"อังคณา" แจงไม่รับสาย "กรรชัย-บก.ข่าวอมรินทร์ทีวี" เพราะคุยกับคนที่ไม่พร้อมรับฟังเหตุผลไม่น่าจะเกิดประโยชน์ ยอมรับทนดู "โหนกระแส" ไม่ได้ ทั้งพิธีกร-แขกรับเชิญ พูดจาจาบจ้วง ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เชื่อเจตนาลากตนไป “ถูกเชือด” จี้ขอโทษต่อสาธารณะและต้องมีผู้รับผิดชอบ รวมถึงสร้างหลักประกันว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกไม่ว่ากับใครก็ตาม
วันนี้ (20 ต.ค. 2568) นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก "Angkhana Neelapaijit" ถึงกรณีดรามา รายการโหนกระแส และข่าวช่องอมรินทร์ทีวี โดยระบุว่า ...
ถึงกัลยาณมิตร
กรณีสืบเนื่องจากการแสดงความคิดเห็นของดิฉัน และ คุณสุณัย ผาสุข กรณีการที่เอกชนเข้าไปในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก จนนำมาสู่การล่าแม่มด การคุกคามทั้งทางออนไลน์ และออฟไลน์จนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัย และการดำเนินชีวิตของดิฉันและครอบครัว รวมถึงคุณสุณัย ทั้งนี้ เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา หลายท่าน โดยเฉพาะสื่อมวลชนซึ่งรวมถึง #คุณกรรชัย #โหนกระแส และ #คุณศุภโชค โอภาสะคุณ ผู้ประกาศข่าว และบรรณาธิการบริหารอมรินทร์ทีวี ได้พยายามติดต่อเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกับดิฉัน แต่เนื่องจากดิฉันเห็นว่าการพูดกับผู้ซึ่งไม่พร้อมจะรับฟังเหตุผลไม่น่าจะเกิดประโยชน์อันใด อย่างไรก็ดี ดิฉันขอเรียนทุกท่านที่ห่วงใยและปรารถนาดีด้วยความเคารพ ดังนี้
1. การแสดงความเห็นใน fb ส่วนตัวของดิฉันเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 เป็นการตั้งคำถามและแสดงความกังวลต่อการที่รัฐบาลปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการใดในพื้นที่ขัดแย้ง หรือพื้นที่สงครามที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรม (IHL) ซึ่งเน้นย้ำในการให้ความคุ้มครองสูงสุดแก่พลเรือน โดยดิฉันได้แปลหนังสือของ Keo Remy ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (Cambodia Human Rights Committee) ที่ส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ลงวันที่ 11 ตุลาคม กล่าวอ้างหน่วยงานทหารของไทยปฏิบัติการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศหลายฉบับ (https://www.facebook.com/share/p/1AAimcYLUz/)
2. ต่อมามีสื่อบางสำนักขอสัมภาษณ์ดิฉันเรื่องการที่กัมพูชาใช้จรวจ BM-21 ยิงเข้ามาในประเทศไทยก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงเด็กที่อยู่ภายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งดิฉันได้แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า “กรณีดังกล่าวผิดกฎหมายมนุษยธรรม โดยประเทศไทยได้ตอบโต้การกระทำของกัมพูชา โดยส่งเครื่องบิน F-16 ยิงฐานทหารของกัมพูชา ซึ่งเป็นไปตามกฎการปะทะ ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียแก่กัมพูชาเช่นกัน” ซึ่งถ้อยคำนี้มีผู้นำไปสร้าง fake news โดยตัดต่อคำพูดของดิฉันเพื่อนำมาโจมตี และต่อมากัมพูชาได้นำไปเผยแพร่ คือ “ไทยยิง F-16 ทำให้กัมพูชาได้รับความสูญเสีย” ทำให้ผู้ที่หลงเชื่อนำไปขยายความด่าทอ และประณามหยามเหยียดว่าดิฉันเห็นอกเห็นใจกัมพูชา
3. เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันประชุมร่วมรัฐสภาเรี่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในช่วงเวลาระหว่าง 13.18-13.56 น. ขณะดิฉันอยู่ในห้องประชุมรัฐสภา ได้มีโทรศัพท์เข้ามาต่อเนื่องนับสิบสาย แต่ดิฉันไม่ได้รับเนื่องจากให้ความสำคัญกับการฟังอภิปราย และต่อมาได้มีผู้ส่งข้อความมาว่าดิฉันกำลังถูกกล่าวหาฝ่ายเดียวในรายการ #โหนกระแส จึงเปิดเข้าไปดูประมาณ 10 นาที ซึ่งในความรู้สึกของดิฉันขณะนั้นเสมือน คุณกรรชัย น่าจะพยายามโทร.หาดิฉัน เพื่อผลักเข้าสู่การพิจารณาของศาลเตี้ย โดยมีคณะลูกขุนที่แผดเสียงก่นด่า ประณาม และยัดเยียดความผิดต่างๆ ให้ ดิฉันคิดว่าการกระทำของคุณกรรชัย และ #โหนกระแส อาจมีเจตนาในการจัดเวทีเพื่อให้ดิฉันถูกรุมประณาม เพราะปกติ หากมีรายการใดจะขอสัมภาษณ์จะต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัว และจะต้องแจ้งรายชื่อผู้เข้าร่วมรายการ เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถพิจารณาตัดสินใจว่าสะดวกร่วมพูดคุยหรือไม่ มิใช่จู่ๆ #ทีมงานโหนกระแส โทร.มาในขณะที่ผู้ร่วมรายการกำลังกล่าวหา ด่าทอโดยไม่เป็นธรรม ถ้าเป็นชาวบ้านคงเรียกว่า เป็นการเรียกให้เข้าไป “ถูกเชือด”
4. เย็นวันนั้น เริ่มมีคนโทร.เข้ามาด่าทอ ข่มขู่คุกคาม มีข้อความส่งมาทาง messenger box และทาง fb โดยผู้ที่ไม่ใช่เพื่อน (ปกติดิฉันจะเปิดสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น) พอกลับถึงบ้านดิฉันจึงเปิดเทปดูรายการ #โหนกระแส ย้อนหลัง ซึ่งยอมรับว่าจนขณะที่เขียนข้อความนี้ ดิฉันไม่อาจทนดูรายการย้อนหลังจนจบ และจนนาทีนี้ ภาพของคุณมัลลิกาที่แผดเสียง พูดจาจาบจ้วง ดูถูก ด้อยค่าและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงภาพคุณกรรชัยชี้มาที่กล้องเพื่อกล่าวหาดิฉันต่างๆ นานาในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ไม่ต้องพูดถึงคุณกัน จอมพลัง เพราะตั้งแต่โพสต์แรก ดิฉันไม่เคยกล่าวถึงคุณกันเลย แต่กลายเป็นคุณกันเข้ามาเป็นคู่กรณีโดยตรง
5. ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2568 มีการประชุมวุฒิสภา มีผู้แจ้งดิฉันว่าทางอมรินทร์ทีวี โดยผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการข่าว คุณศุภโชค โอภาสะคุณ ได้วิพากษ์กล่าวหาดิฉันอย่างรุนแรงด้วยถ้อยคำที่ปลุกปั่นและสร้างความเกลียดชัง โดยมีพื้นหลังปรากฏข้อความว่า “อังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชนและ ส.ว.คือ 'แม่พระ' ของชาวกัมพูชา”
6. ทั้งนี้ นับแต่รายการ โหนกระแส ของคุณกรรชัย และข่าวอมรินทร์ทีวีของคุณ คุณศุภโชค โอภาสะคุณ ออกอากาศ ทำให้ทั้งดิฉันและคุณสุณัย ผาสุข ถูกคุกคามอย่างหนัก โดยมีผู้ข่มขู่จะทำร้ายถึงชีวิต ทำให้ดิฉันและคุณสุณัยต้องเข้าแจ้งความยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
7. ดิฉันขอเรียนทุกท่านว่า หลังรายการโหนกระแส และอมรินทร์ทีวี ได้มีผู้ออกมาแสดงความคิดไม่เห็นด้วย และนับแต่วันที่ 17 ตุลาคม คุณกรรชัยและคุณศุภโชคได้พยายามติดต่อดิฉันเพื่อปรับความเข้าใจ และขอโทษ โดยคุณกรรชัยได้ติดต่อผ่าน ส.ส.เพชร การุณพล พรรคประชาชน เพื่อขอเบอร์โทร.ติดต่อ ซึ่งดิฉันได้ถาม ส.ส.เพชรว่าได้ดูเทปโหนกระแสหรือยัง ทราบว่ายังไม่ได้ไปดู เลยแนะนำให้กลับไปดูเพื่อจะได้เข้าใจถึงความรู้สึกของดิฉันและคุณสุณัย
8. วันนี้ (19.10.68) ปรากฏข่าวลือว่า พรรคประชาชนอาจพยายามเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อช่วยนักสิทธิ ดิฉันขอเรียนทุกท่านด้วยความเคารพว่า ดิฉันไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับพรรคประชาชน ไม่เคยร้องขอให้พรรคประชาชนช่วย และไม่มีความจำเป็นที่พรรคประชาชนจะต้องกระทำเช่นว่านั้น การเผยแพร่ข่าวในลักษณะบิดเบือนเช่นนี้ถือเป็นการซ้ำเติมความเสียหายที่เกิดขึ้น
9. ดิฉันต้องขอขอบคุณทั้งคุณกรรชัย #โหนกระแส และคุณศุภโชค #อมรินทร์ทีวี ที่พยายามติดต่อเพื่อปรับความเข้าใจในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งดิฉันเห็นว่าการสำนึกผิดที่แท้จริง นอกจากต้องมีการขอโทษต่อสาธารณะแล้ว ยังจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบ รวมถึงมีการสร้างหลักประกันว่าจะไม่มีการกระทำเช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคตไม่ว่ากับใครก็ตาม สำหรับดิฉันต้องขอเรียนตรงๆ ว่า ทุกวันนี้ดิฉันยังจำภาพคุณกรรชัยชี้หน้ากล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม ยังจำภาพคุณมัลลิกาแผดเสียงด้อยค่า และซ้ำเติมก้าวล่วงคนในครอบครัว ยังจำภาพคุณกัน จอมพลัง ต่อว่าต่อขาน ทั้งที่นับแต่เริ่มต้นดิฉันเพียงตั้งคำถามต่อรัฐบาล โดยไม่เคยพาดพิงคุณกันเลย และยังจำภาพและเสียงของคุณศุภโชค อมรินทร์ทีวี ในการยุยงปลุกปั่น ใช้ข้อความอันเป็นเท็จเพื่อสร้างความเกลียดชัง
ท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ที่ออกมาปกป้อง ห่วงใยดิฉันและครอบครัว รวมถึงคุณสุณัย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ดิฉันขอเรียนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้ดิฉันและคุณสุณัยท้อถอยในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน แต่จะเป็นพลังผลักดันให้อุทิศตนทำงานมากขึ้น ดิฉันจะยังคงทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะเสรีภาพสื่อที่ดิฉันเชื่อมั่นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน และการทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชน ... น่าเสียดายที่วันนี้เสียงของความเกลียดชังจากบรรดาอินฟลู รวมถึงสื่อต่างๆ ที่พยายามบดขยี้คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนดังมาก จนทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงของดิฉันและคุณสุณัยที่ห่วงใยและปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อมั่นว่าในที่สุดความจริงจะปรากฏ และความเป็นธรรมจะกลับคืนมา ... สุดท้าย ดิฉันขอเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงความขัดแย้ง หรือสงคราม ไม่ใช่อานุภาพของอาวุธในการทำลายล้าง แต่คือ การมองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลทุกคน
ด้วยมิตรภาพ
อังคณา นีละไพจิตร