xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจของ “สิทธิมนุษยชน” คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในสังคมที่ให้ความสำคัญต่อเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างทุกวันนี้ การถือกำเนิดของ “นักสิทธิมนุษยชน” ถือเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบอำนาจรัฐและปกป้องกลุ่มเปราะบาง แต่ในบางสถานการณ์ถ้อยคำเหล่านี้กลับถูกนำมาใช้เป็นอาวุธเพื่อบดบังบริบทความจริง และละเลยความสูญเสียของคนอีกกลุ่มอย่างน่าเจ็บปวด หรืออาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมีความเห็นในเรื่องสิทธิมนุษยชนแตกต่างกัน จนบางครั้งการสื่อสารเฉพาะในมุมของตนก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่หัวใจของเรื่องสิทธิมนุษยชนคือ “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

กรณีล่าสุดที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการแสดงความเห็นของนักสิทธิมนุษยชนผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งที่กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และถ้อยแถลงที่อ้างอิงถึงหลักการสิทธิมนุษยชนของเธอ กระทบความรู้สึกของคนไทย จนก่อเกิดมุมมองที่แตกต่างกัน กลายเป็นปมความขัดแย้งที่ขยายวงไปถึงขนาดที่ว่าเธอกำลังมองข้ามความสูญเสียของคนในชาติ เป็นเหตุให้เกิดการตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ของนักสิทธิมนุษยชนที่พึงมี

สิทธิมนุษยชนที่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ
หลักการสากลด้านสิทธิมนุษยชนนั้นชัดเจนว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลหนึ่ง ย่อมถูกจำกัดโดยการเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น (ตามที่ระบุในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง- ICCPR) เช่น

• สิทธิในการพูด vs. การหมิ่นประมาท : บุคคลมีสิทธิที่จะพูดอย่างเสรี แต่สิทธินั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงการกล่าวหาใส่ร้าย หรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือบิดเบือนที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย เมื่อมีการกล่าวหาอย่างเปิดเผยผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิในการปกป้องตนเอง และผู้กล่าวหาก็ต้องพร้อมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตน
• สิทธิในการประท้วง vs. การละเมิดสิทธิผู้อื่น: กลุ่มคนมีสิทธิที่จะรวมตัวและประท้วงเรียกร้อง แต่หากการประท้วงนั้นไปปิดกั้นการจราจร หรือก่อความเดือดร้อนรำคาญอย่างรุนแรงจนกระทบต่อสิทธิในการเดินทางและประกอบอาชีพของผู้อื่น ถือเป็นการใช้สิทธิที่ขาดความรับผิดชอบ

ในกรณีของนักสิทธิมนุษยชน การใช้ตำแหน่งและอิทธิพลทางสังคมมาชี้นำประเด็นที่มีความซับซ้อน ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบทางจริยธรรมสูงสุด การเลือกมองข้ามบริบททางประวัติศาสตร์ หรือความจริงภาคสนาม ย่อมทำให้หลักการสิทธิมนุษยชนนั้นเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ และกลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่จุดยืนของตนเอง

บทบาทการเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่น่าเชื่อถือ จึงหมายถึงการมองความจริงอย่างรอบด้าน ซึ่งไม่ใช่แค่การฟังเสียงของฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจบริบทความมั่นคงและความชอบธรรมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชอบธรรมในการป้องกันตนเองของทุกผู้คน ซึ่งมีสิทธิเช่นเดียวกันและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนนั้นจะตัวใหญ่หรือตัวเล็ก รวมถึงต้องรับผิดชอบต่อคำพูดทุกถ้อยคำที่ถูกเผยแพร่ออกไป เพราะคำเหล่านั้นย่อมมีน้ำหนักและผลกระทบ หากการกล่าวหานั้นกระทบใคร ก็ต้องกล้าหาญพอที่จะรับผิดชอบและขอโทษในการกระทำของตน

การอ้างสิทธิมนุษยชนอย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่เคารพสิทธิของผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบ คือการทำให้สิทธิมนุษยชนกลายเป็นเครื่องมือที่บิดเบือน ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด เพราะ “สิทธิมนุษยชน” ไม่ควรสร้างความขัดแย้งใดๆ แต่ต้องเป็นพื้นฐานที่ทำให้สังคมและทุกผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
กำลังโหลดความคิดเห็น