xs
xsm
sm
md
lg

“หมัก” วอนสื่อปิดปากขึ้นเงินเดือน ขรก.กันสินค้าขึ้นราคา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หมัก” ห่วงสินค้าราคาแพง รับปากจะเร่งแก้ปัญหาโดยด่วน ชี้การปรับราคาต้องเหมาะสมกับต้นทุนจริง ขณะเดียวกัน วอนสื่อปิดปากเสนอข่าวขึ้นเงินเดือน “ขรก.” อ้างสหรัฐฯทำได้ไทยก็ต้องทำได้ ยันโปร่งใสพอ

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "สนทนาประสาสมัคร"


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการ “พูดจาประสา สมัคร”ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 17 ก.พ.50 ว่า ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เป็นวันมาฆบูชา ทุกคนต้องเข้าใจ ต้องรู้ว่าอะไรอย่างไร จาตุรงคสันนิบาต อะไรต่าง ๆ เรียนหนังสือมาต้องรู้กันหมดแล้ว ที่รู้คือว่าขอได้อ้างอิงทั้งพุทธศาสนาหน่อย

นายสมัครกล่าวต่อว่า ตนนี่แหละที่ใช้ธรรม ใช้หลักการในพุทธศาสนา เอามาใช้ในการบริหารบ้านเมือง คือถ้าเราศึกษาเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เรื่องวันมาฆบูชา ไม่ใช่วันวิสาขบูชานะ วิสาขบูชานั่นคือประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ปฐมเทศนา ในวันเดียวกัน ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ สมัยเด็ก ๆ ต้องเรียน สมัยนี้ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ 4 เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อธิบายความง่ายๆ คือว่า ท่านได้ตรัสรู้ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ ในหลักพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าต้องไปหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ถึงจะรู้ว่าเมื่อดับทุกข์แล้ว มีความสุขอย่างไร แล้วสุดท้ายก็สอนเรื่องหนทางไปสู่ความดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย ก็เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นิโรธก็การดับทุกข์ มีความสงบอย่างไร มรรคคือหนทางไปสู่ทางดับทุกข์ ตนได้คุยเสมอเรื่องจราจรติดขัด ก็เป็นทุกข์ เงินเดือนน้อยก็เป็นทุกข์ ไม่มีเงินใช้ก็เป็นทุกข์ มีเงินมากก็เป็นทุกข์ แล้วทำอย่างไร ความทุกข์ต่าง ๆ เหล่านี้วันนี้ราคาสินค้าแพง โดยไม่มีเหตุผล ย่อมเป็นทุกข์แน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างนี้นายสมัคร เปิดโอกาสให้ประชาชนถาม โดยมีคำถามว่า ราคาสินค้าที่ขึ้นอยู่ในช่วงนี้ นายกฯ มีนโยบายหรือมีข้อคิดเห็นอย่างไรในการขึ้นราคา เพราะไม่ว่าจะเป็นข้าว ไข่ หรือสินค้าอุปโภคบริโภคตอนนี้ทุกอย่างขึ้นราคากันสูงหมด น้ำมัน น้ำตาลทราย น้ำปลา สินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อยากให้นายกฯ มีคำตอบให้กับประชาชนทุกคนด้วย และตอนนี้มีแม่ค้าหลายคนที่ค้าขายข้าวแกงหรืออาหารตามสั่ง เขาจะบอกว่าของแพงมาก ๆ เลย อยากให้ทนายกฯ ช่วยตรงนี้ด้วย เพราะของทะเลตอนนี้ก็แพงมาก ๆ ไหนจะค่าน้ำมัน ตอนนี้ก็เดือดร้อนกันไปหมด และอยากจะฝากบอกช่อง 11 ฝากบอกกับนายกฯ ว่า ค้าขายตอนนี้ตกต่ำซบเซามาก อยากจะให้ฟื้นฟูแบบเมื่อก่อนนี้ เร่งมือนิดหนึ่ง และช่วยบอกนายกฯ และกระทรวงพาณิชย์ด้วย ประชาชนเวลานี้ซื้อหมู บ่นกันแพง ค้าขายก็จะขายกันไม่ได้แล้ว คนจ่ายกับข้าวมาบอกว่าหมูทำไมแพงนัก ไม่มีการแก้ไขหรืออย่างไร และขอให้รีบ ๆ หน่อย ประชาชนสำคัญที่สุดเลยครับ คำถามสุดท้าย ขอฝากนายกฯ เรื่องราคาหมู ตอนนี้ราคาแพงมากประมาณกิโลกรัมละ 120 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ชมคงจะเห็น เคราะห์ดีที่ ตนพูดไว้อาทิตย์ที่แล้วว่า วันนี้สารคดีประจำสัปดาห์คือ แก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ ตั้งใจจะมาพูด และแสดงความเห็นไว้หลายที่หลายทางมาแล้ว วันนี้จะพูดกับประชาชนทั้งประเทศ ทางกรมประชาสัมพันธ์ก็เก่ง เขาไปถามพ่อค้าแม่ค้า ไม่ได้มีการตกแต่ง ไปถามแล้วก็เอามาสัก 4 รายการ

“นี่แหละครับความทุกข์เรื่องสินค้าราคาแพง อยากจะบอกให้ฟัง สินค้าราคาแพงได้ แต่ต้องแพงโดยมีเหตุผล โดยมีสัดส่วนของความแพง เวลานี้น้ำมันพืชขึ้นราคาไปทีหนึ่งขวดละ 4 บาท หมู 100 บาทขึ้นไป 120 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ นี่คือทุกข์ ต่อไปนี้ผมจะคุยเรื่องสมุทัย ท่านผู้ชมต้องทนฟังหน่อย ฟังตนคุยเรื่องนี้ก่อนแล้วถึงจะรู้ว่า มรรค สุดท้ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดมาตรการอะไรไว้อย่างไร จะคุยเรื่องสมุทัยคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์”

**สาธยาย"เศษสตางค์แก้ของแพง"

นายสมัคร กล่าวต่อว่า คนไทยชอบเทียบ อะไรก็เทียบต่างชาติ เทียบไปเทียบมา อ้างต่างชาติเสมอเลย คราวนี้ก็สมควรอ้าง ต้องอ้างประเทศสหรัฐอเมริกา ตนไปเรียนหนังสือที่นั่นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก่อนหน้า คนไปเรียนหนังสือรุ่นแรกๆ สงครามโลกเลิก ประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว และก่อนหน้านี้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อเมริกา เขามีเงินใช้ เขามีอยู่ 6 เหรียญ มี 1 ดอลลาร์ เหรียญ 50 เซ็นต์ เหรียญ 25 เซ็นต์ คนไทยไปอยู่ที่นั่นเรียกเหรียญสลึง เหรียญ 10 เซ็นต์ เรียกว่า dime เหรียญ 5 เซ็นต์ เรียกว่า nickel และเหรียญทองแดง เรียกว่า penny penny เล็กที่สุดเป็นสีทองแดง nickel ใหญ่กว่ามีใส่ข้างในด้วย 5 เซ็นต์ แล้ว dime เนื้อเนียนบางเล็ก 10 เซ็นต์ เหรียญสลึงเหมือนเหรียญ 5 บาทของเรา แต่กลม เสร็จแล้วเขาก็มีเหรียญ 50 เหรียญ 100 เหรียญ 1 เหรียญ เหรียญละเหรียญเขาเลิกแล้ว เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในคาสิโนหมด ไปใช้เวลาแจ็กพ็อตไหลลงมา 50 เซ็นต์ก็อยู่ในคาสิโน 25 เซ็นต์เป็นเหรียญที่ใช้หยอดเวลาทำ slot machine ต่าง ๆ

นายสมัคร กล่าวว่า จะพูดถึงเหรียญ 4 เหรียญนี้ ตนศึกษาเรื่องนี้คือไม่ได้ตั้งใจนักหนา แต่อ่านไปเจอ แล้วก็สะสมเอาไว้แล้วก็มาเล่าให้ท่านผู้ชมได้ฟังอย่างนี้ครับว่า อเมริกา 100 ปีก่อนเมื่อเขาออกเหรียญทองแดงมา เหรียญ 6 เหรียญนี่ 2 เหรียญหลัง 50 กับ 100 ออกทีหลัง แต่ 4 เหรียญแรก 100 ปีก่อนใช้กันอย่างไร 60 ปีก่อนใช้อย่างไร มาถึงตอนตนเรียนหนังสือ 40 ปีก่อนใช้อย่างไร จนถึงวันนี้ใช้อย่างไร เอาตอนที่ตนเรียนหนังสือ 40 ปีก่อน ซื้อ 98 ทอน 2 ซื้อ 97 ทอน 3 แน่นอนเลย

“ทำไมคุยเรื่องอเมริกาก่อน เพราะวันนี้จะพูดว่าวิธีแก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ นี่แหละครับคือเศษสตางค์อเมริกา คนอเมริกัน มหาเศรษฐีของโลก เศรษฐกิจใหญ่โตมโหฬาร มีแบงก์ 100 แบงก์ 50 มีแบงก์ 20 แบงก์ 10 แบงก์ 5 แบงก์ 1 เหรียญ แต่ก่อนมี 2 แต่เลิกไปแล้ว เชื่อไหมครับ 1 เหรียญที่เป็นธนบัตรใช้กันทั่วไปหมด พอเสร็จแล้วต้องมีที่เก็บเศษสตางค์ เสร็จเรียบร้อยแล้วธนบัตรใบละ 5 ใช้ใบละ 10 ใช้ ใบละ 20 ใช้ คนอเมริกันจะไม่พกธนบัตรเกินใบละ 20 ใบละ 50 ก็ไม่พก ใบละ 100 ก็ไม่พก ธุรกิจอะไรต่าง ๆ พวกมาเฟียใช้ธนบัตรใบใหญ่กัน ชาวบ้านธรรมดาจะใช้ไม่เกินใบละ 20 เขาทำอย่างนี้นะครับ 40 ปีก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ไปอเมริกาก็จะเจออย่างนั้น 40 ปีก่อนซื้อ 97 ทอน 3 ซื้อ 98 ทอน 2 และเราเห็นอะไรในอเมริกามาแต่ก่อนนี้ แต่ก่อนนี้เวลาซื้อไก่ 1 แพ็ค ราคา 1 เหรียญ คือ 100 เซ็นต์ จะเป็นน่อง ขา 1 แพ็ค 1 เหรียญ วันหนึ่งไก่แพง เขาขายอย่างไรครับ 101 ขึ้น 1 เซ็นต์ แปลว่าขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ 100 เซ็นต์เป็น 1 เหรียญ ไก่ 1 แพ็คขึ้น 101 เขาไม่ใช้ 1.00 เขาใช้ 101 เซ็นต์ ยังแพงอีก 102 103 104 เมื่อไรไก่ขึ้น 105 ชาวบ้านจะรู้สึกแล้วว่าสินค้าแพงแล้ว รัฐบาลอเมริกาทำอย่างไร”นายสมัคร กล่าว

**จวกสื่อตีข่าวขึ้นเงินเดือน ทำสินค้าขึ้นราคาล่วงหน้า

นายสมัคร กล่าวอีกว่า โปรดดูรัฐบาลไทยก่อน รัฐบาลไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ใครต่อใคร ต้องประกาศเลย รัฐบาลลงมติแล้ว มติครม.ออกมาวันนี้ จะเดือนไหนสุดแท้แต่ ออกมติ ครม.แล้วตกลงตัดสินใจว่า ให้ขึ้นเงินเดือน วันอังคารออกมา วันพุธสินค้าขึ้นกันแล้ว ไม่มีใครห้ามปราม ขึ้นกันเลยตามใจชอบ พอเสร็จเรียบร้อยไปอีกสัก 2-3 เดือน ใกล้ ๆ จะเดือนตุลาคม ตกลงได้ตัวเองแล้วว่าสถิติออกมาอย่างนี้ คนนั้นได้เท่านี้ ๆ ข้าราชการชั้นน้อยได้เท่านี้ ชั้นสูง ชั้นกลาง ได้เท่านี้ แสดงตัวเองมา

พอเห็นตัวเลขว่าใครได้เท่าไร จะขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ 8 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ รุ่งขึ้นสินค้าขึ้นอีกแล้ว สื่อก็บอกจำเป็นต้องเสนอข่าว บอกจะขึ้นก็ต้องเสนอข่าว ขึ้นเท่าไรก็เสนอข่าว พอวันที่ 31 ตุลาคม เอาอีกแล้ว วันนี้ข้าราชการรับเงินเดือน ๆ แรก เดือนใหม่ราคาเท่านี้ ขึ้นอีกแล้วสินค้า ออกข่าวเงินเดือนจะขึ้น ราคาสินค้าขึ้น ขึ้นเท่าไรสินค้าขึ้น วันนี้ขึ้นแล้ว สินค้าขึ้น 3 หน ทำไม โทษใครอย่างนี้

นายสมัคร กล่าวว่า ที่อเมริกา ไก่ขึ้นไป 105 แปลว่าสินค้าอาหารขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์แล้ว แล้วเป็นอย่างไร ขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เขาเรียกว่า Paycheck ธรรมเนียมของอเมริกามีมาจนบัดนี้ แล้วยังไม่เลิกด้วย และคนอเมริกันก็ถือธรรมเนียมว่า เงินเดือนไม่ให้ใครรู้ เงินเดือนได้เท่าไรไม่ให้ใครรู้ ถือเป็นความลับส่วนบุคคล ใครไปถามเสียมารยาทอย่างยิ่ง จนถึงวันนี้เงินเดือนใครก็เงินเดือนมัน พอเขาปรับเงินเดือนขึ้นไป เรารับ Paycheck ได้เงินเดือนขึ้น เงินเดือนขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ 8 เปอร์เซ็นต์ เขาขึ้นทันที เขาปรับทันที เขาทำกันเงียบ ๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่มีข่าวในหนังสือพิมพ์เงินเดือนขึ้น สินค้าขึ้นราคา บางทีถ้าเล็กน้อย เขาก็ไม่บ่นถึง นี่คือระบบของเขา เงินเดือนขึ้นแปลว่าจะมีเงินได้มากพอที่จะไปซื้อของพวกนั้นได้ อะไรอย่างอื่นจะปรับเล็กกว่าก็สุดแท้แต่ 1 เปอร์เซ็นต์ 2 เปอร์เซ็นต์ 3 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ เขาเป็นของเขาอย่างนี้ตลอดมาเลย

ทั้งนี้ ถ้าดูตามตำราอเมริกันเมื่อก่อน ย้อนหลังไปสัก 50 ปีก่อน 60 ปีก่อน 50 เลี้ยง 50 เป็นเกษตรกร 50 เป็นคนบริโภค 50 ต่อมาเขาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เป็นเกษตรกร 40 บริโภค 60 เกษตรกร 20 บริโภค 80 ต่อมาเกษตรกร 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งประเทศเกษตรกร 5 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าคนบริโภค 95 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายปัจจุบันเกษตรกรอเมริกันมี 2 เปอร์เซ็นต์ แล้วคนบริโภค 98 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าเขาใช้เครื่องจักรกลทุกอย่าง เขาเรียกว่าเป็น Mass Product

“ได้ประโยชน์อย่างไร ได้ประโยชน์ตรงนี้ วันนี้คนไทยรายได้ประจำวันรายได้ต่ำสุด สมมติผมให้ 200 บาท คนอเมริกันรายได้ต่ำสุดเท่าไร 1,600 บาท 8 เท่า คนที่ได้เงินเดือนต่ำสุดในอเมริกา ค่าแรงกรรมกรถูกสุดคือ 1,600 บาท คนไทยได้ 200 บาท วันนี้เข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต เข้าไปในตลาด ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไข่ใส่เป็นโหลเป็นแพ็ค ไข่ไก่ 1 โหลในประเทศไทยราคาโหลละ 30 บาท ลูกละ 2.50 บาท เข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชิคาโกวันนี้ โทรศัพท์ถามเท่าไร 31 บาท คิดเป็นเงินไทยแล้ว 31 บาท เงินเดือนวันละ 1,600 บาท ไข่ไก่โหลละ 31 บาท เงินเดือนวันละ 200 ไข่ไก่โหลละ 30 บาท ทำได้อย่างไร ก็เขาทำได้ เพราะเขามีระบบมีวิธีการ เพราะเขาเก็บเศษสตางค์ของเขาไว้ ต้องทอนเสมอ โปรดย้อนมาดูเมืองไทย”

**บ่นข้าวแกงขึ้นราคาทีละ 25-33 เปอร์เซ็นต์

นายสมัคร กล่าวว่า ย้อนไป 30 – 40 ปี ที่คุยนี้เพราะท่านที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ยังพอนึกออก ข้าวแกงจานละ 3 บาท ประเทศไทยข้าวแกงจานละ 3 บาท ราคาแถวบ้านข้าวราดแกง 3 บาท วันดีคืนดีค่าครองชีพขึ้น ข้าวแกงขึ้นเท่าไร 3.10 บาท 3.25 บาท 3.50 บาท 3.75 บาท ไม่มีข้าวแกงขึ้นมาราคาจานละ 4 บาท 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท คนร้องโวยวายไหม ไม่โวยวาย ทำไม เศษสตางค์ตอนนั้นเหรียญ 25 สตางค์ยังมี 50 สตางค์ยังมี แต่เขาขึ้น 1 บาท ไม่มีใครทักท้วง ข้าวแกงจาก 3 บาทเป็น 4 บาทเฉย ๆ ทราบไหมว่าขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ 33 เปอร์เซ็นต์ อาหารการกินขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์นี้ถ้าเป็นอเมริกาเกิดจลาจลแล้ว ของเราเฉย ๆ 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท อยู่ได้พักเดียว รำคาญเรื่องสตางค์จะเอา 5 บาทให้ได้อย่างไรไม่ทราบ ข้าวมากหน่อยแกงมากหน่อยขึ้นไป 5 บาท ไม่มีใครว่า ข้าวแกงจาก 4 บาทขึ้นเป็น 5 บาท 25 เปอร์เซ็นต์ ครั้งแรกขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ เผลอประเดี๋ยวเดียวข้าวแกงขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5 บาท ข้าวแกง 5 บาทเป็น 6 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ข้าวแกง 6 บาทไม่มี 7 บาท ไป 8 บาท 6 บาท ไป 8 บาท 33 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว ข้าวแกง 8 บาทไป 10 บาท 25 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เผลอประเดี๋ยวเดียว 10 ไป 12 20 เปอร์เซ็นต์ 12 ไป 15 25 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว 15 ไม่มี 16 - 17 – 18 - 19 ไม่มี 15 ไป 20 33 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เวลานี้ข้าวแกงมาตรฐานอยู่ในตลาด 25 บาท จะขึ้นเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นเป็น 30 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เห็นไหมขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ท่านดูก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาข้าวแกง

นายสมัคร กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมา 30 ปีที่ว่านี้ ข้าวแกงขึ้นจากจานละ 3 บาท มาเป็นจานละ 30 บาท 10 เท่า ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านลองโปรดดู พ่อค้าแม่ค้าข้าวแกงอย่าว่าตนก็แล้วกัน ต่อไปนี้เป็นความจริงที่ปรากฏขึ้น ย้อนลงไปหน่อยเอาตอนที่ว่าข้าวแกงจานละ 20 บาท แล้วข้าวแกงบอกว่าน้ำมันแพง อะไร ๆ แพง แก๊สแพง ขึ้นมาเป็นจานละ 25 บาท ถามว่ายุติธรรมกับผู้บริโภคไหม ขึ้นมาทีเดียว 25 เปอร์เซ็นต์ โปรดดู สินค้าเวลานั้นถ้าดูกันจริง ๆ เครื่องปรุงอะไรต่ออะไรทั้งหลายทั้งปวง วันหนึ่งค่าเครื่องปรุงอาจจะจ่ายแพงขึ้นไปสัก 50 บาท แม่ค้าขายข้าวแกงเฉลี่ยขายได้วันหนึ่ง 100 จาน แม่ค้าขายได้ 100 จาน แม่ค้าลงทุนมีกำไรพอสมควร วันหนึ่งข้าวของแพงขึ้น คือแทนที่จะได้กำไรอีกสัก 50 บาท ก็หดไปเพราะของแพง 50 บาท ถ้าหากเป็นความเป็นธรรม ถ้าแม่ค้าขึ้นข้าวแกงจานละ 1 บาท คือขาย 21 บาท แม่ค้าขาย 100 จาน วันหนึ่งแม่ค้าก็ขายได้กำไรมากกว่าธรรมดา 100 บาท แล้วไปจ่ายค่าที่แก๊สแพงอะไรแพงไปอีก 50 บาท แม่ค้าก็กำไร 50 บาท เอาไว้ไปซื้อของอะไรที่แพงขึ้นด้วย นี่คือความเป็นธรรม

นายสมัคร กล่าวต่อว่า ความเป็นธรรมอย่างนี้เกิดได้หรือไม่ ต้องเกิดได้หากว่าเรามีเศษสตางค์สำหรับทอน ถามว่าเหรียญบาทเป็นเศษสตางค์ไหม เห็นเหรียญตั้งบาทจะนับเป็นเศษสตางค์ก็ได้ เมื่อตอนที่มีเหรียญ 25 สตางค์ เหรียญ 50 สตางค์ เดี๋ยวนี้ 1 สตางค์ก็ยังไม่เลิกใช้ เขาเอาไว้ใช้สำหรับเวลาแสดงว่าเงินคงเท่าไร ต้องแสดงให้ดูว่ามีเท่าไร แต่ 25 สตางค์ เหรียญ 50 สตางค์ ยังพอคิดกันอยู่ได้อยู่ในตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ตเขาใช้เครื่อง ออกมาเป็นทศนิยม .25 .50 .75 ไม่เป็นปัญหา นั่นความเป็นธรรมพอมี

“แต่ว่าเหรียญ 1 บาท ถ้าคนไทยมาคิดวันนี้ แล้วเทียบกับอเมริกาเมื่อ 100 ปีก่อน เมื่อ 50 ปีก่อน เมื่อ 40 ปีก่อนที่ผมไปเรียนหนังสือ ถ้าคิดวันนี้ ถ้าเหรียญ 1 เซ็นต์ของอเมริกา คิดกันว่ากำลังนี้ของเหรียญไทยเล็กที่สุดที่มองเห็นได้ 1 บาท ถ้าเราจะเก็บเหรียญ 1 บาท 5 บาทไว้ เก็บ 10 บาทไว้ เอา 3 เหรียญนี้ และธนบัตรก็ใบละ 20 บาท ใบละ 50 บาท ยังใช้อยู่ ใบละ 100 บาทยังใช้อยู่ ธนบัตร 3 ใบ 20 – 50 – 100 บาท เหรียญ 3 อัน 1 บาท 5 บาท 10 บาท ถ้าเราเก็บอันนี้ไว้ได้ เก็บ 3 อันนี้ไว้ได้ ลองดูตอนแม่ค้าขึ้นราคา แม่ค้าขึ้นราคาแม่ค้าขายข้าวแกง 20 บาท เขาซื้อ 21 บาท ถ้า 21 บาท ก็ให้ไป 30 บาท ทอน 9 บาท เหรียญ 5 1 อัน เหรียญบาท 4 อัน บรรยากาศนี้เกิดได้ไหม

“ผมบอกถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ แวะไปดูที่ร้านนิตยา ร้านนิตยาที่ขายน้ำพริก เขาขายกับข้าวด้วย ที่ปากซอยรามบุตรี ถนนจักรพงษ์ ไปดูสิครับ เหรียญบาทเป็นจานเลย คือเขายินดีทอน แสดงว่าเขาต้องมีราคาสินค้าของเขาซึ่งต้องทอนด้วยเศษสตางค์ เหรียญบาทกลายเป็นเศษสตางค์ที่เล็กที่สุดในประเทศไทย เอาอย่างนั้น ถ้าเก็บไว้ได้ ซื้อเท่าไร 21 บาทเขาก็ทอน 9 บาท ซื้อ 26 บาทเขาทอน 4 บาท เขาจัดเขาทอนอยู่ตลอดเวลานี้ ผมเห็นแล้วบอกว่าผมจะเอาไปคุยให้ฟัง ผมเห็นเหรียญบาทกองไว้อย่างนั้นน่าชื่นใจ แปลว่าเขาเต็มใจทอนครับ แปลว่าแม่ค้าถ้าขึ้นราคา ข้าวแกงขาย 20 บาทขึ้นไป 21 บาท แม่ค้าขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ราคาอาหารขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์พอสมควรแก่เหตุ วันหนึ่งขาย 100 จาน ก็ขายได้เพิ่มอีก 100 บาท ของทั้งหลายแพงขึ้นอีก 50 บาท แม่ค้าก็ไปซื้อของแพงอื่นอีก 50 บาท นี่คือความเป็นธรรมในสังคม เรื่องอย่างนี้เราคิดกันบ้างไหมว่าเพราะเราเอาเศษสตางค์โยนทิ้งไป เพราะเราไม่เข้าถึงเศษสตางค์ เพราะไม่มีความร่วมมือทุกฝ่าย และเพราะทางราชการเองไม่เอาใจใส่”นายสมัคร กล่าว

**ย้อนอดีตราคาไม้ขีดไฟ

นายสมัคร กล่าวต่อว่า ท่านทั้งหลายที่อายุใกล้เคียงตน อ่อนแก่กว่านั้นหน่อย แต่ท่านต้องนึกออก ไม้ขีดไฟบ้านเรา เป็นตัวให้เห็นเลยว่าเศษสตางค์หายไปแล้วเดือดร้อนอย่างไร ไม้ขีดไฟตอนที่ตนเป็นหนุ่ม ๆ ไม้ขีดไฟกลักละ 25 สตางค์ ไปดูอัตราส่วนขายส่งกลักละ 18 สตางค์ คนขายได้ 7 สตางค์ เศษสตางค์ตอนนั้น 1 สตางค์ไม่ใช้ไม่หยิบกันแล้วก็ตาม แต่ว่า 25 สตางค์ยังใช้อยู่ ไม่ขีดไฟกลักละ 25 สตางค์ คนขายส่งขายกันมานานเลย จะตราอีแปะหรือตราพญานาค 25 สตางค์ ต้นทุน 18 สตางค์ ขายปลีก 25 สตางค์ กำไร 7 สตางค์ อยู่มาพักหนึ่งหลายปีต่อมาบอกว่าไม่ไหว ต้องขึ้นราคาแล้ว เขาขอขึ้นอย่างไร เขาขอขึ้นราคา 4 สตางค์ คือขึ้นราคาจากขายส่ง 18 สตางค์เป็น 22 สตางค์ ให้ขายปลีก 30 สตางค์ แล้วคนขายปลีกเคยได้ 7 สตางค์ ก็ได้เป็น 8 สตางค์ คนนั้นได้ 4 สตางค์ ทางนี้ได้ 8 สตางค์ แล้วเป็นอย่างไร ไม้ขีดไฟกลักละ 30 สตางค์ได้หรือไม่ ไม่ได้ เพราะว่าสตางค์ที่จะทอนตรงนั้น ไม่มีสตางค์จะทอนกันตรงนั้นแล้ว เขาทำอย่างไร เขาขาย 3 กลัก 1 บาท ยุติธรรมครับ เขาอาศัย 3 กลัก 1 บาท ไป ๆ มา ใครจะซื้อไม้ขีดไฟทีละ 3 กลัก พวกสูบบุหรี่เยอะ ๆ เมื่อก่อนนี้เขาซื้อไม้ขีดไฟ เขาซื้อกลักเดียว กลักเดียวเอาเท่าไร 50 สตางค์ เห็นไหมโดนเข้าไปอีกแล้ว อยากซื้อกลักเดียว 50 สตางค์ 33 สตางค์ไม่มีสตางค์มาทอน เขาเสีย 50 สตางค์ บัดนี้ไม้ขีดไฟกลักละ 1 บาท ขึ้นราคาตอนไหน ตอนขึ้นจาก 50 สตางค์ไม่เป็น 75 สตางค์ด้วย ขาย 1 บาท ขึ้นราคา 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะอะไร เพราะไม่มีเศษสตางค์จะทอนกัน เลยขึ้นกันแบบนี้

นายสมัคร กล่าวต่อว่า ถามว่าถ้าวันนี้เรายังเก็บเหรียญบาทของเราไว้ได้ แล้วผลิตเหรียญบาทออกมา ขอนินทาความไม่เข้าท่าหน่อย ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิด ทำเหรียญ 2 บาทออกมา เคราะห์ดีที่ออกมาแล้วกระจายมาพอสมควร สับสนพอสมควร คนนับผิดนับถูก เสียหายกันไป ทำเหรียญ 2 บาท ทำทำไมเหรียญ 2 บาท ตนก็ลองไปหาสาเหตุ ทำไม เขาบอกว่าเหรียญเปล่า คือตัวเปล่าไปซื้อจากต่างประเทศ เราไม่ได้ผลิตเอง มีเกาหลี หลายประเทศในยุโรป ในเอเชียเกาหลีผลิต ขายเหรียญตัวเปล่า เหรียญที่ขนาดที่เราเลือกไว้แล้ว 1 เซนติเมตรกว่า ๆ กี่มิลลิเมตรแล้วแต่ ซื้อตัวเปล่ามา ถ้าสมมติว่าเราซื้อมา 50 สตางค์ เราไปตัว 1 บาทก็กำไร ทำอย่างนี้ 75 สตางค์กำไร บัดนี้เหรียญตัวเปล่านี้สมมติขึ้นมาสัก 1 บาทกับ 2 สตางค์ มูลค่า 1 บาทกับ 2 สตางค์ เขาคิดอย่างไร เอาเหรียญให้โตกว่าเหรียญบาทนิดหนึ่ง แล้วพิมพ์เหรียญเป็น 2 บาท โตกว่านิดหนึ่งแล้วเป็น 2 บาท แปลว่าคิดอย่างเดียวคือลงทุนในการทำสตางค์ คือหมายความว่ามีกำไรในการทำสตางค์ขึ้นมาอย่างนั้น คิดตรงนั้น เลยออกเหรียญสองบาท แปลว่าวัสดุโตขึ้นมานิดหนึ่งแต่มูลค่าได้เป็น 2 บาท คิดแบบนี้ขอประทานโทษ คือคิดแบบไม่คิดถึงอะไรในบ้านเมืองเลย

นายสมัคร กล่าวต่อว่า ตนบังเอิญได้อ่านสารคดีเรื่อง 1 penny ของอเมริกา สมัยก่อนเนื้อทองจริง ๆ ทั้งหมดมูลค่าเท่านั้น ต่อมาทองแดงแพงขึ้น คนอเมริกันทำอย่างไร เขารักษาเหรียญทองแดงอันนี้ไว้โดยวิธีการใส่วัสดุอย่างอื่นที่ถูกกว่าทองแดงลงไป ใส่ลงไป ๆ ราคาก็ยังไม่เกินมูลค่า เขาแก้ไข สียังคงเป็นทองแดงอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าราคาไม่เกินมูลค่า เห็นไหม แม้วันหลังเขาบอกราคาเกิน 1 penny มาแล้ว แต่เขาก็ต้องผลิตเหรียญ 1 penny เพื่อรักษาการซื้อ 98 ทอน 2 97 ทอน 3 เห็นไหมคนอเมริกันมีความคิด เขาคิดรักษาราคาสินค้าด้วยการเก็บเศษสตางค์ไว้ แม้จะต้องแพงกว่าตัวนี้ แต่ที่ต้องจ่ายแพงไป รัฐบาลจ่ายแพงเท่าไรแต่ราคาสินค้าที่ไม่ขึ้นพรวดพราดนั้นคุ้มค่ากว่ากัน นี่คือวิธีความคิดของคนที่เขาคิด คิดของเราเรื่องเศษสตางค์ ตอนคิด 1 บาทเป็น 2 บาท เพื่อจะรักษาว่า จะได้มีความสบายใจว่าราคามูลค่าไม่เกินกว่าราคาหน้าเหรียญ เห็นไหม แม้ถ้าเกินมาหน่อยแล้วยังทำอยู่ ถ้าอย่างนี้ 1 บาท 2 สตางค์ มูลค่า 1 บาท เราก็รักษาที่เสีย 2 สตางค์ แต่จะทำให้เหรียญนี้ได้ใช้ คิดอย่างนี้ให้ฟังก็เพื่อจะบอกว่ายังไม่สายเกินไป

** ชม“มิ่งขวัญ”รู้ใจระงับขึ้นราคาสินค้า 33 รายการ

นายสมัคร กล่าวต่อว่า “มาถึงตรงนี้ มาถึงตรงที่ว่าบอกถึงสมุทัยแล้ว สินค้าถูกต้องดีแน่นอน นั่นคือนิโรธ คนสบายใจ ไม่ใช่เรียกว่าถูก เรียกว่ายุติธรรม เรียกว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น บัดนี้รัฐมนตรีของผมชื่อมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย ดำเนินการ คุณมิ่งขวัญฯ ไม่ได้หารือผมเลย ได้ดำเนินการทำเหมือนที่ผมคิด และกระซิบบอกว่าผมได้ดำเนินการแล้ว 33 รายการ ทำอย่างไร ขอสนทนาขอตรวจสอบ แปลว่าอย่าง น้ำมันพืชขึ้นทีละ 4 บาท ขึ้นกระโดด 2 หน จาก 29 บาทกลายเป็น 40 บาท จะเป็น 50 บาท ได้อย่างไรครับ อั้นมานานขนาดไหนอย่างไร ถ้าจำเป็นไม่ว่า แต่ว่าถ้าไม่จำเป็นล่ะ

“เพราะฉะนั้น ดูสิครับเขาคำนวณแล้วเวลาแก๊สขึ้นราคา แม่ค้าทำกับข้าวแก๊สขึ้นราคานี้ เขาคำนวณเสร็จเลย ซึ่งก็ต้องน่าฟัง ข้าวจานหนึ่งแก๊สขึ้นราคาตามที่ขึ้นมาใหม่แล้ว เฉลี่ยข้าว 1 จาน 4 สตางค์ ความแพงของแก๊สที่ขึ้นอยู่ในจานข้าว 4 สตางค์ แล้วอะไร ๆ กับข้าวกับปลาแพงขึ้น ถ้าหากว่าแพงขึ้นสัก 1 บาท แล้วเวลาขายก็ปรับราคาขึ้นมา 2 บาท อย่างนี้เป็นธรรม เรียกว่าพอเป็นธรรม มันขึ้นมา 1 บาทเราเอาเป็น 2 บาท เพราะคนค้าขายจะได้มีกำไรด้วย แต่นี่ขึ้นมาเป็น 5 บาท อีก 3 บาทไปอยู่ในกระเป๋าของคนพวกนั้น 21 บาทไปเป็น 25 บาท แม่ค้าขายของซื้อของแพงไปวันหนึ่ง ขายของ 100 จานซื้อของแพงไปวันหนึ่ง 50 บาท ได้กำไรจานละ 1 บาทคือ 5 เปอร์เซ็นต์ จานละ 1 บาท 100 จานก็ได้วันละ 100 บาท ชดเชยความแพงที่ซื้อกับข้าว 50 บาท เอาไว้เอง 50 บาท ไปซื้อของอื่นแพง นี่เป็นธรรม แต่แม่ค้าขาย 25 บาท ขึ้นไป 25 บาทเลย แม่ค้าเสียแพง 50 บาทแต่ว่าได้เงินวันละ 500 บาท จานละ 5 บาท 100 จานก็ 500 บาท อย่างนี้เป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ อันนี้คุณมิ่งขวัญฯ ได้เริ่มต้นไปดู จัดการไปตรวจสอบทั้งหมด จะเจรจาความ คือเอามาดูกันเลยว่าเท่าไร แล้วต้องให้ขึ้นหรือไม่ ขึ้นต้องให้ขึ้น ต้องขึ้นแต่ว่าต้องมีความเป็นธรรม ในขณะเดียวกัน เมื่อดูตรงนี้เสร็จแล้วต้องดูรายได้ขึ้น

“เราจะตกลงกันได้ไหมครับว่า สื่อสารมวลชนต่อไปนี้ รัฐบาลจะปรับขึ้นเงินเดือน ไม่เป็นข่าว จะมีใครตายไหมที่โรงพิมพ์ คือไม่เสนอข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือน คือมาช่วยกัน ช่วยสังคมไทย ถ้าไม่ได้พาดหัวว่าขึ้นเงินเดือนแล้วจะเป็นอย่างไรไหม ขอประทานโทษเมื่อสักครู่นี้ วันนี้จะต้องถูกคนด่าอีก ไปถามว่าถ้าไม่ได้พาดหัวเงินเดือนขึ้นจะมีใครโรงพิมพ์ตายไหม ขอถอนครับเมื่อสักครู่นี้ เดี๋ยวก็ว่าอีก นี่เป็นแบบของผม ที่ว่าอดไม่ได้ต้องพูดกระแทกแดกดันไปอย่างนี้ ผมว่าหลายคนก็คิด ใครเป็นผมก็อาจจะต้องพูดอย่างนั้น ก็ถามขึ้นมา ประเทศอเมริกาไม่ล่มสลายเพราะไม่เสนอข่าวเงินเดือนขึ้น ไม่ล่มสลาย เพราะไม่จำเป็นต้องเสนอข่าวเงินเดือนขึ้น 3 หน ทำไมประเทศอเมริกาไม่ล่มสลายที่ว่าเงินเดือนเป็นความลับของแต่ละคน

“ประเทศอเมริกานั้นสิทธิเสรีภาพอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเลย ใครได้เท่าไร ใครไม่ได้เท่าไร คุณไม่ต้องถามคนอื่น คุณเอา Paycheck มาเปิดไม่ได้เลยว่าใครเขาได้เท่าไร ใครมาอ้างเท่าไร เราจะมีธรรมเนียมนี้ไหม ว่าต่อไปนี้เงินเดือนนั้นเป็นความลับ ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน การปรับปรุงเงินเดือนนั้นก็มีความเป็นธรรม ข่าวขึ้นเงินเดือน 3 หนไม่ออกข่าวเลย ทุกคนก็ยังอยู่ได้ แน่นอนทุกครอบครัวอยู่ได้เลย เพราะราคาสินค้าจะขึ้นไปตามสภาพของมันที่ต้องขึ้น และรายได้ก็จะปรับขึ้นมาตามสภาพที่ควรจะต้องปรับ เห็นไหมว่าถ้าเราเก็บเศษสตางค์ของเราไว้ แล้วถ้าเรามีความเป็นธรรม มรรค หนทางที่จะปรับปรุงคือที่รัฐมนตรีมิ่งขวัญฯ กำลังดำเนินการ 33 รายการ ผมจะตามดูอย่างใกล้ชิด นี่คือวิธีการแก้ปัญหา”นายสมัคร กล่าว

**จวกเขียงหมูกินกำไรเกินควร

นายสมัคร กล่าวต่อว่า เวลานี้เราอยากจะดูหมูขึ้นราคา จากกิโลกรัมละ 100 บาทเป็น 120 บาท หน้าฟาร์มถ้าหมูขึ้น 3 บาท แล้วทำไมถึงกลายเป็น 120 บาท ต้องดูเลย คนขายตั้ง 120 บาททุนคุณขึ้นมาเท่าไร คุณเอาเท่าไร อันนี้ที่จะตามไปดู ดูได้แน่นอน บางเรื่องบางอย่างเป็นสารคดีประกอบ อย่างหมู เมื่อก่อนนี้มีคนทะเลาะกัน เขาขายซากหมู คือหมูที่ทำมาแล้ว ผ่ามาเสร็จแล้ว กิโลกรัมละ 21.50 บาท รัฐบาลกำหนดต้องขาย 21.50 บาท ปรากฏว่าวิวัฒนาการของค่ารายการเลี้ยงหมูเจริญก้าวหน้า หมูหลังแอ่นมีมันเยอะ มีเนื้อแดงอยู่ 33 กิโลกรัม ต่อมาวิวัฒนาการหมูหลังตรงมันมีน้อย มันราคาถูก แต่เนื้อแดงแพง เนื้อแดง 43 กิโลกรัม เนื้อแดงเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม บริษัทที่ผลิตชนิดนี้ขึ้นมาก็บอกจะขอขาย 23 บาท รัฐบาลบอกว่าไม่ได้ แล้วท่านผู้ฟังลองฟังดู ซื้อหมูกิโลกรัมละ 21.50 บาท เอา 1 ตัวไปขายได้กำไร 150 บาท แต่ว่าถ้าซื้อหมูกิโลกรัมละ 23 บาท เอาไปขายจะได้กำไร 450 บาท ได้กำไรมากกว่ากัน 3 เท่า อย่างนี้ถ้าสมมติว่าให้เขาขายซากหมู 21.50 บาทเป็น 23 บาท แล้วแทนที่เขาจะขายได้กำไร 450 บาท เขาได้กำไรประมาณสัก 300 บาท แต่ว่าผู้บริโภคจะได้ซื้อของแพงขึ้นนิดหนึ่ง แต่คนขายได้แพงขึ้นอีกนิดหน่อย ฟาร์มก็จะขายได้ แปลว่าคนเลี้ยงเขาก็เลี้ยงอยู่ได้ เพราะเขาขายได้ 23 บาท คนมาขายก็ได้กำไรมากขึ้น แต่ว่าแทนที่จะขายได้กำไรตั้ง 450 บาท ได้กำไรแค่ 300 บาท คนบริโภคแทนที่จะต้องจ่ายแพง เขาก็จ่ายน้อยลงไปหน่อย นี่คือความเป็นธรรมในสังคมที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น

“เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ บริษัทขายหมูทั้งนั้น เลิกเลยครับ ไม่ให้ขาย ขายโดนจับ เลยเลิกเลี้ยงเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาจะฆ่าหมูทำหมูตั้งแต่ต้นจนปลาย ไม่ทำ ทำแค่ลูกหมู ขายลูกหมูตัวละ 500 บาท เอาไปเลี้ยงต่อตามใจชอบ และซากไปค้าขายกัน แล้วต้องบังคับให้ 21.50 บาท เห็นไหมครับ 21.50 บาท บังคับให้เขาขายอย่างนั้น เลี้ยงมาเสร็จเรียบร้อยต้องขาดทุนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วมาหากำไรตรงนี้ ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ทำให้เข้าที่เข้าทางตามระบบ คำนวณให้ดูหมดเลย มีชาร์ตให้ดูเลยว่ามีทุนเท่าไร คุณขึ้นราคาเท่าไร ขึ้นราคาต้องขึ้นได้โดยมีเหตุผล”นายสมัคร กล่าว

**เศษเหรียญช่วยมะกันตรึงราคาไข่

นายสมัคร กล่าวต่อว่า เรื่องไข่ไก่ แม่ค้าขายไข่ไก่ต่าง ๆ นี่ก็เกี่ยวกับเรื่องการอุปสงค์อุปทาน เรื่อง supply demand อะไรอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ต้องพูดกันให้ชัดเจนเลย ตอนก่อนตอนเด็ก ๆ บอกกินไข่ทุกวัน ๆ ละฟองไม่ต้องไปหาหมอ เดี๋ยวนี้บอกกินไข่ คนโต ๆ แล้วให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง บางคนกินไข่วันละ 6 ฟอง 6 x 7 = 42 กิน 42 ฟองตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มยังไม่ตาย แต่ว่าหมอบอกว่าให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง แต่ก่อนนี้บอกว่ากินไข่ทุกวัน ๆ ละฟองไม่ต้องไปหาหมอ นี่ต้องวัดให้แน่นอนราคาไข่จะได้คงที่ ตนเรียนแม่ค้าพ่อค้าทั้ง 4 คน ตนรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่บอกไว้ รับว่าจะต้องมาดู เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องดูแลเรื่องนี้ และจะต้องพยายามจัดการแก้ไขให้ได้ และขอให้เชื่อเถอะครับว่า แก้เรื่องเศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ มีโอกาสมากจริง ๆ เหรียญบาทขอให้เก็บไว้ เพราะถ้าหากว่าข้าวแกง 20 บาทเป็น 21 บาท ให้มา 30 บาทก็ทอน 9 บาท ให้มา 25 บาทก็ทอน 4 บาท ได้แน่นอน เรื่องอย่างนี้ให้ขึ้นได้แต่ค่อย ๆ ขยับขึ้น ขึ้นเป็นขั้น และรายได้นั้นควรจะดักหน้าอยู่กว่า และรายได้นั้นก็ควรจะเป็นความลับของแต่ละบุคคลที่ทำมาหาได้

แล้วแน่นอน คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมีใจเป็นธรรมที่จะต้องปรับปรุงรายได้ให้ใครเท่าไร อะไร อย่างไร เรื่องอย่างนี้ขอเรียนให้ทราบไว้ว่า งานในทางการเมืองต่างคนก็ต่างเข้ามา ยกคณะยกทีมเข้ามา บางคนก็มาทีมเดี่ยว ๆ รัฐบาลก่อนเขามาเดี่ยว ๆ รัฐบาลนี้มา 6 พรรคด้วยกัน นั่งกันเวลาปรึกษาหารือก็ต้อง 6 ความคิด เล็กบ้างใหญ่บ้างก็พยายามให้มีความคิดเท่าเทียมกัน ช่วยกันคิดช่วยกันอ่าน ช่วยกันทำ และในฝ่ายสื่อสารมวลชนทั้งหลาย ท่านก็คอยช่วยกันตรวจสอบ ไม่มีใครเก่งสุดยอดมาหรอก แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขนาดจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยถากถางกัน

**ยันขยายรางรถไฟ 1 เมตร

นายสมัคร กล่าวต่อว่า เมื่อเวลามาคุยอธิบายความ เรื่องรถไฟจะทำอย่างนี้ เรื่องนี้จะทำด้วยอย่างนี้ ๆ มีคนให้สัมภาษณ์เยาะเย้ยถากถางเลย “โง่เง่ามาพูดเป็นไปไม่ได้ รถไฟราง 1 เมตร สัญญากันแล้ว 6 ประเทศแถวนี้เซ็นสัญญาแล้วจะไม่ขยาย ผมบอกนั่นคิดแบบรถไฟก็คิดไปสิ ผมไม่ว่า ผมยังไม่แตะต้องรางเก่า แต่ว่าผมมีสิทธิที่จะทำรางใหม่ให้ จะไม่เชื่อมกับประเทศไหนก็ตามแต่ ไม่เชื่อม เวลานี้รถไฟมาเลเซียวิ่งถึงกรุงเทพฯ ไหม ก็วิ่งมาแค่ปาดังเบซาร์มาจ่อที่นั่น สุไหงโก-ลก ก็มาจ่อกันตรงนั้น รางไม่เท่ากันก็เปลี่ยนผู้โดยสารมาขึ้นรถของเรา

“และถามว่าจากพนมเปญเข้ามาหรือยัง ยันอยู่ตรงนั้น สงครามยังไม่เลิกตรงชายแดน รถไฟไม่เชื่อมกัน แต่รถไฟบอกไปเซ็นสัญญาบอกว่าจะผูกพันกัน 6 ประเทศใช้ราง 1 เมตร ไปเซ็นไว้แล้วเราจะเจริญไม่ได้ ถ้าเราจะพัฒนาของเราให้วิ่งเร็วขึ้น รถไฟบอกทำไม่ได้เพราะเหตุไปเซ็นกับเขาไว้ว่าต่อไปนี้ต้อง 1 เมตร คุณก็เอา 1 เมตรผูกไว้ เดี๋ยวผมจะทำใหม่ขึ้นมา แล้วต่อไปถ้าหากว่าเราทำจริง เร็วจริง เป็นประโยชน์จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เชื่อมกับใครเลย แต่บอกเซ็นสัญญากับเขาไว้ นี่คือเหตุ เหตุแห่งความไม่เจริญ แสดงความคิดเห็น หนังสือพิมพ์ลงข่าวเยาะเย้ยถากถาง นายกฯ สมัครฯ โง่ ใครเข้ามาจะต้องรถไฟ 1.435 ต้องคิดครับ ก็มันช้า จะทำให้เร็วก็ต้องรางกว้างขึ้น บอกไม่ได้เสียแล้ว ต้องได้ครับ ผมยืนยันอย่างไรก็ต้องได้”

**ฉุนโดนสื่อประชดอุโมงค์ผันน้ำโขง

นายสมัคร กล่าวต่อว่า เรื่องอุโมงค์ผันน้ำต่าง ๆ ตนบอกว่า ตนรู้จักแม่โขง ให้แม่โขงอธิบายความได้ชัดเจน ไปกระทรวงการต่างประเทศก็จะคุยเรื่องนี้แถมให้ฟัง ไปคุยกับต่างประเทศเขา ฟังความแล้ว เหตุผลต้องจำนนด้วยเหตุผล ยังจะมาอ้างอิงอะไรต่าง ๆ คือฟังความข้างเดียวแล้วก็พูด ตนไม่มีวันยอมอย่างนั้นหรอก ต้องทำ

“ที่น่าเสียดายตรงไหน น่าเสียดายตรงที่เข้ามายังนับวันถ้วน เป็นรัฐบาลยังไม่ถึงเดือนเลย ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่งประชุมได้ 2 หนเท่านั้นเอง งานก็กำลังทำ กำลังจะบอกว่าจะทำอะไรอย่างไรบ้าง สื่อสารมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ชื่อครึ่งไทยครึ่งฝรั่ง เขียนบทความด่าผมหยาบคาย ต่ำช้า พูดจาน่าเกลียดน่าชัง ผมเสนอโครงการพูดไป 3 โครงการเท่านั้น ใช้ชื่อบทความ 99,999 โครงการของนายสมัคร ทำไมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร คิดให้ฟัง 3 โครงการต้องใช้ 99,999 โครงการ พูดจาบอกเหมือนกับผมพูดจาเหมือนกับออกมาจากก้นพูด

“อย่างนี้อะไรกันครับ นี่หรือครับสื่อสารมวลชน พอเริ่มคิดให้ฟังเท่านั้น บอกกำหนดเลยว่าวันนี้เสร็จ ๆ มีรัฐบาลไหนทำล่ะครับ แสดงความคิดปั๊บให้ประกาศเลยวันนี้เสร็จ วันนี้เสร็จถึงจะเก่งจริง ผมไม่เก่งละครับ แต่ด่าผมหยาบคายเสียหาย ที่ด่ามานั้นน่าอายสำหรับวงการสื่อสารมวลชนทั้งหมด ว่านี่หรือสื่อสารมวลชน สติปัญญาเพียงเท่านี้หรือ ด่าเขาโดยยังไม่มีเหตุผล ด่าตั้งแต่ยังไม่ทำงาน พูดจาว่ากล่าวแบบชนิด มีหลายฉบับยังไม่อยากออกชื่อ ไม่อยากประกาศศัตรูกับใคร ผมต้องการจะทำดีให้บ้านเมืองนี้ ผมต้องการจะคิดดีให้บ้านเมืองนี้ แต่ไม่บ่นไม่ได้หรอกครับ ผมต้องขอใช้สิทธิผม ผมไม่ออกชื่อใครทั้งนั้น แต่มี ผมอ่านทุกวัน เขียนบทความว่ากล่าวกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ตั้งใจจะด่าก็ด่าตั้งใจจะว่าก็ว่า ตั้งใจจะเขียนต่าง ๆ แต่สมัยนี้ต้องมีอย่างที่ว่านี้ รายการอย่างวันนี้”นายสมัคร กล่าว

นายสมัคร กล่าวต่อว่า ต้องบอกให้ฟัง คนที่ทำอะไรไม่ดีจะได้รู้สึกบ้าง จะได้ไม่ทำอะไรตามใจชอบ ผู้อ่านเขาก็ซื้ออ่าน แต่อายคนอ่านเขาบ้าง ด่าเขาโดยไม่มีเหตุผล หยิบยกอะไรมาไม่เข้าท่า ถนัดติเรือทั้งโกลนก็นึกถึงสุภาษิตคนโบราณเขาบ้าง ยังไม่ทันจะเสนอความคิดเท่านั้น ฉับ ๆ ๆ ดูหมิ่นดูแคลนอะไรต่ออะไร เยาะเย้ยถากถางกันแล้ว

“ทำไมละครับ ทำไมบ้านเมืองเราถึงเป็นอย่างนี้ ผมต้องมาปรารภเอาไว้แล้วจะต้องพูดในสิ่งที่ว่าผมควรจะต้องพูด ใครบอกว่าพูดทำไม พูดเสียหาย ไม่อย่างนั้นครับ ยืนยันได้ว่าผมก็มีไมตรีดี กับสื่อสารมวลชนผมก็พูดจาให้ดี ผมเรียนฝากไว้ได้เลยครับ ใครที่ตั้งอาสากันมานี้ บอกว่าจะฟาดฟันทำให้สมัครตบะแตกขนาดนั้น ๆ ไม่มีวันได้หรอกครับ ไม่มีวันได้ตามที่ไปตกลงกับเขาไว้หรอก เพราะผมไม่มีวันทำให้คุณได้สมประโยชน์อย่างนั้น ผมระมัดระวัง และผมรับอาสามาทำงานให้บ้านเมืองนี้ ผมเข้าตามตรอกออกตามประตู มาอย่างถูกต้องถามวิถีทาง ผมจะรักษาวิถีทางตรงนี้ไว้ แล้วดูก็แล้วกันว่าจะไปได้ไกลสักแค่ไหน เขายกป้ายเวลาหมด ยังไม่จบหรอกครับ อาทิตย์หน้าก็มีเรื่องมาคุย จะหาเรื่องที่มาคุยแล้วเป็นประโยชน์ทั้งผู้ฟังที่อยู่ที่บ้าน ทั้งทางฝ่ายผมที่เป็นผู้ดำเนินการ”นายสมัครกล่าวทิ้งท้าย

กำลังโหลดความคิดเห็น