มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยสายงานกิจการนักศึกษา จัดกิจกรรมอบรมพัฒนาบุคลิกภาพสำหรับผู้เข้าร่วมประกวดนพรัตน์ทองคำ ครั้งที่ 40 ประจำปีการศึกษา 2568 ณ ห้องประชุม 7-1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อส่งเสริมความพร้อมด้านบุคลิกภาพและการสื่อสารให้แก่นักศึกษา ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาทักษะชีวิตและความสามารถในการแสดงออกอย่างมืออาชีพ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568
กิจกรรมดังกล่าวได้รับเกียรติจาก อาจารย์ก้อง ปรีดิยุช รัตนงาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการคัดเลือกและบริหารจัดการศิลปิน รวมถึงวิทยากรด้านบุคลิกภาพและการสื่อสารที่มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านแนวคิด “3S Framework” ซึ่งประกอบด้วย 1. Change Your Personality พัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมกับบริบท 2. Sharpen Communication Skill เสริมทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ และ 3. Shine from Within สร้างความมั่นใจจากภายใน
“ความประทับใจแรกพบไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พูด แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่แสดงออก”
การบรรยายเริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ทฤษฎี 7 วินาที" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการสร้างความประทับใจครั้งแรกนั้น 55% มาจากภาษากายและการแสดงออก ส่วนอีก 38% มาจากน้ำเสียง และเพียง 7% เท่านั้นที่มาจากเนื้อหาของคำพูด การตระหนักถึงสัดส่วนนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงตนเองอย่างมีเป้าหมาย
อาจารย์ก้องยังกล่าวว่า “การพัฒนาบุคลิกภาพไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเรา แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะแสดงออกในแบบที่ดีที่สุดของตนเอง” พร้อมกับแนะนำ “คาถา 5 ข้อ” สำหรับการยืนที่สง่างาม ได้แก่ ศีรษะตรง มองตรง ยืดอก ยกไหล่ แขม่วท้อง ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถนำไปฝึกได้ทันที
เพื่อเสริมความมั่นใจในท่วงท่า อาจารย์ก้องยังแนะนำเทคนิคการฝึกยืนพิงกำแพง โดยให้ผู้ชายยืนให้ทุกส่วนของร่างกายสัมผัสผนัง ส่วนผู้หญิงให้สัมผัสเฉพาะส้นเท้าและหัวไหล่ ขณะที่การเดินอย่างเหมาะสมนั้น ผู้ชายควรจินตนาการว่ากำลังเดินคร่อมเส้น ส่วนผู้หญิงเดินบนเส้น และควรก้าวให้สุดความยาวขาพร้อมกับให้ส้นเท้าลงก่อนเสมอ นอกจากนี้ การวางมือก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ ด้วยการประสานมือเหนือสะดือเล็กน้อย โดยให้มือข้างที่ถนัดอยู่ด้านนอก เพื่อให้สามารถใช้ประกอบการพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ยิ่งก้มเยอะ ยิ่งดูสวย”
เมื่อนักศึกษายืนและเดินได้อย่างสง่างามแล้ว การสร้างความประทับใจที่สมบูรณ์แบบยังรวมถึงการไหว้ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนความเคารพและความเป็นมืออาชีพ โดยอาจารย์ก้อง ได้อธิบายระดับการไหว้ที่เหมาะสมตามบริบท ได้แก่ ปลายนิ้วอยู่ที่หัวคิ้วสำหรับไหว้พระ ปลายนิ้วอยู่ที่ปลายจมูกสำหรับไหว้ผู้ใหญ่ และปลายนิ้วอยู่ที่ปลายคางสำหรับบุคคลระดับเดียวกัน พร้อมเน้นว่า “ยิ่งก้มเยอะ ยิ่งดูสวย” เพราะเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังในเชิงสังคม
และเพื่อให้การมองดูนุ่มนวลและไม่กดดันคู่สนทนา การสบตาอย่างเหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ควรฝึกฝน โดยอาจารย์ก้องแนะนำเทคนิค “สามเหลี่ยมบนใบหน้า” ไล่สายตามองตาขวา ตาซ้าย และปากของคู่สนทนา ใช้เวลาประมาณ 4 วินาทีในแต่ละจุด เพื่อให้การมองดูนุ่มนวลและไม่กดดันคู่สนทนา
“Your voice is your presence before your content”
นอกจากภาษากายที่สะท้อนตัวตนแล้ว การใช้เสียงอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ช่วยเสริมพลังในการสื่อสาร ซึ่งอาจารย์ก้องได้กล่าวในระหว่างการบรรยายว่า “Your voice is your presence before your content” เพราะเสียงคือสิ่งที่แสดงตัวตนก่อนเนื้อหาเสมอ และการใช้เสียงอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเริ่มต้นจากการหายใจจากกะบังลม โดยหายใจเข้าให้ท้องป่อง กักลมไว้ 1 วินาที แล้วปล่อยออกพร้อมกับพูด ซึ่งเป็นจังหวะทองของเสียงให้ทรงพลังและมั่นคง
สำหรับผู้ที่มีเสียงเบา อาจารย์ก้องแนะนำว่า “พูดให้ดัง” นอกจากนี้ เวลาจับไมโครโฟนให้จับเหมือนจับปากกา ไม่บังส่วนหัวไมโครโฟน และทดสอบเสียงเพียงครั้งเดียวด้วยคำพูดสุภาพ เช่น “ขออนุญาตทดสอบเสียงครับ/ค่ะ”
“ในส่วนการตอบคำถามที่ดี ให้มีประสิทธิภาพที่สุดในเวทีประกวดหรือสถานการณ์สำคัญ เปรียบเหมือน ‘การเดินทางไป ห้างพารากอน เราต้องรู้เป้าหมายและเลือกเส้นทางที่เหมาะสม” อาจารย์ก้องกล่าวเสริม โดยคำตอบที่สมบูรณ์แบบจะต้องประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ การตอบให้ตรงประเด็น การให้เหตุผลที่หนักแน่น และการจบให้ผู้ฟังประทับใจด้วยการขยายผลจากคำตอบส่วนตัวไปสู่ประโยชน์ของส่วนรวม
Fake it until you make it…ด้วยคำตอบที่ใช่
ในช่วงสุดท้ายของการอบรม อาจารย์ก้องยังแนะนำเทคนิคการพูด 4 แบบ ได้แก่ Power of Hook (การเปิดเรื่องด้วยคำถามหรือข้อมูลที่น่าตกใจ), Rule of Three (การใช้โครงสร้าง 3 ส่วนในการพูด), Power of Pause (การหยุดพูดเป็นจังหวะเพื่อเน้นประเด็น) และ Storytelling (การเล่าเรื่องเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม) เพื่อเสริมมิติของการสื่อสารให้มีพลังและเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้น
หลังจากนั้นอาจารย์ก้องได้พานักศึกษาผู้เข้าประกวดทุกคนร่วมเจาะลึก “การสร้างความมั่นใจจากภายใน” โดยบอกว่า “Fake it until you make it” ซึ่งหมายถึงการฝึกฝนและแสดงออกในด้านที่ดีที่สุดของตนเองซ้ำๆ จนกลายเป็นความจริง เพราะความมั่นใจไม่ใช่พรสวรรค์ แต่คือชุดความคิดที่สามารถสร้างได้ผ่านการฝึกฝนและการยอมรับตัวเอง
ก่อนจะจบการอบรมอาจารย์ก้องยังได้ฝากด้วยสูตร “การสร้างแบรนด์สำหรับบุคคล” ผ่าน 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. Core แก่นแท้ ที่ตอบคำถามว่าเราเก่งและชอบอะไร 2. Character ลักษณะนิสัย ที่ระบุนิสัยที่ชัดเจนที่สุด และ 3. Contribution การส่งต่อคุณค่า ที่ค้นหาว่าเราอยากใช้ตัวตนสร้างประโยชน์อะไรให้สังคม ซึ่งเมื่อนักศึกษาเข้าใจทั้งสามองค์ประกอบนี้ นักศึกษาจะสามารถสรุปออกมาเป็นคำจำกัดความของตัวตนที่ชัดเจน น่าจดจำ และมีเอกลักษณ์ พร้อม “เปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอก”
ทั้งนี้ การประกวดนพรัตน์ทองคำ ครั้งที่ 40 ประจำปีการศึกษา 2568 นี้ จะประกาศผลในเดือนพฤษภาคม 2569 โดยกิจกรรมอบรมในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อวางรากฐานการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการสื่อสาร บุคลิกภาพ และความมั่นใจจากภายใน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่เวทีแห่งความสำเร็จ ยังสามารถนำไปต่อยอดได้ในทุกบริบทของชีวิตไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการเข้าสังคม เพื่อให้นักศึกษาเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด พร้อมสำหรับการเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของ DPU Potentialigence “ปลุกศักยภาพ เปลี่ยนอนาคต”
สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก กิจการนักศึกษา DPU และ www.dpu.ac.th/th เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและมีความหมาย