ท่ามกลางเสียงเชียร์ ให้ทุกภาคส่วนในไทย“แบนคนเขมร” โต้กลับการรุกล้ำอธิปไตยบนชายแดนไทย กับมาตรการกัมพูชาสั่งแบนละครไทย เตรียมแบนสินค้าไทย
กูรูเตือน อย่าผลีผลาม “แบนเชื้อชาติด้วยความเกลียดชัง” เพราะจะตกอยู่ในเกมการเมือง ที่เขาวางหมากไว้หลอกใช้เรา พร้อมแนะวิธีตอบโต้ให้ได้ผลตรงจุด ชอบธรรม ตามหลัก“สันติวิธี”
** คว่ำบาตรภาคประชาชน “แบนแรงงานเขมร” **
“ร้านนี้ไม่รับ และไม่มีแรงงานจากประเทศกัมพูชา”
“ห้ามไอ้เขมร เข้ามาซื้อของในร้านโดยเด็ดขาด ฝ่าฝืนไม่โดนปรับ แต่โดนตี..”
นี่คือตัวอย่างบางส่วน สะท้อนมาตรการตอบโต้ของร้านค้าไทย ที่แชร์กันบนโลกออนไลน์ จนกลายเป็นไวรัล ซึ่งมีทั้งฝั่งที่เห็นด้วย “หนุนให้แบนแรงงานเขมร” เพื่อสะท้อนการคว่ำบาตรประเทศกัมพูชาอย่างจริงจัง จากพฤติกรรมรุกล้ำดินแดน ไม่เคารพอธิปไตยของไทย
ในขณะที่ประชาชนบางส่วน ยังคงไม่เห็นด้วย เพราะกลัวว่าจะบานปลายไปถึง “การเหยียดชาติ” ได้ แต่โดยรวมแล้ว พอเห็นมาตรการ “กัมพูชาแบนไทย” ที่ประกาศใช้เรียบร้อยแล้วในประเทศบ้านเขา ก็เริ่มผลักให้พี่น้องชาวไทย หันมานึกถึงเรื่องแสดงพลังกันมากขึ้น
เพราะล่าสุด ฝั่งกัมพูชาทั้งสั่งห้ามฉายละครไทย หนังจากไทย, ปรับลดวีซ่าคนไทย เข้าได้แค่ 7 วัน จากเคยลิมิตสูงสุดอยู่ที่ 60 วัน, เลิกพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากไทย แล้วจัดหาแหล่งใหม่เอง
แม้แต่เรื่องเวลาเปิด-ปิดด่าน ก็ปรับให้เหลื่อมเวลาไทย 1 ชั่วโมง คือไทยเปิดตั้งแต่ 8.00-15.00 น. ทางฝั่งกัมพูชาเลยเลือกเปิด 9.00-16.00 น.
รวมไปถึงคำสั่งห้ามนักมวยไทย ทั้งหญิงและชาย ขึ้นเวทีร่วมแข่งในกัมพูชา พร้อมกับประกาศจุดยืนเพิ่มอีกว่า ถ้าไทยไม่เปิดชายแดน กัมพูชาจะแบนไทยแบบเต็มขั้นอีก 6 แนวทาง
คือ 1.ยุติการนำเข้าสินค้าจากไทย
2.เตรียมหาตลาดใหม่ เพื่อรับซื้อสินค้าส่วนใหญ่ ที่เคยส่งออกไปยังไทย
3.ย้ายผู้ป่วยที่เคยรักษาในไทย ให้ไปรักษาในประเทศอื่น
4.ดึงแรงงานเขมรกลับจากไทย ด้วยการจัดหางานให้ใหม่ในประเทศตัวเอง
5.เตรียมกองกำลังทุกเหล่าทัพให้พร้อม 24 ชั่วโมง
และ 6.เตรียมแผนอพยพประชาชน ในจังหวัดที่อยู่ใกล้ชายแดน
ถึงตอนนี้ฟากรัฐบาลไทยเรา ยังไม่มีมาตรการแบนกัมพูชาออกมาชัดเจน แต่ในส่วนของพี่น้องชาวไทยเอง กลับเริ่มปรากฏพฤติกรรมแบนกันเองบางๆ แล้ว
คือนอกจากร้านค้าบางร้าน จะขึ้นป้ายแบนแรงงานกัมพูชา จนกลายเป็นที่ถกเถียง ยังมีผู้ใช้เฟซบุกรายนึง ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์จาก“ตลาดสด” ว่า “เริ่มได้เห็นการตอบโต้ภาคประชาชน บางคนก็ไม่ยอมซื้อผักของแม่ค้าเขมรในตลาด”
นอกนั้น ในฟากของอินฟลูฯ อย่าง “กันจอมพลัง” (กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์)ก็มีออกมาเดินหน้าขบวนการ “กวาดล้างขอทานเขมร”อย่างจริงจัง ด้วยการชวนให้พี่น้องชาวไทย ช่วยส่งเบาะแสกันเข้ามาได้
โดยเฉพาะกลุ่มแก๊งที่ลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย จะได้จับกุมและส่งตัวกลับประเทศให้หมด หลังปล่อยให้แบมือขอเงินในไทย จนสร้างรายได้วันละเป็นพัน โดยเฉพาะสถานที่ฮอตฮิต ย่านท่องเที่ยว ได้เป็นหมื่น
จะได้ขยายผล ทลายแหล่งขอทาน ขยายฐานไปจนถึงทลาย“แรงงานเถื่อน” ชาวเขมรในไทยให้สิ้นซากไปด้วย
{กวาดล้างขอทานเขมร}
** เทียบเคส “แบน” ขัดแย้งระดับชาติ **
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก กับการโต้กลับด้วยวิธีการแบน เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเคส “จีน-อินเดีย” ที่คนอินเดียลุกขึ้นมาแห่แบนสินค้าจีน จากเหตุขัดแย้งกันระหว่างชายแดน เมื่อปี 63 ก็มีให้เห็นมาแล้ว
หรือจะเป็นเคสชาวมุสลิม ในตะวันออกกลาง คว่ำบาตรสินค้าพวกเครื่องสำอางและอาหาร จากฝรั่งเศส เพราะประธานาธิบดีฝรั่งเศส ดันออกมาพูดดูหมิ่นศาสนาอิสลาม
หรือจะเป็นการประท้วงที่เกิดขึ้นในเวียดนาม เมื่อรัฐบาลจีนตั้งแท่นขุดน้ำมันกลางทะเล ที่ยังคงเป็นข้อพิพาทกันอยู่ระหว่าง 2 ประเทศ
ถ้าให้วิเคราะห์วิธีการโต้ตอบในฟากของประชาชนแล้ว กูรูอย่าง “ผศ.ดร.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์”สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล มองว่า การประท้วงในรูปแบบนี้จะสำเร็จไหม ก็ขึ้นอยู่กับทำได้ตรงจุดแค่ไหน
อย่างเคสความขัดแย้งระหว่าง“อิสราเอล-ปาเลสไตน์” คนอิสราเอล ประท้วงการกระทำของรัฐบาลตัวเอง ที่ก่อความรุนแรงและทำสงครามกับปาเลสไตน์
ถึงจะไม่ได้ช่วยให้สงครามยุติได้ในทันที แต่มันก็ทำให้ความชอบธรรมในการก่อสงคราม จากการสั่งการของรัฐบาลอิสราเอล มีน้อยลง เพราะคนทั้งโลกตระหนักได้ว่า แม้แต่คนในชาติเดียวกัน ยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้เลย
{“ผศ.ดร.พัทธ์ธีรา” กูรูสันติศึกษา ม.มหิดล}
หรืออย่างเคสในประวัติศาสตร์ การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในไทย ช่วง พ.ศ.2515-2527 ที่แดนอาทิตย์อุทัย เข้ามาครอบงำตลาดไทย ด้วยการส่งสินค้าจำนวนมากมาขายในบ้านเรา จนไทยเสียดุลการค้าอย่างมหาศาล
ตอนนั้นชาวไทยก็ตอบโต้ด้วยการไม่ซื้อของจากญี่ปุ่น และหันมาใช้สินค้าไทยทำ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี เพราะการรณรงค์นี้แพร่หลายในหมู่คนไทย
“ประเด็นเนี่ย ต้องไปดูว่า เรากำลังสู้ในประเด็นไหน ถ้าสู้ด้วยประเด็น การครอบงำ หรือการผูกขาดสินค้า ครอบงำสินค้า ของญี่ปุ่นกับไทย เราก็ต้องกัน ด้วยการแบน ส่งเสริมสินค้าไทย อันนี้เราโต้กลับตรงประเด็น”
** “แบนแรงงาน” ไม่ช่วย ให้ตรงจุดต้อง “แบนผู้นำ” **
กลับมามองข้อพิพาทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ถึงจะมีการปิดด่านชายแดน และลดวีซ่า รวมถึงท่าทีขู่ตัดไฟ ตัดเน็ต จากรัฐบาลไทยก่อนหน้านี้ แต่ก็ดูไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก
ถ้าให้นักสันติวิธีรายนี้วิเคราะห์ คำตอบก็เพราะการพยายามเคลมพื้นที่ ที่เป็นข้อพิพาทของกัมพูชาทุกครั้ง ความต้องการได้ดินแดน อาจเป็นเป้าหมายรอง แต่เป้าหมายหลักจริงๆ คือเกมการเมืองของ “ตระกูลฮุน” เพื่อเรียกคะแนนจากกระแสชาตินิยม ในช่วงใกล้เลือกตั้ง ด้วยการสร้างให้ไทยกลายเป็นศัตรู
ถือเป็นวิธีที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่ออย่าง “ฮุนเซน” มาจนถึงรุ่นลูกอย่าง “ฮุน มาเนต” นายกฯ คนปัจจุบัน หยิบมาใช้
“เวลาที่ทางฝั่งนู้นพูดอะไรเนี่ย พูดกับเราแบบนึง แต่กลับไปพูดกันภายใน ก็เป็นอีกแบบนึง แม้กระทั่งฝ่ายกองทัพของเรา แม่ทัพนายกองของเรา ก็บอกยังไว้ใจไม่ได้
เพราะว่าก็มีหลายครั้งเนอะ ไม่ได้มีครั้งนี้ครั้งเดียวนะคะ ที่มาตกลงกับเราแบบนึง แต่พอหันกลับไป ก็ไปแถลงการณ์ ไปประโคมข่าวอีกแบบนึง ซึ่งอันนี้เป็นมิติของการปั่นกระแส ในทางการเมืองชัดมาก”
{ต่อหน้าบอกยอม ลับหลังปั้นกระแสต่อ}
สิ่งที่พี่น้องชาวไทย และภาครัฐต้องระวังเพิ่มเติม คือการตอบโต้อย่างการแบนคนกัมพูชา ที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง เพราะการเหมารวมแบบนี้ อาจกลายเป็นไปเข้าเกมของกัมพูชา หนุนให้รัฐบาลตระกูลฮุน สามารถเอาไปปั้น
สร้างความเกลียดชังคนไทยในเขมรได้ต่อ จึงอาจถือเป็นการตอบโต้ ที่ไม่ตรงจุดเท่าไหร่
นักสันติวิธีมองว่า สิ่งที่ควรแบน ไม่ใช่คนเขมร แต่เป็นตัว “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” อย่างการรณรงค์ ไม่ให้นักลงทุนไทยไปลงทุนฝั่งนู้น หรือไม่ข้ามฝั่งไปเที่ยวกัมพูชา และคนไทย กับกัมพูชา อาจต้องร่วมกันประณาม การกระทำของตระกูลฮุน
“สังคมไทยเรา กำลังถูกปั้น โดยที่เรายังไม่ได้วิเคราะห์ ให้รอบด้านหรือเปล่า พอติดแบนคนกัมพูชา เอาเข้าจริงๆ แล้ว เรากำลังทำอะไร เรากำลังแสดงว่า เรารักชาติของเรา แต่เราเกลียดคนของประเทศคนอื่น ซึ่งก็ไม่ได้แก้ปัญหาถูกต้องนะ
สำหรับมุมมองในสันติวิธี อันนี้ยังไม่ตรงจุด ตรงประเด็นนัก และมันกลายเป็นการเหมารวม และสร้างความเกลียดชัง ระหว่างประชาชนด้วยกันมากกว่า
รณรงค์เลยว่า ตั้งเงื่อนไข If-Clause ถ้าฮุนเซนยังไม่หยุดเรื่องนี้ คนไทยเรารณรงค์ ไม่ข้ามไปเที่ยวฝั่งนู้น แค่รณรงค์ปิดด่าน รณรงค์ตัดน้ำ ตัดไฟ พอแล้ว
ถ้าเราอยากจะให้ ประสบความสำเร็จ ในระดับรัฐชาติจริงๆ ไม่ว่าจะคนไทย หรือกัมพูชา ก็ต้องร่วมมือกัน แล้วไม่ใช่ไปแบนคนกัมพูชา สิ่งที่ต้องแบนคือการกระทำของฮุนเซน ของผู้นำประเทศเขา เจาะไปเลยให้มันตรงประเด็น
คือปฏิบัติการสันติวิธี ไม่ทำด้วยความเกลียดชัง ปฏิบัติการตอบโต้ ต่อความอยุติธรรม ต่อความไม่ถูกต้อง ต่อความไม่จริง ต่อความเท็จ ความลวง”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “มหัศจรรย์ฉันออมเงินแล้วจ้า”, “นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์”, “สำนักงานเขตปทุมวัน Pathumwan District Office”, “Army Military Force - สำรอง”, www.voathai.com
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **