‘พล.ร.อ.สุวิทย์’ ยกย่อง ‘พีระพันธุ์’ ผู้จุดประเด็นปกป้อง ‘หลัก 73' พิทักษ์เขตแดนทางทะเล ‘รวมไทยสร้างชาติ’ หนุนยกเลิก MOU 43-44 เสนอใช้สนธิสัญญาเดิมเป็นแม่บทแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
วันนี้ (20พ.ย.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พลเรือเอก สุวิทย์ ธาระรูป อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นหลักเขตที่ 73 ผ่านรายการ UTN talk ซึ่งเผยแพร่ทางเพจพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568
.
นายพีระพันธุ์กล่าวเปิดประเด็นว่า ตนเคยเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดตราดซึ่งเป็นที่ตั้งของหลักเขต 73 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หลังเกิดปัญหาพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา บริเวณพื้นที่ อ.อำเภอกันทรลักษ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้เขาพระวิหาร ในปี 2551 ด้วยความกังวลว่า ปัญหาเขตแดนทางบกจะกระทบต่อเนื่องลงมาถึงหลักเขตที่ 73 ซึ่งอาจมีผลต่อการลากเส้นแบ่งเขตแดนในทะเล และได้หารือความกังวลนี้กับ พลเรือเอก สุวิทย์ ในขณะนั้น เพื่อหาทางปกป้องเส้นแนวเขตแดนทางทะเลของไทย
.
นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาใน 2 เรื่องหลัก สถานการณ์แรกคือ หลักเขตที่ 73 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลากเส้นแบ่งเขตแดนในทะเล และสถานการณ์ที่สองคือ ทางกัมพูชาได้ถมทะเลออกไปเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร โดยอ้างว่าเป็นแนวกันคลื่น ซึ่งตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศบางฉบับ การถมทะเลอาจถือเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน และอาจทำให้เกิดการลากเส้นแบ่งใหม่ได้
.
ด้าน พล.ร.อ. สุวิทย์ ในฐานะที่เคยเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว และยืนยันว่า นายพีระพันธุ์เป็นผู้จุดประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับหลักเขตที่ 73 เป็นคนแรก
.
"คุณพีระพันธุ์เป็นคนแรกที่มีความกังวลเกี่ยวกับหลักเขตที่ 73 ซึ่งผมก็ดีใจ เพราะว่าความสำคัญของหลักเขตที่ 73 จะทำให้ความเปลี่ยนแปลงในเขตทะเลอย่างมาก เคลื่อนไปนิดหน่อย ก็ทำให้องศาเปลี่ยน องศาเปลี่ยนแล้วจะยิ่งกว้างไกลออกไปอีก แล้วสิ่งที่สำคัญคือผลกระทบต่อเรื่องทรัพยากรพลังงานใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะในเขตไหล่ทวีป "
.
นายพีระพันธุ์ยังระบุอีกว่า การสำรวจเขตแดนใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นที่ยอมรับมาตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศสทำไว้ มีการปักหลักเขต หลักหมุดเรียบร้อยแล้ว พร้อมแสดงความกังวลว่าหากมีการสำรวจใหม่ตั้งแต่ทางตอนเหนือ (ภาคอีสาน) ลงมา อาจส่งผลกระทบต่อหลักเขตที่ 73 ได้
.
นายพีระพันธุ์ และ พล.ร.อ.สุวิทย์ เห็นตรงกันว่า หากมีหลักเขตหายไป ก็ควรใช้สนธิสัญญาเดิมระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเป็นแม่บทในการค้นหาและปักแทนจุดที่หายไป เนื่องจากในสนธิสัญญาเดิมมีการระบุรายละเอียดของหมุดไว้อย่างชัดเจน เช่น อาศัยหลักธรรมชาติ หรือใช้สันปันน้ำเป็นหลักบนภูเขา หรือใช้ร่องน้ำในลำน้ำ ตนเสนอว่าควรจะแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่ตลอดแนว
.
ในประเด็นเกี่ยวกับ MOU 43 และ 44 นั้น นายพีระพันธุ์ชี้ให้เห็นว่า ทหารไทยและทหารกัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ในการปฏิบัติหน้าที่เหมือนกัน แต่ทำไม MOU 43 ถึงไปอ้างอิงแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชาพยายามนำมาอ้าง ผมพยายามหาความเป็นมาว่าการอ้างอิงแผนที่ที่ต่างกันนี้มีที่มาอย่างไร และโดยส่วนตัว ตนไม่เห็นด้วยกับ MOU 43 และ 44
.
ด้านการเผชิญหน้ากับความไม่เป็นสากลของกัมพูชา นายพีระพันธุ์และ พล.ร.อ. สุวิทย์ ต่างเห็นพ้องว่า ฝ่ายไทยมีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่กัมพูชามักทำอะไรตามอำเภอใจและไม่สนใจหลักเกณฑ์สากลมาตลอด เช่น การขีดเส้นตรงแทนการใช้ร่องน้ำตามสนธิสัญญาเดิม และการถมทะเลสร้างเขื่อน ในขณะที่ไทยปฏิบัติการตามหลักเกณฑ์สากลมาโดยตลอด แต่กลับเสียเปรียบทุกครั้ง
.
เกี่ยวกับการถมทะเลของกัมพูชา พล.ร.อ. สุวิทย์ ระบุว่า ทางกองทัพเรือได้ร้องเรียนไปตามลำดับชั้นผ่านคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา และรัฐบาลรับทราบแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันการถมทะเลก็ยังคงอยู่ และกัมพูชาก็ไม่ได้รื้อถอน นายพีระพันธุ์จึงเสนอแนวคิดว่า ในเมื่อเราเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด ประเทศไทยควรลองถมทะเลบ้างเพื่อป้องกันคลื่นเช่นเดียวกับที่กัมพูชาอ้าง
.
พล.ร.อ. สุวิทย์ ตั้งข้อสังเกตส่วนตัวว่า ปัญหาชายแดนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากความต่อเนื่องของผู้นำรัฐบาลกัมพูชา
" ขณะที่รัฐบาลไทย นายกฯ มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ที่เปลี่ยนไปตามวาระ แต่ทางฝั่งกัมพูชา ผู้นำอยู่ยาว 40-50 ปี และยังมีอำนาจอยู่ เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ฮุนเซนล้วนๆ"
.
นายพีระพันธุ์ ได้สอบถาม พล.ร.อ. สุวิทย์ ว่าจะมีวิธีการกำหนดนโยบายเรื่องเขตแดนของไทยให้มีความต่อเนื่องและทุกรัฐบาลต้องถือปฏิบัติได้หรือไม่ พล.ร.อ. สุวิทย์ เห็นด้วยกับการตั้งกรอบนโยบายตามแนวคิดที่นายพีระพันธุ์เสนอ ส่วนในระดับผู้ปฏิบัติงานนั้น ตนใช้หลักการทูตนำการทหาร คือให้เจ้าหน้าที่ในระดับล่างคุยกันด้วยความจริงใจ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาการรุกล้ำซึ่งกันและกันได้
.
ในเรื่องการพัฒนากองทัพ พล.ร.อ. สุวิทย์ เห็นว่ากองทัพไทยควรพัฒนาไปสู่มาตรฐานสากล เช่นเดียวกับมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยเน้นให้กองทัพมีโครงสร้างที่กะทัดรัด มีความคล่องแคล่ว มีกำลังพลน้อยลง แต่มีอำนาจในการรบสูงขึ้น และจัดกำลังพลตามยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ทหาร ซึ่งเน้นการป้องกันประเทศจากภัยคุกคามหลัก เช่น ปัญหาชายแดนกับกัมพูชา


