“ปานเทพ” เตือนอย่าหลงประเด็น อย่าเชื่อข้าราชการที่โกหกบิดเบือน ได้โปรดหยุดประชุม JBC ด่วน ก่อนไทยเสียสิทธิยกเลิก MOU43 จนต้องถอนกำลังทหารออกจาก 11 จุดรวมถึงภูมะเขือ ยันข้ออ้างหากยกเลิก MOU จะทำให้หลักเขตที่ตกลงกันได้แล้วหายไปหมด ไม่เป็นความจริง เพราะมาตรา 70 อนุสัญญากรุงเวียนนาระบุชัดข้อตกลงที่ได้ทำกันไปแล้วก่อนหน้าจะไม่กระทบหากยกเลิกสนธิสัญญา
วันนี้(18 ต.ค.) เมื่อเวลา 16.06 น.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” กรณีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(JBC) ไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21-22 ต.ค.นี้ ว่า
อย่าหลงประเด็น อย่าเชื่อข้าราชการที่โกหกบิดเบือน ได้โปรดหยุดประชุม JBC ด่วน
ส่วนข้าราชการ ทั้งกรมสนธิสัญญาและกรมแผนที่ทหาร พยายามโน้มน้าวรัฐบาล รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ตามไม่ทันว่า ให้เดินหน้าตาม MOU เพราะมีความคืบหน้าไปมากแล้ว เพราะมัวแต่พูดถึงบริเวณที่เคยมีหลักเขต 73 หลักให้ฝ่ายการเมืองและประชาชนเคลิ้มในระวางอื่นๆ ที่มีหลักเขตแดน ว่าไทยจะไม่เสียดินแดน เราจะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อกลบปัญหาที่แท้จริง 195 กิโลเมตร จากช่องบกถึงช่องสะงำที่ไม่เคยมี “หลักเขตใดๆ” ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนที่ระวาง “ดงรัก” ซึ่งมีปัญหาที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 ศาลโลกใช้กฎหมายปิดปากกับประเทศไทยว่าโดยพฤติกรรมต่างๆ ที่ฝ่ายไทยไม่ปฏิเสธจึงถือว่าไทยยอมรับ ทั้งๆ ที่ฝ่ายสยามไม่เคยลงนามยอมรับแผนที่ดังกล่าว
อันตรายของแผนที่ฉบับดังกล่าวสาระสำคัญที่สุดไม่ใช่มาตราส่วน 1:200,000 แต่แผนที่ดังกล่าวในระวางดงรัก “ขีดเส้นเขตแดนผิด” กินลึกเกินขอบหน้าผาและสันปันน้ำเข้ามาในดินแดนไทยจำนวนมาก
และทำให้ประเทศไทยได้ตระหนักว่า การตัดสินคดีประสาทพระวิหารศาลโลกใช้กฎหมายปิดปากนั้น ศาลได้ใช้มูลฐานจากแผนที่ซึ่งผิดฉบับนี้ มาเป็น “มูลฐาน”ในการตัดสินตัวประสาทพระวิหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผนที่ซึ่งศาลโลกอ้างกฎหมายปิดปาก มีสถานภาพเหนือสนธิสัญญา และมีสถานภาพเหนือความผิดตามธรรมชาติ ซึ่งทั้งไม่เป็นธรรมและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี เพราะคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ศาลโลกไม่ได้ลงมติตัดสินตัวแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่ตามที่กัมพูชาร้องขอ ทำให้ฝ่ายไทยตัดสินใจล้อมรั้วเล็กๆ เป็นรูป 3 เหลี่ยมรอบตัวปราสาทเท่านั้น และไม่ได้ถอยออกมาให้ถือเส้นเขตแดนตามที่ระบุเอาไว้ในแผนที่ ซึ่งกัมพูชาก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ ด้วย
ทั้งนี้ก่อนคำตัดสินของศาลโลก ประเทศไทยก็ไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 แต่เนื่องจากคดีประสาทพระวิหารได้มีการนำขึ้นสู่การพิจารณาคดีก่อนที่ไทยจะประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 จึงเป็นคดีสุดท้ายที่ประเทศไทยได้ยอมรับอำนาจศาลโลก
ด้วยคำตัดสินที่อยุติธรรม ประเทศไทยจึงไม่กลับเข้าสู่การยอมรับอำนาจศาลโลกอีก ซึ่งตราบใดที่ประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ก็จะไม่มีอำนาจศาลโลกใดมาบังคับให้ไทยต้องปฏิบัติได้อีก ดังเช่นประเทศส่วนใหญ่คือ 119 ประเทศ จาก 193 ประเทศ ในโลกที่ไม่ยอมรับอำนาจการบังคับของศาลโลก ซึ่งรวมถึงมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส ฯลฯ
ย้อนกลับมาบริเวณ 195 กิโลเมตรจากช่องบกถึงช่องสะงำ ซึ่งไม่เคยมีหลักฐานทางหลักเขตโดย “คณะกรรมการปักปันผสมสยามฝรั่งเศส” แต่กลับมีระบุเอาไว้ในข้อ 1(ค) ของ MOU 2543 โดยระบุว่าเป็นผลงานของ “คณะกรรมการปักปัน” สยาม-ฝรั่งเศส
การแอบอ้างใน MOU 2543 ว่าแผนที่ฉบับนี้เป็นผลงานของ “คณะกรรมการปักปัน”สยาม-ฝรั่งเศส เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเป็นผลผลิตท้ายสุดที่ถูกต้องแล้วตามสนธิสัญญา เมื่อผนวกกับคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ที่ใช้มูลฐานจากแผนที่ฉบับนี้มาปิดปากประเทศไทยในการตัดสินตัวปราสาท ทำให้กัมพูชาเกิดแรงจูงใจที่จะอยากได้แผ่นดินไหวมากกว่าแค่ตัวปราสาทพระวิหารจาก ปี 2505
ข้ออ้างที่ว่า ประเทศไทยมีประโยชน์ที่เอา แผนที่ 1: 200,000 ฉบับนี้ มาอยู่ใน ข้อ 1(ค) ของ MOU 2543 แล้วศาลโลกหรือนานาชาติจะไม่มาแทรกแซงนั้น ไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าศาลโลกเข้ามาตีความเพิ่มเติมในปี 2556 ให้ประเทศไทยต้องถอยออกจากตัวมากกว่าเดิม ไปถึงตีนภูมะเขือ ทั้งๆ ที่ ในเวลาตอนนั้นประเทศไทยมี MOU 2543 แล้ว
การกล่าวอ้างโดยกระทรวงการต่างประเทศที่ว่ามี MOU 2543 แล้วศาลโลกจะไม่สามารถแทรกแซงได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องจริง
และเมื่อ MOU 2543ใช้เป็นเครื่องมือป้องกันไม่ได้จริง แผนที่ 1:200,000 ตาม ข้อ 1(ค) ใน MOU 2543 ย่อมกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายกัมพูชาที่อันตรายอย่างชัดเจนมากขึ้นทันที
กัมพูชาจึงฉวยโอกาส “บุกรุกแผ่นดินไทยจริง” ตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยอ้างว่าเป็นผลงานร่วมคณะกรรมการปักปันสยามฝรั่งเศส ที่ประเทศไทยในที่สุดก็ยอมรับแล้ว
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว และแผนที่นี้เป็นแผนที่ชนิดเดียวที่ถูกระบุเอาไว้ในข้อ 1 ของ MOU 2543 ที่ให้ประเทศไทยและกัมพูชาต้องสำรวจ และ “จัดทำหลักเขตแดนทางบก” ตามแผนที่ 1:200,000 ซึ่งรวมถึงในบริเวณ 195 กิโลเมตรนี้ด้วย โดยไม่เคยมีแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่ประเทศไทยใช้อยู่ และยึดขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ ปรากฏอยู่ใน MOU 2543 เลย
ทำให้กัมพูชาฉวยโอกาสตีความเสมือนหนึ่งว่าไทยได้สละสิทธิ์การใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ และยอมรับแผนที่ 1:200,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการใน MOU2543
ทั้งๆ ที่คำพิพากษาศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกไม่เคยลงมติตัดสินแผนที่และสถานภาพของแผนที่มาก่อน
สิ่งที่ยืนยันได้ประการหนึ่ง ระหว่างที่กัมพูชาได้ยึดภูมะเขือได้ยาวนานถึง 17 ปี นัยตั้งแต่ปี 2551-2568 โดยที่ฝ่ายไทยทำได้แค่ประท้วงด้วยกระดาษ โดยกัมพูชาได้ทยอยยึดแผ่นดินไทยตามแผนที่ 1:200,000 จากช่องบกถึงช่องสะงำ โดยมีเป้าหมายยึดแผ่นดินไทยได้ถึง 130 ถึง 140 ตารางกิโลเมตร ตามแผนที่ที่ส่งมานี้ ด้วยการเอาแผนที่ 1:200,000 มาทาบบนภูมิประเทศจริง
และกัมพูชาอ้างเป็นแถลงการณ์ มาตลอด 17 ปี ว่าฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ละเมิดตาม MOU 2543 เพราะพื้นที่ซึ่งกัมพูชาบุกยึดได้นั้น เป็นแผ่นดินของกัมพูชาตามแผนที่ 1:200,000 ที่ฝ่ายไทยลงนามเอง ปรากฎอยู่ในข้อ 1(ค) ตาม MOU 2543
ดังนั้นเมื่อประเทศไทยมีโอกาสยกเลิกเพื่อแก้ไข MOU 2543 ให้ถูกต้อง เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดไทยอย่าง “ร้ายแรง” ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิยกเลิกได้ตาม ข้อ 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969
ซึ่งการยกเลิกนั้นประเทศไทยมีสิทธิเลือกเวลาในการยกเลิกไม่น้อยกว่า 3 เดือนขึ้นไป เช่น 8 เดือน 12 เดือน และต้องยื่นแนวทางแก้ไข กรอบการเจรจาใหม่ไปพร้อมกัน เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจของทั้งสองประเทศโดยในระหว่างนั้นชาติอื่นๆ ก็ยังเข้ามาแทรกแซงไม่ได้อยู่ดี
และประเทศไทยยังมีสิทธิ เลื่อนการมีผลยกเลิก ยุติการยกเลิกเพราะมีการแก้ไขแล้ว หรือให้ยกเลิกเมื่อถึงเวลาเพราะกัมพูชาขาดความจริงใจ ก็มีกลไก JBC ทำงานต่อไปได้โดยไม่เสียสิทธิ “กลไกทวิภาคี” และการสร้างเงื่อนไขนี้จะทำให้ “อำนาจต่อรองกลับคืนสู่ประเทศไทย“
และภายใต้เงื่อนไขวิธีการและกระบวนการ ถ้าจะยกเลิก MOU 2543 มาตรา 65 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969 กำหนดให้ประเทศไทยจะต้องยื่นข้อเรียกร้อง ข้อเสนอการแก้ไขปรับปรุง ในข้อต่างๆ ที่ทำให้เกิดการผิดพลาดตลอด 25 ปี ไม่ให้กัมพูชามีแรงจูงใจเพื่อเอาเปรียบประเทศไทยหรือพยายามทำให้เกิดข้อพิพาท ขัดแย้ง เพื่อทำให้แผนที่ 1: 200,000 เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาฝ่ายเดียวตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
ส่วนข้อกังวลของกรมแผนที่ทหารและกรมสนธิสัญญา กระทรวงกาาต่างประเทศ ที่ได้มีความเป็นห่วงว่า มี “หลักเขตแดน” ซึ่งจัดทำไปแล้วเสร็จบางส่วน ก็จะไม่ใช่ปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะมาตรา 70 ข้อ 1 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969 บัญญัติว่าข้อตกลงใดที่ได้ทำกันไปแล้วก่อนหน้านี้หน้านั้นจะไม่กระทบหากมีการยกเลิกสนธิสัญญา
การที่มีข้าราชการอ้างเชิงข่มขู่ว่าหากยกเลิก MOU 2543 แล้ว หลักเขตที่ตกลงกันได้จะสูญสลายไปหมด จึงเป็นเรื่องเท็จและไม่ใช่ความจริง
การยกเลิก MOU 2543 อันมีสาเหตุจากการที่กัมพูชา “ละเมิดร้ายแรง” จนประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต บาดเจ็บ จำนวนมาก ทั้งๆ ที่บริเวณเหล่านั้นไม่ใช่พื้นที่พิพาทเรื่องเขตแดน จึงเป็นโอกาสเดียวที่ประเทศไทยจะมีความชอบธรรมในการยกเลิก MOU 2543 ตามมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญาค.ศ. 1969 เพื่อทำการแก้ไขปัญหาและข้อบกพร่องของ MOU 2543 ที่ผ่านมา
โดยเมื่อกัมพูชาเป็นฝ่าย “ละเมิดร้ายแรง” ต่อข้อ 8 ของ MOU 2543 ที่ต้องใช้แนวทางสันติวิธี ฝ่ายทหารไทยจึงต้องถือว่ากัมพูชาได้ละเมิดร้ายแรงไปแล้ว ไทยจึงมีความชอบธรรมและจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเพื่อปกป้องตนเองและพลเมืองไทยตามกฎบัตรสหประชาชาติตามมาตรา 51
ทหารไทยจึงได้ตัดสินใจฉีก MOU 2543 โดย “พฤตินัย“ เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรงก่อน โดยได้ทำการยึดจุดสูงข่มและจุดยุทธศาสตร์ทั้งหมดตามแนวสันปันน้ำจำนวน 11 จุด คืนกลับจากกัมพูชา โดยยึดถือแผนที่ 1:50,000 เพื่อป้องกันพลเมืองไทยให้ได้รับความปลอดภัย
และเนื่องจากกัมพูชาได้ “วางทุ่นระเบิดใหม่” จนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บ จำนวนมาก อีกทั้งยังมีทำให้พลเมืองท่านได้รับความเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง กัมพูชาจึงละเมิดร้ายแรงต่อข้อ 3 ของข้อ 3 ของ MOU 2543 คือแทนที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิด กลับทำตรงกันข้ามคือวางทุ่นระเบิดใหม่แทน จึงถือว่าเป็นการละเมิดร้ายแรง ตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969 เช่นกัน
สภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงกองทุนหทัยทิพย์ และประชาชนชาวไทยอีกจำนวนมาก จึงย่อมถือว่าเมื่อกัมพูชาละเมิดร้ายแรงด้วยทุนระเบิด จึงยกเลิก MOU 2543 โดยพฤตินัยเช่นกัน และพร้อมใจกันสร้างรั้วชั่วคราวและจะสร้างกำแพงถาวรตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันมิให้กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดประเทศไทยร้ายแรงอีกต่อไป
หากประเทศไทยไม่ยืนยันการกระทำที่ละเมิดร้ายแรงของกัมพูชา เพื่อเป็นเหตุในการชิงจังหวะยกเลิก MOU 2543 แล้วไปประชุม JBC เสมือนหนึ่งว่าไทยและกัมพูชายังคงเดินหน้าตาม MOU 2543 ให้เป็นปกติ จะเข้าเกณฑ์ตามมาตรา 45 ซึ่งเป็นข้อบทจำกัดสิทธิตามมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ซึ่งจะส่งผลทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิการยกเลิกตามมาตรา 60 ทันที และใช้สิทธินั้นจาก้หตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้อีก
ดังนั้นการที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแถลงข่าวว่า หากประเทศไทยเดินหน้าประชุม JBC ประเทศไทยจะไม่เสียสิทธิใดๆ ในการยกเลิก MOU 2543 จึงเป็นเรื่องโกหกและไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อกัมพูชาพ้นข้อหาการละเมิดร้ายแรง เพราะประเทศไทยเป็นฝ่ายไม่ใช้สิทธิยกเลิก MOU 2543 ตามมาตรา 60 ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญาค.ศ. 1969 กัมพูชาย่อมใช้ MOU 2543 เป็นอาวุธตอบโต้ไทยได้ในทันทีหลังจากนั้น
โดยกัมพูชาย่อมมีโอกาสสูง สู้กลับทันทีว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายละเมิดเส้นเขตแดนของกัมพูชา ตามแผนที่ 1:200,000 ที้ปราฏอยู่ในข้อ 1(ค) ของ MOU 2543 ทหารไทยจึงต้องถอยออกจากการยึดภูมะเขือ และ 11 จุดที่ทหารไทยได้เสียสละด้วยชีวิตและร่างกายยึดกลับมาได้ เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรงต่อประเทศไทย
คำถามมีอยู่อีกว่าทหารและประชาชนไทยจะยอมถอยจากภูมะเขือ และ 11 จุดไหม เพียงเพราะฝ่ายไทยสละสิทธิการยกเลิก MOU 2543 โดยไปรีบประชุม JBC ทันทีแบบลึกลับและมีเงื่อนงำ
เช่นเดียวกับการสร้างฐานธงชาติไทยถาวรที่ภูมะเขือ รวมถึงการสร้างรั้วถาวร หรือการจะสร้างกำแพงและบังเกอร์ตลอดแนวชายแดนไทยโดยกองทุนหทัยทิพย์นั้น กัมพูชาอาจร้องสู่สากลว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายละเมิดตามข้อ 5 ของ MOU 2543 เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเหล่านี้เกิดขึ้นโดย “เจ้าหน้าที่ของรัฐไทย” โดยตรง ในขณะหลายพื้นที่ซึ่งกัมพูชารุกล้ำและยึดแผ่นดินไทยนั้นใช้ “พลเรือนบังหน้า” ทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ละเมิดข้อ 5 ของ MOU 2543
และกัมพูชาอาจเรียกร้องให้ฝ่ายไทยจะต้องรื้อรั้ว กำแพง และทุกสิ่งออกทั้งหมด และห้ามสร้างกำแพงอันเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ตามข้อ 5 ของ MOU 2543 ถึงเวลาตอนนั้นประเทศไทยจะเอาอะไรไปสู้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรงต่อประเทศไทยเข่นฆ่าคนไทย และวางทุ่นละเบิดใหม่แท้ๆ
จึงกราบเรียนมาฟ้องต่อพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ช่วยกันแชร์เรื่องนี้เพื่อช่วยกันเรียกร้องหรือกดดันต่อรัฐบาลไทย
อย่างน้อยที่สุดต้องเลื่อนประชุม JBC ออกไปก่อนเพื่อปกป้องสิทธิการยกเลิก MOU 2543 อันเนื่องมาจากกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรง ตามมาตรา 60 ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969
ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 3 วันแล้ว
ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
18 ตุลาคม 2568
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1342954457198251&id=100044511276276