xs
xsm
sm
md
lg

2566 สังคมไทยป่วยไข้ พร้อมระเบิดปี 2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ย้อนมองสังคมไทยปี 2566 สารพันปัญหารุมเร้า คอร์รัปชั่น มาเฟีย อิทธิพลเถื่อน ต้มตุ๋น หลอกลวง พนันออนไลน์ โดย ขรก.เข้าไปมีเอี่ยว สถาบันครอบครัวแตกแยก เด็กถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือ ทุกอย่างสะสมหมักหมมจนเหมือนระเบิดเวลาที่ใกล้ระเบิดออกมาในปี 2567 ที่จะมาถึง



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้มองย้อนสังคมไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ายังเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ หมักหมมอยู่มากมาย ถึงขั้นเรียกได้ว่าสังคมป่วยหนักและจะทำให้ปี 2567 เป็นอีกปีที่วุ่นวายที่สุด เริ่มตั้งแต่ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเมื่อต้นปี วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 รายการ“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เคยพูดถึงเรื่อง “ส่วยฉาวโฉ่กรมอุทยาน ... ทำไมประยุทธ์ยังกล้าเอาซุกทำเนียบ?”


ซึ่งเป็นข่าวฉาวโฉ่ข้ามปี 2565 ต่อ 2566 โดยเหตุเกิดเมื่อ วันที่ 27 ธันวาคม 2565 เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) บุกเข้าตรวจค้นภายในห้องทำงานนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 “เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ” โดยขณะตรวจค้น พบเงินสดจำนวน 4 ล้าน 9 แสนบาท แต่จนถึงวันนี้ มีข้อสังเกตว่า ผ่านมา 1 ปี เรื่องนี้หายเข้า “กลีบเมฆ” ไปแล้ว

“กลีบเมฆ” ที่ว่านี้ หมายถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งรับสำนวนคดีเรื่องนี้ไปตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2566 หรือหลังเกิดเหตุได้ไม่ถึงเดือน แต่ผ่านมาถึงวันนี้ เรื่องราวกลับเงียบหาย สังคมไม่ได้รับรู้อะไรเพิ่มเติมเลย


ทั้ง ๆ ที่ หากติดตามข่าวกันจริง ๆ เรื่องส่วยกรมอุทยานฯ นี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มหัศจรรย์พันลึก แต่เรื่องราวกลับถูกดองเค็ม เก็บใส่ลิ้นชักไว้จนถึงทุกวันนี้เป็นไปได้อย่างไร

เรื่องส่วยกรมอุทยานฯจึงสะท้อนภาพอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับ“ปัญหาสังคมไทย” ทุกวันนี้ ที่ทุกอย่างหมักหมม สะสม จนเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ ใกล้ระเบิดแตกออกมาเต็มที

เรื่องถัดมา กรณีของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” ซึ่งในเวลานั้นสังคมไทย-สื่อไทยช่วยกันตีโป่งว่าเป็นคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจพันล้าน หมื่นล้านร่ำรวยมาจากการทำธุรกิจขาย “หวยสแกน” หรือ “หวยออนไลน์” โฆษณาตัวเองว่าสร้างเนื้อสร้างตัวจากคนธรรมดา ออกสื่อคุยโม้โอ้อวดว่ากำลังจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ 


แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังของนอท กองสลากพลัสในวันนั้น ซึ่งในวันนี้กลายร่างมาเป็นนอท ลอตเตอรี่พลัส ก็คือ หนึ่งในฟันเฟืองของขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ที่เชื่อมโยง และครอบคลุมไปตั้งแต่ แก๊งพนันออนไลน์-ออฟไลน์ แก๊งบัญชีม้า แก๊งฟอกเงิน แก๊งเงินดิจิทัล ขุดคริปโตเคอร์เรนซี แก๊งหลอกลวงเทรด Forex แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งขบวนการเหล่านี้ยังเชื่อมโยงไปยัง อาชญากรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มค้าแรงงานเถื่อน-ค้ามนุษย์ กลุ่มทุนจีนสีเทา ทุนข้ามชาติสีเทา ฯลฯ

ยกตัวอย่างเช่น นายนอท พันธ์ธวัช ก็เชื่อมโยงกับ นายแทนไท ณรงค์กูล เจ้าพ่อเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งเคยถูกศาลแพ่งสั่งยึดทรัพย์ไปแล้วเรียบร้อยกว่า 176 ล้านบาท ข้อหาเกี่ยวพันกับการพนันออนไลน์ ทว่า ตอนหลังพยายามฟอกตัว ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นมหาเศรษฐีผู้บริสุทธิ์ ผู้ร่ำรวยมาจากการซื้อขายเงินดิจิทัล แต่ประวัติอาชญากรรมที่ยังหลงเหลือ ต่อให้ลบยังไงก็ยังลบไม่ออก


มีเพียง“คดีอาญา”ของนายแทนไท ณรงค์กูล เท่านั้นที่มีความพิลึกพิลั่นจากการที่อัยการสูงสุดในยุคของ นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน กลับมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ทั้ง ๆ ที่ “คดีแพ่ง” นั้นศาลตัดสินลงมาแล้วว่าพร้อมหลักฐานมัดตัวแน่นว่า นายแทนไทเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์เต็ม ๆ

คนพวกอาชญากรเหล่านี้ ขบวนการสีเทาทั้งหมดนี้ จะอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอนหากไม่มี “ข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐ-นักการเมือง” หนุนหลังอยู่

ด้วยเหตุนี้ บรรดา ธุรกิจพนันออนไลน์-ธุรกิจฟอกเงิน-ทุนจีนสีเทา และธุรกิจสีเทา ที่เบ่งบานอยู่ในบ้านเรามาได้ถึงทุกวันนี้ และระเบิดแตกออกมาผ่านหลาย ๆ เรื่องที่ผมนำเสนอในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิในรอบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น
  • คดีแทนไท
  • มาเก๊า888 - ดิว อริสรา
  • ฟลุก มาวินเบ็ท
  • มินนี่ เจ้าแม่เว็บพนัน
  • ถุงขนมนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
  • “เอก ป.ป.ง.” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ


เรื่อยไปจนถึงคดีแอม ไซยาไนด์ ฆาตกรต่อเนื่องอย่างน้อย 14 คดี จึงมีความเกี่ยวพัน และเป็นผลพวงและผลกระทบจากขบวนการพนันออนไลน์ และฟอกเงินทั้งหมด โดยมีตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ ข้าราชการรู้เห็นเป็นใจ และอยู่เบื้องหลังขบวนการเหล่านี้ทั้งหมด


โดยในกรณีของ “แอม ไซยาไนด์” หรือ น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ สาเหตุที่ไล่ฆ่าคนรู้จัก และคนใกล้ชิด ก็เพราะประสงค์ในทรัพย์สิน เงินทอง เพราะจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่นั้นพบว่า น.ส.สรารัตน์ นั้นติดพนัน โดยสูญเสียเงินไปหลายสิบล้านบาท หรือเกือบร้อยล้านบาท กับการพนันออนไลน์

ความเกี่ยวพันของ ตำรวจ-เจ้าหน้าที่รัฐ-นักการเมือง กับขบวนการอาชญากรรม ยังเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึง "คดีตู้ห่าว” ที่ต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 2565 นำมาสู่ การเปิดโปงแก๊งจีนเทา-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และปัญหาการหลบหนีเข้าเมือง คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย สวมบัตรประชาชน ซื้อทะเบียนบ้าน นายอำเภอเอี่ยวค้าปืนเถื่อน กลายเป็นปัญหาหมักหมมสะสม เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยนั้นให้ความช่วยเหลือ และรับเงินรับทองจากขบวนการอาชญากรรมของกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้


ปัญหาเหล่านี้ เมื่อเชื่อมโยงเข้ากับสถานการณ์ทางการเมือง และวิกฤตสงครามในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าด้วยแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอทำนายล่วงหน้า ให้ท่านผู้ชมจดใส่กระดาษ ปิดเอาไว้บนข้างฝา หรือ ติดประตูตู้เย็น ไว้ได้เลยว่าในปีหน้า ปี 2567 ที่กำลังจะมาถึง จะเป็นปีที่วุ่นวายที่สุด โดยเฉพาะเรื่องแรงงานเถื่อน คนเถื่อน การกระทำผิดกฎหมายข้ามแดนจะมากขึ้นตนส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ

จาก “กำนันนก” ถึง “แป้ง นาโหนด”

นอกจากนี้ในห้วงปี 2566 ยังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ และเรื่องอื้อฉาวในวงการสีกากี และขบวนการยุติธรรม ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของบ้านเราอีก ซ้อน ๆ กันสองเรื่องคือ กรณี “กำนันนก” และ “เสี่ยแป้ง นาโหนด”

เรื่องแรก เกิดขึ้นในช่วงค่ำของ วันที่ 6 กันยายน 2566 นายธนัญชัย หมั่นมาก ลูกน้องคนสนิทของ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐม ใช้ปืนยิง “สารวัตรแบงค์” พ.ต.ต.ศิวกร สายบัวเสียชีวิตกลางงานเลี้ยงภายในบ้านพักกำนันนก หมู่ 1 ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม หลังกำนันนกไปมีเรื่องกับ พ.ต.ต.ศิวกร เพราะร้องขอให้ช่วยสับเปลี่ยนตำแหน่งตำรวจคนสนิท แต่ พ.ต.ต.ศิวกรตอบปฎิเสธ ทำให้กำนันนกไม่พอใจ ภายหลังกำนันนกเข้ามอบตัว ส่วนนายธนัญชัยถูกตำรวจวิสามัญ ที่ซอยหลังวัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี เมื่อเช้ามืดวันที่ 8 กันยายน


ต่อมา พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผู้บังคับบัญชา ของ พ.ต.ต.ศิวกร ก็ก่อเหตุยิงตัวตายภายในบ้านพักย่านคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี สาเหตุเกิดจากความเครียดเพราะเป็นคนพา พ.ต.ต.ศิวกร ไปพบกำนันนก แล้วเสียใจที่ดูแลน้องไม่ได้ ขณะที่การสอบสวนโดยตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดคืนวันเกิดเหตุ พบว่ามีตำรวจที่ช่วยเหลือ พ.ต.ต.ศิวกร เพียง 5 นาย ส่วนที่ให้การว่ามีตำรวจช่วยเหลือ 10 นายไม่เป็นความจริง ซึ่งได้ตั้งข้อหาละเว้นการปฏฺิบัติหน้าที่ ปัจจุบันคดีกำนันนกอยู่ในศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยมี พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ หรือเกียรติสมสุข พร้อมพวกรวม 23 คนเป็นจำเลย

ความคืบหน้าล่าสุด ศาลนัดอ่านสอบคำให้การไปเมื่อ วันที่ 18 ธันวาคม 2566 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยศาลจะนัดตรวจพยานหลักฐานใน วันที่ 22 มกราคม 2567 หากไม่มีการขอเลื่อนนัด คาดว่าจะพิพากษาคดีในช่วงเดือน เมษายน 2567

เรื่องที่สอง เวลาประมาณตี 1 วันที่ 22 ตุลาคม 2566 นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด นักโทษคดีฆ่าผู้อื่นหลายคดี หลบหนีการควบคุมของเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ขณะรักษาอาการป่วยที่ตึกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช


โดยจากการสืบสวน สอบสวน พบว่ามีผู้ร่วมขบวนการ 5 คน ตั้งแต่คนที่ติดต่อว่าจ้าง คนเฝ้าไข้ คนจัดหาอุปกรณ์ และคนขับรถพาหลบหนี แบ่งงานกันทำกระทั่งปลดโซ่ตรวนสำเร็จ ส่วนกรมราชทัณฑ์สั่งย้ายผู้บัญชาการเรือนจำและ ผอ.ส่วนควบคุมไปส่วนกลาง ส่วนผู้คุม 2 ราย ที่เฝ้าไข้คืนเกิดเหตุถูกสั่งย้ายไปเรือนจำอำเภอเบตง จ.ยะลา

ต่อมาพบเบาะแส “เสี่ยแป้ง” หลบหนีไปพักในเพิงชั่วคราว บนเทือกเขาบรรทัด รอยต่อระหว่างจังหวัดตรัง พัทลุง และสตูล ตำรวจจึงออกปฎิบัติการตามล่า “เสี่ยแป้ง” แบบจัดเต็ม แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมีฝนตกหนัก แถมตำรวจ ตชด. ถูกต่อหัวเสือรุมต่อยบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว เปลืองภาษีประชาชนเพราะพบว่ามีตำรวจที่มีผลประโยชน์สีเทา ขนของหนีภาษี ช่วยเหลือเสี่ยแป้งหนีจากเทือกเขาบรรทัดไปท่าเรือใน อ.ละงู จ.สตูล แล้วลงเรือหลบหนีไปยังจังหวัดอาเจ๊ะห์ ประเทศอินโดนีเซียขณะที่อีกด้านหนึ่ง เสี่ยแป้งก็อัดคลิปแฉกระบวนการยุติธรรม กรณีถูกกลั่นแกล้งไม่ให้ประกันตัว

ข้างต้น ที่สรุปมาเป็นเพียงข่าวอาชญากรรม และปัญหาสังคมใหญ่ ๆ ที่ปะทุขึ้นมาในปี 2566 เท่านั้น หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าแทบจะทุกคดี ล้วนแล้วแต่มี เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ผู้รักษากฎหมาย ข้าราชการ เข้าไปมีส่วนร่วม ส่วนได้ส่วนเสียในคดี เพิกเฉย เรียกรับเงินทอง ช่วยเป่าคดี หรือ แม้กระทั่งก่อคดีเสียเอง

ไม่น่าแปลกใจที่คดีเหล่านี้จะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกในสังคมไทย ไม่ว่าจะผ่านพ้นจากปี 2566 ไปจนถึงปี 2567 แล้วก็ตาม

สังคมไทยป่วยหนัก กราดยิงพารากอน ถึง “น้องไนซ์ เชื่อมจิต”

เหตุเยาวชนวัยเพียง 14 ปีก่อเหตุกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน เมื่อ วันที่ 3 ตุลาคม 2566 อีกจนทำให้ มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 ราย คือ น.ส.จ้าว จินหนาน นักท่องเที่ยวชาวจีน และ น.ส.เมา เมจิน ลูกจ้างชาวเมียนมา ก่อนที่ น.ส.เพ็ญพิวรรณ มิตรธรรมพิทักษ์ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในอีก 10 วันถัดมา รวมเป็น 3 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 4 ราย


เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ และธุรกิจไทย คิดเป็นมูลค่านับเป็นหมื่นล้านบาท เพียงเพราะความเพิกเฉยไม่ใส่ใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการควบคุมอาวุธปืน ปล่อยปละละเลยให้เด็กเข้าไปฝึกซ้อมยิงปืนในสนามยิงปืนจนเกิดความเชี่ยวชาญ ปล่อยให้มีการซื้อขายสิ่งเทียมอาวุธปืนเถื่อน และเครื่องกระสุนผ่านร้านค้าและระบบออนไลน์

หยก = เหยื่อ

นอกจากเหตุกราดยิงที่ห้างพารากอนแล้วยังมีอีกกรณีหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว และความไม่เอาจริงเอาจังของหน่วยงานภาครัฐในการเข้าไปช่วยเหลือเยาวชนที่บ้านแตกสาแหรกขาด จนในที่สุดกลุ่มเคลื่อนไหวที่มีอุดมการณ์สุดโต่งทางการเมือง จับมือกับกลุ่มการเมือง “หยิบเด็กและเยาวชน” คนนี้มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าประสงค์ของตน โดยไม่สนวิธีการนั่น คือ กรณีของ “น้องหยก ทะลุวัง” ซึ่งกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกล ใช้ไปป่วน รร.เตรียมพัฒน์ฯ อ้างว่า “หยก” ซึ่งถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 ถูกละเมิดสิทธิ ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา ทว่า กลับไม่กล่าวเลยว่า การกระทำของกลุ่มทะลุวังและพรรคก้าวไกลนั้นกลับไปละเมิดสิทธิของเด็กคนอื่น ๆ ในโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ แต่อย่างใด


เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคมในหลาย ๆ มิติของ “สถาบันครอบครัว” ในยุคปัจจุบันที่โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว แตกแยก เห็นแก่ตัวเอง บูชาวัตถุนิยม คุณค่าเงินตรา มิติความรุนแรงในเด็กและเยาวชนไทย ผ่านทั้งสื่อสังคมออนไลน์ ภาพยนตร์ และเกม เป็นต้น

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความล้มเหลวของการอบรม ดูแล ให้การศึกษากับเด็กและเยาวชนซึ่งหน่วยงานรัฐไม่จริงจัง และจริงใจกับการพัฒนาเด็ก ไปจนถึง มิติของการหาซื้อของผิดกฎหมายได้อย่างง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์ที่กระทรวงดีอีต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงมิติของความปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวในเมืองไทย

ที่สำคัญที่สุดพื้นฐานที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในสังคมไทยแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็คือ สังคมไทยนี้เป็น “สังคมป่วยหนัก” ป่วยเพราะ ความมักง่าย ลืมง่าย ด้อยปัญญา ไม่แสวงหาความรู้ หลงแต่อยู่ในความเชื่อมและอวิชชาส่วนตน


ไม่เพียงแต่เรื่องส่วย การคอร์รัปชัน ขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจสีเทาที่เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นอยู่ และจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ยังมีกรณี “ความป่วยไข้ของสังคมไทย” อีกหลายเรื่องที่กล่าวไปแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่อง น้องไนซ์ เชื่อมจิต, ครูกายแก้ว, ลุงพล, ครูตี๋สอนจีบสาว เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น