xs
xsm
sm
md
lg

MOU 43 ถูกฉีกโดยพฤตินัย แล้วจะเก็บไว้ทำมะเขืออะไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดความจริงทางพฤตินัย MOU43 ถูกฉีกไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเขมรละเมิดก่อน แต่ไทยปล่อยปละละเลยมานาน จนมาถึงยุค “แม่ทัพกุ้ง” จึงได้ยึดคืนพื้นที่ 11 จุด พร้อมปักธงบนภูมะเขือ ซึ่งทำให้ข้อ 5 ของ MOU ไม่มีความหมายอีกต่อไป จึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บ MOU เอาไว้ ยกตัวอย่างจีน-อินเดียขัดแย้งพรมแดนกันมาหลายสิบปีไม่เห็นต้องมี MOU



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึง ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543” หรือ MOU2543 ซึ่งกำลังมีข้อถกเถียงว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก และรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังยื้อเวลา และโยนความรับผิดชอบให้ประชาชนด้วยการทำประชามตินั้น

นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดที่หลายคนยังไม่พูด หรืออาจจะไม่คิดไม่ถึงก็คือ โดยพฤตินัย MOU 2543 นั้นถูกฉีกไปเรียบร้อยแล้ว จากปฏิบัติการทางการทหารที่นำโดย “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และทุกเหล่าทัพพร้อมใจกันสนับสนุนการปกป้องอธิปไตยของไทย


ธงชาติไทยที่ปักอยู่ที่ภูมะเขือ รวมถึง 11 จุดที่เรายึดคืนมานั้น แสดงให้เห็นว่า MOU ที่เซ็นกันไว้เมื่อ 25 ปีนั้นโดยพฤตินัยถูกฉีกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะ ข้อ 5 ของ MOU ระบุชัดเจนว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน”

ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดเราก่อน แต่นักการเมืองและทหารยุคก่อน ๆ กลับเพิกเฉย จนมาถึงในยุคของ “แม่ทัพกุ้ง” ได้ทำสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นคือ การยึดคืนพื้นที่ 11 จุด และไปปักธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ไว้ที่ภูมะเขือ

ไม่เพียงแต่แม่ทัพกุ้ง กองทัพภาคที่ 2 และทหารไทยทุกหมู่เหล่าที่ยอมสละเลือดเนื้อ สละชีวิต, ชาวบ้านต้องเสียชีวิตจากการโจมตีมั่ว ๆ ของกัมพูชา, ทหารอีกหลายคนต้องขาขาดจากทุ่นระเบิด, ประชาชนหลายแสนคนก็ต้องอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน ประชาชนทั่วประเทศ 60-70 ล้านคน ส่งทรัพย์สินเงินทอง เสบียง แรงกายแรงใจไปช่วยเหลือในการปกป้องอธิปไตยของชาติ


ส่วน สถาบันหลักของชาติอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันศาสนา ก็เป็นเสาหลักในการธำรงรักษาอธิปไตยเอาไว้ สนับสนุนทุกอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ “แม่ทัพกุ้ง” ต้องถวายรายงานสถานการณ์ในหลวงทุกวัน นอกจากนี้ยังช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ทหารที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอย่างทั่วถึง ถ้วนหน้า

นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน ยังทรงดำริให้ มูลนิธิจุฬาภรณ์เปิด “กองทุนหทัยทิพย์”

โดยระบุวัตถุประสงค์ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ บรรเทาทุกข์ และสร้างสุขชายแดนอีกด้วย

ทั้งนี้ หนึ่งในสิ่งที่ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ท่านทรงดำริให้ “กองทุนหทัยทิพย์” ดำเนินการนั่นคือ การสร้างกำแพง-บังเกอร์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร่งด่วน !


ซึ่งในวันที่มีการเปิดกองทุน ใน วันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งท่านทรงรับเป็นประธานกรรมการบริหารกองทุน ในรายงานวัตถุประสงค์ของการตั้งกองทุนระบุชัดเจนว่า “ด้วยทรงยึดมั่นในพระปณิธานในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยที่ยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชนในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันมีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในความปลอดภัยในกำลังพลแนวหน้า และประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดน

“จึงเห็นควรสนับสนุนการสร้างกำแพงและบังเกอร์ชายแดนไทยกัมพูชาทั้งภาคอีสานและภาคตะวันออก โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเป็นไปได้ และมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อความมั่นของและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมดำเนินงาน ...”


โดยฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ที่มีตำแหน่งเป็นประธานกองทุน ท่านได้พระราชงานเงินตั้งต้นของกองทุนให้ก่อน 1 ล้านบาท และจะสมทบเงินเพิ่มเติมให้อีก 20 ล้านบาท

นอกจากนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ แล้ว สถาบันศาสนา ซึ่งเป็น 1 ใน 3 เสาหลักที่ค้ำจุนประเทศไทย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็ประทานทรัพย์เข้าร่วมกองทุนหทัยทิพย์ จำนวน 1 แสนบาท นอกจากนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ก็ร่วมสมทบเงินเข้าร่วมกองทุนฯ จำนวน 1 แสนบาทด้วย

เวลาผ่านมาเพียงแป๊บเดียวไม่ถึงเดือน “กองทุนหทัยทิพย์” พุ่งขึ้นไปเป็นร้อยล้านบาทแล้ว และฟ้าหญิงฯ ท่านก็ติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยในวันอังคารที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา เพิ่งให้ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการสำนักองค์ประธาน นำ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะผู้แทนกองทัพบก เพื่อรายงานถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานของกองทุนฯ


อยากถามไปถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไล่เรียงไปถึง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ที่ปวารณาตัวไว้ว่าจะธำรงรักษา ปกป้อง คุ้มครอง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งที่คุณเห็น ภาพที่เกิดขึ้นยังไม่ชัดอีกหรือว่าต้องทำอะไร

จะเก็บ MOU 2543 ไว้ทำมะเขืออะไร เพราะการยึดพื้นที่ 11 จุด การชักธงชาติขึ้นเสาที่ภูมะเขือ การสร้างบังเกอร์ ทำแนวกำแพงกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา จริง ๆ มันก็คือการฉีก MOU 2543 ไปแล้ว

“ท่านผู้ชมครับ ทำไมแม่ทัพกุ้ง ไม่ใช่ไม่มีงานทำ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาฟาดงวงฟาดงาเอาทหารไปยึดที่คืน 11 จุด แต่เป็นเพราะว่าเขมรเป็นฝ่ายละเมิดเราก่อน ยิงอาวุธเข้ามา บุกรุกในที่ดินของเรามานานแสนนานแล้ว และนักการเมืองและทหารรุ่นก่อนๆ ไม่ใส่ใจที่จะทำเรื่องนี้ แม่ทัพกุ้งเขาเป็นคนรักชาติ รักแผ่นดิน เขาทนไม่ได้ เมื่อมันใส่เข้ามาในประเทศไทยด้วยอาวุธของจีน ทำให้ทหารไทยตาย 17 คน บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน โรงพยาบาลพนมดงรัก พังพินาศเรือหายไปเลย ร้านสะดวกซื้อก็พังทลาย แม่ทัพกุ้งก็เลยต้องตอบโต้ แล้ววิธีตอบโต้ ท่านก็ตอบโต้ได้แสบที่สุด คือท่านเช็กบิลรอบเดียวจบ


“ไปยึดคืนพื้นที่ 11 จุด ที่ใน MOU ข้อที่ 5 ระบุว่า ทหารหรือหน่วยงานราชการของสองฝ่ายไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ แต่แม่ทัพกุ้งเข้าไปแล้ว เพราะแม่ทัพกุ้งใช้แผนที่ 1:50,000 ขณะที่พวกเขมร พวกกระทรวงการต่างประเทศ อาจารย์บ้าๆ บอๆ ที่แอบสนับสนุนเขมรอยู่ แม่ทัพกุ้งไม่สนใจ นี่คือการฉีก MOU 2543 ไปเรียบร้อยแล้วโดยพฤตินัย แล้วคุณจะประชุมไปทำไม JBC วันที่ 20 หรือ 21 นี้ ประชุมไปทำไม MOU ถูกฉีกไปเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องยกเลิก

“คนอวดรู้อวดเห็น กล่าวเตือนว่า เราละเมิดสนธิสัญญาของเขา เดี๋ยวเราจะถูกฟ้องร้องไปที่ศาลโลก ชุดความคิดเดียวกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ในเมื่อศาลโลก มีอยู่หลายประเทศที่ไม่ยอมรับศาลโลก และประเทศไทยก็ควรที่จะไม่ยอมรับศาลโลกด้วย ใครจะฟ้องเราไปศาลโลก ก็ไม่เห็นจะต้องไปกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว

“พรมแดนจีนกับอินเดียมันรบราฆ่าฟัน ทะเลาะเบาะแว้งกันมาเป็นจำนวนหลายสิบปี ตั้งแต่ประเทศจีนยุคใหม่ถูกตั้งขึ้นมาโดยประธานเหมา เจ๋อตง ผมเห็นเขาก็เจรจากันระหว่างผู้นำกับผู้นำ และระหว่างทหารกับทหารที่ชายแดน ไม่เห็นต้องมี MOU เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งสองฝ่ายก็บอกว่า มึงบุกข้ามเข้ามา กูฟาดมึง อีกฝ่ายก็บอกว่า มึงลองฟาดกูสิ กูจะฟาดมึงคืน มันก็ต้องวัดกันที่ว่ากล้ามใครแข็งกว่าใคร ลักษณะเรื่องพรมแดน วิถีทางการทูตใช้ได้น้อยมาก”
นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น