ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ โพสต์ถึงแพรรี่ ไพรวัลย์ เรื่องสันติภาพและชาตินิยม หลังโชว์รายได้หลักแสนจากการโพสต์วิจารณ์ผู้นำกัมพูชา ด้านแพรรี่สวนกลับทันควัน ชี้ปวินเองก็เป็น "ตัวแพร่เชื้อความเกลียดชัง" ไม่ต่างกัน ดรามาสองฝั่งยังไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ
จากกรณีดรามา ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ออกมาโพสต์วิจารณ์หลัง แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร โพสต์เปิดรายได้จากเฟซบุ๊ก เป็นเงิน 17,100 ดอลลาร์ (ราว 5.5 แสนบาท) ช่วง 28 วันที่ผ่านมา ในทำนองว่า รายได้นี้มาจากการด่าผู้นำและโฆษกของกัมพูชา
ล่าสุดวันนี้ (13 ส.ค.) เฟซบุ๊ก “Pavin Chachavalpongpun” ได้โพสต์กล่าวถึง “แพรรี่ ไพรวัลย์” ระบุว่า "เรื่องไพรวัลย์ ดิฉันมีประเด็นสุดท้ายที่อยากพูดถึง
1. เพิ่งรู้มาว่าไพรวัลย์เคยศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษา ที่มหาวืทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่สุดท้ายก็ยุติการศึกษา คือหากรวมเปรียญ 9 และความต้องการศึกษาสันติภาพ ไพรวัลย์น่าจะเข้าใจในหลักการแห่งเมตตา การไม่เบียดเบียน และการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ แต่สุดท้ายกลับมีท่าทีที่สนับสนุนความขัดแย้งหรือแสดงความเห็นที่อาจนำไปสู่สงคราม หากว่าไพรวัลย์ได้เรียนสันติภาพศึกษาอย่างจริงจัง เขาจะ 1) เข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้ง ไม่ใช่แค่การมองปัญหาสงครามในมิติเดียว แต่จะสามารถวิเคราะห์ถึงปัจจัยซับซ้อน ทั้งทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม 2) จะสามารถฝึกทักษะการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ เพื่อตั้งคำถามกับวาทกรรมชาตินิยมและโฆษณาชวนเชื่อที่มักปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง และ 3) จะเข้าใจถึงหลักการเจรจาและมนุษยธรรม การแสวงหาทางออกที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงความสูญเสียของทุกฝ่าย ไม่ใช่การเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ส่วนตัวดิฉันเห็นว่า การศึกษาอาจไม่ได้ช่วยให้ "ไม่บ้าคลั่งสงคราม" แต่เป็นการมอบ "เครื่องมือ" ในการคิดอย่างมีเหตุผลและเมตตา ซึ่งแต่ละคนจะเลือกใช้เครื่องมือเหล่านั้นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ในชีวิตของตนเอง
2. ดิฉันสังเกตว่า ตั้งแต่ยังเป็นพระและเมื่อสึกออกมา ไพรวัลย์พยายามอย่างมากที่จะสร้าง persona ของตัวเองให้เป็นปากเป็นเสียงให้คนรากหญ้า (อย่างที่บางคนเรียกว่า “พระก้าวหน้า”) แต่ persona นี้ selective คือการเป็นปากเสียงให้บางเรื่อง และหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นนำหรือสถาบันหลักในยามที่เกิดวิกฤต เป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมที่มีโครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อนและเปราะบาง อย่างตอนนี้ การเลือกที่จะไม่ตั้งคำถามถึงบทบาทของกองทัพในความขัดแย้งระหว่างชาติ แต่กลับร่วมสร้างกระแสชาตินิยม ก็เพื่อรักษาสถานะและอิทธิพลของตนเองในสังคม และสุดท้ายเพื่อสร้างรายได้ ก็เพื่อจะให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับในกระแสหลักและสามารถดำเนินกิจกรรมสาธารณะอื่นๆ ได้ต่อไป โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการท้าทายอำนาจ
3. สุดท้าย ตลอดเวลา 2 วันที่ผ่านมา การโต้แย้งกับดิฉันไม่ได้อยู่ประเด็นเริ่มแรก (นั่นคือ อินฟลูฯ ปั่นสงครามเพื่อรายได้) และไม่ได้อยู่บนหลักการ แต่กลับเป็นการใช้วิธีอื่นเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นนั้น ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการโต้วาทะในสภาวะที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล สำหรับบางคน การโต้แย้งในโลกออนไลน์ไม่ได้ต้องการความถูกต้องเชิงตรรกะเสมอไป แต่ต้องการเนื้อหาที่สร้างความรู้สึกร่วมและได้รับความนิยมในวงกว้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างรายได้และผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ง่ายกว่า เมื่อมองกรณีไพรวัลย์ การศึกษาทางธรรมที่มุ่งเน้นการท่องจำอาจทำให้เขาคุ้นชินกับการตีความตามตัวอักษรมากกว่าการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่ถนัดในการโต้แย้งเชิงวิพากษ์ อย่างไรก็ตาม การขาดทักษะในการโต้แย้งนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากศาสนาโดยตรง แต่เป็นข้อจำกัดของระบบการเรียนการสอนและอาจเป็นความถนัดส่วนบุคคลมากกว่า ซึ่งในโลกของอินฟลูฯ นั้น ทักษะในการสร้างกระแสและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายจึงอาจมีความสำคัญยิ่งกว่าการใช้ตรรกะที่เคร่งครัด ดิฉันคงให้ได้แต่วิทยาทานเพียงเท่านี้แค่นั้นค่ะ"
หลังจากนั้น “แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร” ได้ออกมาโพสต์โต้กลับว่า "ปวินบอกว่าดิฉันเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นนำ เพื่อรักษาสถานะและอิทธิพลของตัวเองในสังคม ทั้งที่ดิฉันเคารพจุดยืนตัวเองในการแสดงความคิดเห็น อย่างในกรณีของความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ดิฉันทั้งโพสต์และไลฟ์สดวิพากษ์วิจารณ์ถึงท่านอดีตนายกฯ หญิง
ดิฉันเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกเพื่อให้ดิฉันต้องโพสต์หรือไม่โพสต์อะไรค่ะ ไม่ใช่แค่ปวินนะคะที่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือยึดมั่นในอุดมการณ์ของตน คนอื่นก็มีค่ะ
ถ้าปวินกล่าวหาว่าดิฉันสร้างกระแสชาตินิยม คนแบบปวินก็ปลุกกระแสชังชาติชังคนในชาติอย่างไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยความอคติมืดบอดในหลายครั้งไม่ต่างกัน
คนสติปัญญาดีที่ไหนจะไปมีปัญหากับคนยืนกินลูกชิ้น
ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมกะเทยปากร้ายอย่างปวินถึงเขียนกลอนแบบต่ำช้าด่าลูกเจ้าในวันเกิด แล้วโพสต์ลงในกลุ่ม ถ้านั่นไม่ใช่แค่เพื่อสำเร็จความใคร่ที่เต็มไปด้วยความหยาบช้าในจิตใจของตัวเอง
ดิฉันเคยพูดเมื่อตอนเป็นพระว่า ปวินคือตัวแพร่เชื้อความเกลียดชังให้กับผู้คนในสังคม และตอนนีี้ดิฉันก็ยังมองแบบนั้นอยู่
ถ้าที่ญี่ปุ่นมีร่องน้ำข้างทาง ปวินก็ควรไปยืนชะโงกและส่องเงาดูหน้าตัวเองบ้างนะคะ แล้วปวินจะเข้าใจว่าสิ่งที่มันพยายามแปะป้ายให้คนอื่น ก็คือสิ่งที่ตัวมันเป็นและทำอยู่ตลอดเวลาค่ะ"