เมื่อภรรยาของหนุ่มขับรถแกร็บที่เป็นผู้พิการทางการได้ยิน ออกมาเปิดเผยเรื่องราวสุดใจร้ายที่สามีตนต้องเผชิญ หลังขับรถทางไกลกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปส่งลูกค้า กลับถูกลูกค้าเด็กเบี้ยวค่าบริการ 431 บาทต่อหน้าต่อตา โดยอ้างว่า "ไม่มีเงิน" ภรรยาระบายความเจ็บปวดว่าเงินจำนวนนี้คือ "เหงื่อแรงงาน" และ "ค่านมลูก" พร้อมวอนผู้ปกครองให้ออกมารับผิดชอบ เพราะไม่ต้องการให้ความใจร้ายนี้เกิดขึ้นกับคนทำงานหนักคนอื่นอีก
กลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจและจุดประเด็นเรื่องความรับผิดชอบทางสังคมอย่างรุนแรง เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์เปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่ สามีซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยินและทำงานขับรถส่งอาหาร-สินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ถูกลูกค้าเด็กเบี้ยวค่าบริการถึง 431 บาท หลังขับรถเป็นระยะทางไกลพิเศษ โดยผู้โพสต์ได้เปิดเผยว่า
สามีของตนต้องขับรถเป็นระยะทางที่ "โคตรไกล" ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากถนนตลาดพลู เขตธนบุรี ไปยังปลายทางที่ไกลถึงบางกะปิ ธัญบุรี ลำลูกกา ซึ่งเป็นระยะทางที่คนทั่วไปยังไม่อยากขับ
แม้สามีจะเป็นผู้พิการทางการได้ยิน แต่เขากลับเป็นคนที่ตั้งใจทำงานสุจริตทุกวัน ไม่เคยบ่น หรือขัดใจลูกค้าแม้สักครั้ง แต่สิ่งที่เขาได้รับในวันนี้คือความเจ็บปวด เมื่อถึงปลายทาง ลูกค้าซึ่งเป็นเด็กกลับบอกว่า "ไม่มีเงิน" แล้วทำท่าจะวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
"ค่ารถ 431 บาท สำหรับบางคนอาจจะไม่เยอะ แต่สำหรับเรามันคือเงินกิน เงินใช้ เงินค่านมลูก มันคือเหงื่อแรงงานของคนที่ตั้งใจทำงานทุกวัน สิ่งที่เจอวันนี้มัน 'ใจร้าย' มากค่ะ" ผู้โพสต์ระบุ
ภรรยาผู้โพสต์ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกทั้งโกรธ เสียใจ และสงสารสามีจนพูดไม่ออก เพราะนั่นคือการสูญเสียทั้งน้ำมัน เวลา แรงกายภายใต้แดดร้อน และแรงงานของคนที่พยายามทำงานหนักที่สุดอย่างสุจริต
เธอได้เรียกร้องไปยังผู้ปกครองของเด็กคนดังกล่าวให้ออกมารับผิดชอบต่อการกระทำของบุตรหลาน
"ถ้าไม่สอนลูกวันนี้ วันหนึ่งลูกเขาจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก และมันไม่แฟร์กับคนที่ทำงานหนักที่สุดอย่างสามีฉัน"
เจ้าตัวหวังว่าโพสต์นี้จะทำให้สังคมเห็นว่า งานแกร็บไม่ใช่งานฟรี คนขับทุกคนมีหัวใจ มีต้นทุน และมีชีวิตที่ต้องใช้เงินเหมือนกับคนอื่น ๆ


