดข้อครหาว่ารัฐบาลแทรกแซงสื่อ นายจักรภพ กล่าวว่า บังเอิญตนไปออกตัวแรงไปหน่อย เลยทำให้คนเกิดการเกรงกันแล้วก็วิพากษณ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา จริงๆ แล้วมันเป็นการต่อเรื่องกันไปเอง ทั้งนี้ เรื่องของการต่อเรื่องกันไปเอง ทั้งเรื่องของอาจารย์เจิมศักดิ์ ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงไปแล้วก็คงไม่ต้องพูดให้มันยาวขึ้นอีก และเรื่องของการจัดระบบสื่อแล้วคนไปพูดเพี้ยนเป็นจัดระเบียบ ซึ่งเหมือนจะเข้าไปคุมซึ่งไม่ใช่เจตนาของตนเลย แล้วก็เลยมาถึงเรื่องของตำแหน่งบางตำแหน่งเช่นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

“เหล่านี้ไม่ควรลากมาต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ความจริงมันคนละเรื่องเดียวกัน คือ มันเกี่ยวกับสื่อด้วยกัน แต่มันเป็นคนละการพิจารณา คำตอบก็คือว่าผมไม่ได้มีธงเกี่ยวกับอาจารย์เจิมศักดิ์หรือใครทั้งสิ้น ว่า จะจัดรายการหรือไม่จัดรายการ ก็เป็นเรื่องของกลไกการทำงานในเชิงสื่อสารมวลชนที่จะไปว่ากันเอง ก็ผมบอกไปแล้ว ได้แถลงกับสื่อมวลชนบ้างว่าผมเองมีทัศนะส่วนตัวเหมือนกับคนทั้งหลาย ผมไม่ได้เห็นว่า รายการอาจารย์เจิมศักดิ์มีประโยชน์มากกว่าคนอื่น และไม่ได้เห็นว่ามีโทษมากกว่าคนอื่น ที่สำคัญ ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะเข้าไปตัดสิน สังคมต้องตัดสินเอง เพียงแต่ว่าถ้ามีเจิมศักดิ์ 1 ได้ก็อยากให้มีเจิมศักดิ์ 2 3 4 5 6 ไปเรื่อยเพื่อให้เกิดความสมดุลในแง่ของข้อมูลข่าวสาร” นายจักรภพ กล่าว

นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ในที่สุดแล้วหลักปฏิบัติ ก็คือไม่ลดจำนวนของผู้ที่ประกอบวิชาชีพ เชิญท่านว่ากันไปตามเสรีภาพที่มี แต่ว่าตนจะไปมุ่งมั่นทางด้านการเพิ่มจำนวนคนในวิชาชีพนี้เพื่อจะให้เกิดความสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองเข้าสู่วงการสื่อมากขึ้น

เมื่อถามว่า แต่ในส่วนของเจ้าของคลื่นที่ได้รับสัมปทานจากรัฐเองก็คงจะไม่กล้าจ้างคนมานั่งพิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อการต่ออายุสัมปทาน นายจักรภพ กล่าวว่า มันไม่มีอย่างนั้นหรอก คือถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นขนาดนั้นไม่รอดสายตาสื่อมวลชนหรอก แล้วก็จะมองเห็นภาพต่อเนื่องกันเลย คือขณะนี้ต้องทราบว่าโจทย์มันเปลี่ยนในวงการสื่อสารมวลชน ในเรื่องของการทำรายการโทรทัศน์ วิทยุ และรับสัมปทานต่างๆ ต่อไปจะมีมากจนกระทั่งไม่มีคนทำ ฉะนั้นเราอย่าห่วงเลยว่าใครจะได้สิทธิในการทำ แต่ควรเป็นห่วงว่าจะไม่มีคนเพียงพอที่จะมาทำงาน

“ผมเองมองข้ามชอตไปแล้วเรียบร้อยว่าเราจะขาดคนทำงาน ทั้งในสื่อวิทยุ โทรทัศน์ แบบเดิมก็คือ ฟรีทีวี ฟรีเรดิโอ หรือสื่อสมัยใหม่อย่างทีวีดาวเทียม หรือวิทยุชุมชน เป็นต้น ทั้งหมดนี้ต่อไปจะเกิดปัญหามาก คือ ไม่มีคนมาที่จะมาประกอบวิชาชีพนี้ คนที่จบนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ ถ้าจะว่าไปก็ไม่กับสื่อที่จะเกิดขึ้น นี่ยังไม่ได้พูดถึงเว็บไซด์ ที่ทำเป็นทีวี วิทยุได้ ซึ่งต้องการบุคคลที่มีความสามารถ เพราะฉะนั้นการที่จะมาสาละวนกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ใช่นโยบายแน่ๆ เพราะฉะนั้นจะทำหรือไม่ทำอย่างไรก็เป็นเรื่องบุคคลนั้นและผู้เกี่ยวข้อง” นายจักรภพ กล่าว
/0110

กำลังโหลดความคิดเห็น