xs
xsm
sm
md
lg

DPU ปั้นเด็กให้ค้นพบศักยภาพ สู้วิกฤตเศรษฐกิจ จำลองโลกของการทำงานจริงตั้งแต่ตอนเรียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยไม่ต่างอะไรกับตึกที่ร้าวที่กำลังสั่นคลอนอยู่บนความว่างเปล่า ทุกคนมองเห็นหายนะที่กำลังจะมาเยือนและยืนมองอย่างสิ้นหวัง อัตราการว่างงานของไทยสูงขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2567 โดยมีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 4.3 แสนคน สูงสุดตามสถิติที่ผ่านมา ไม่นับเรื่องการถูกเลย์ออฟ และการว่างงานแฝง

สำหรับหลายคน เสียงครวญย้อนมาที่สถาบันอุดมศึกษาว่าผลิตบัณฑิตให้ไปหางานประเภทไหนทำดีในยุค AI เข้ามาทำงานแทนคน อีกทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่การเรียนที่เน้นให้ “จำ” จนลืมให้ “คิด” ไปจนถึงระบบที่ควรเป็นที่พึ่ง กลับกลายเป็นเครื่องผลิตบัณฑิตที่จบมาโดยไม่รู้จะไปทางไหน


“ภัฏ เตชะเทวัญ” เข้ามาในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สัญญาณการทำสงคราม ที่ต้องปฏิรูปเรื่องการศึกษาครั้งใหญ่ จากประสบการณ์ที่เคยทำสตาร์ทอัพเพื่อสังคม ในการเปลี่ยนพฤติกรรมคนให้รู้จักบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก จนกลายเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคเรียกหาจากร้านค้า และอยากใช้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริงต้องทำให้ทั้งสังคมและธุรกิจได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน

วันนี้เขานำบทเรียนเหล่านั้นมาใช้กับโลกการศึกษา พลิกโฉมวิธีคิดและยุทธศาสตร์เพื่อให้เด็กไทยพร้อมรับมือกับตลาดงานที่พลิกผัน และก้าวไปสู่ความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เรียนจบ

ตลาดงานพลิกผัน บัณฑิตจบใหม่จะหางานทำได้อย่างไร?

“ถ้าเรายังสอนเหมือนเดิม เด็กจบใหม่อาจตกงานกันหมดได้เลย อ้างอิงโดย World Economic Forum ล่าสุดบริษัทเริ่มมองหาคนที่มีประสบการณ์ทำงานมากขึ้น และ หลายองค์กรชั้นนำเริ่มจะหยิบเรื่อง Psychometric Profiling แบบทดสอบทางจิตวิทยาที่ใช้ในการคัดเลือกเด็ก”

ขณะที่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยทั่วไป “ไม่มีใครสอน” เรื่องเหล่านี้ให้บัณฑิตเลย “ถ้ามหาวิทยาลัยไม่ปรับเปลี่ยน เด็กจบใหม่อาจหางานทำไม่ได้ นี่จึงเป็นที่มาที่มหาวิทยาลัยต้องการปรับตัว เพื่อให้เด็กที่จบไปได้รับประโยชน์สูงสุด”

จับ "สองขา" แห่ง Career Growth ยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโต

ภัฏเสนอว่า การวางกลยุทธ์ใดๆ ก็ตาม เราจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อสร้างแกนหลักที่แข็งแกร่งให้กับภาพรวมของทั้งกระดาน

"ถ้ากลับมาที่แบรนด์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หรือ DPU เรายึดเรื่องของ P : Potential หรือศักยภาพ เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนจะมีได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าเขาเกิดมาเป็นยังไง"

เขายืนยันว่าการยึดเรื่อง ศักยภาพ (Potential) เป็นแกนหลักนี้ สอดคล้องกับทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับในวงการ HR ที่ระบุว่าการประสบความสำเร็จในงานจะถูกวัดอยู่ 2 ด้าน คือ วัดที่ ศักยภาพ และ ประสิทธิภาพในการทำงาน (Performance)

ในขณะที่มหาวิทยาลัยทั่วไปมักพยายามพัฒนาแค่ Performance แต่กลับละเลยมิติเชิงประสบการณ์และการพัฒนาตัวตน ทำให้บัณฑิตไม่สามารถเติบโตในสายอาชีพได้จริง การแก้ไขปัญหาจึงอยู่ที่การพัฒนาพร้อมกันทั้งสองด้านอย่างสมดุล นี่คือทางรอดเดียวที่เปิดโอกาสให้เยาวชนก้าวพ้นกับดักทางชนชั้นและการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม

"เราไม่ได้ช่วยให้เด็กแค่หางานได้ แต่เราเตรียมพร้อมเด็กให้สามารถ ‘ก้าวกระโดด’ ในงานได้ทันทีที่เรียนจบ"


ทุบกำแพงคณะ ‘ก้าวข้ามกรอบเก่า’ ยุทธวิธีจำลองสมรภูมิการทำงานจริง

ในการพัฒนา Performance (ประสิทธิภาพในการทำงาน) นั้น DPU มีความเชื่อว่าต้องทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์เหมือนการทำงานจริงมากที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้อง ‘ก้าวข้ามกำแพงคณะ’ และเริ่มทำเรื่องของ Cluster

เหตุผลที่ต้องทลายกำแพงคณะนั้นเพราะ การที่เป็นแค่คณะเดียวไม่อาจจำลองโลกการทำงานจริงได้มากพอ โลกธุรกิจจริง คนที่เรียนจบแต่ละคณะต้องทำงานร่วมกัน รวมถึงต้องมีการใช้ความรู้บูรณาการข้ามสาขา การปรับโครงสร้างเพื่อสร้างสนามฝึกซ้อมที่สมจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียน

"สิ่งที่ DPU ทำคือเราพยายามก้าวข้ามกำแพงคณะ เพื่อให้เด็กสามารถที่จะมีการทำโปรเจกต์ร่วมกันระหว่างคณะมากขึ้น และมีการเรียนข้ามคณะมากขึ้น ทำให้ศาสตร์การเรียนรู้เป็นศาสตร์ที่บูรณาการได้จริงมากกว่า"

การทลายกำแพงนี้ช่วยให้เด็กสามารถเรียนข้ามคณะ และสามารถเลือกอาชีพข้ามไปสายงานอื่นได้ด้วย เป็นการสร้างทักษะที่ใช้งานได้จริงในสมรภูมิการทำงาน

สร้างเกราะภายใน Potentialigence Center ปลดล็อกศักยภาพด้วยรหัส CQ, EQ, DQ เพื่อ Discover - Unleash - Accelerate

Performance คืออาวุธภายนอก Potential คือเกราะภายใน DPU จึงตัดสินใจสร้างศูนย์ Potentialigence Center ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยคำว่าศักยภาพโดยตีตามหลักการทางจิตวิทยา

หลักการทางจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับระบุว่าการพัฒนาศักยภาพของคนต้องดู 3 เรื่องนี้ เราจึงจับ 3 เรื่องนี้มาเป็นหลักในการพัฒนาเด็ก โดยประกอบด้วย CQ (Critical Thinking) คือทักษะในการคิดวิเคราะห์ที่ต้องถูกบ่มเพาะขึ้นมา, DQ (Drive) คือ การเข้าใจตนเอง การรู้เป้าหมายในชีวิต และ EQ (Emotional) คือเรื่องของทางอารมณ์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของ EQ (Emotional Quotient) นั้น ผู้บริหารกลยุทธ์ยอมรับว่าคือจุดอ่อนสำคัญของบัณฑิตยุคนี้ ซึ่งสร้างปัญหาอย่างมากในการทำงานร่วมกันในองค์กร

"เด็กที่เพิ่งเรียนจบไป สมัยยุคนี้ก็จะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับบริษัท หลายๆ บริษัทก็มักจะ complaint ว่าเด็กจบไปแล้วทำงานแล้วเข้ากันไม่ค่อยได้"

เพื่ออุดรอยรั่วนี้ DPU “จะไม่เพียงแค่สอนเรื่องจิตวิทยาแบบลอยๆ” แต่ได้นำหลักการนี้ไปผสานกับ Lominger Competency Model ซึ่งมี 67 Competencies แล้วนำมาย่อยให้ตรงกับ CQ, EQ, และ DQ เพื่อสร้างเป็นโมเดลพัฒนาศักยภาพ Discover - Unleash - Accelerate ที่สามารถ "จับต้องได้" ในแบบ DPU

โมเดล Competency นี้จึงถูกกรองและถูกแตกออกมาเป็นบทเรียนของแต่ละชั้นปี การพัฒนาทั้งส่วนของ Performance และ Potential ในลักษณะนี้จึงเป็นการสร้าง Career Growth ให้กับนักศึกษาที่ไม่ได้ช่วยแค่ให้เด็กหางานได้ แต่เราเตรียมพร้อมเด็กให้สามารถ ‘ก้าวกระโดด’ ในงานได้ทันทีที่เรียนจบ

“การมุ่งพัฒนาทั้ง Performance และ Potential ทำให้นักศึกษาไม่ได้แค่หางานได้ แต่สามารถเติบโตในสายอาชีพอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้จึงเป็นจุดที่เราประเมินแล้วว่า เราน่าจะสามารถสร้างบัณฑิตที่มีอนาคตที่ดี มีงานที่ดีทำ ด้วยวิธีการและศักยภาพที่ถูกบ่มเพาะในรูปแบบของ DPU” ภัฏกล่าวสรุป


กำลังโหลดความคิดเห็น