xs
xsm
sm
md
lg

ศึกยิว-ฮามาสขยายวง “สงครามยูเครน” มันจบแล้วครับนาย!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สงครามยูเครนจบไปโดยปริยาย เมื่อสงครามยิว-ฮามาสขยายวง สหรัฐฯ ต้องหันความสนใจไปที่อิสราเอล พันธมิตรที่แนบแน่นมากกว่า และไม่สามารถส่งเงินสนับสนุนให้ยูเครนได้เหมือนเดิม ผู้นำอเมริกันจะบอกว่ายังมีเงินพอสนับสนุนทั้งสองสงคราม แต่ล่าสุดรัฐสภาฯ ตัดงบช่วยยูเครน 6 พันล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะการตีโต้ชิงดินแดนคืนจากรัสเซียล้มเหลว และสูญเสียทหารกว่า 9 หมื่นคน สุดท้ายแล้วยูเครนมีทางเลือกแค่สู้แล้วแพ้ หรือหยุดรบแล้วเจรจายอมจำนน



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนว่า เมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่กำลังขยายวง ทำให้สงครามในยูเครนถึงจุดจบโดยปริยาย

ทั้งนี้ สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส มีท่าทีว่าจะขยายความขัดแย้งกลายเป็นสงครามใหญ่ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ในซีเรีย กลุ่มกบฏฮูติในเยเมน รวมทั้งอิหร่าน ประเทศอาหรับต่างๆ อาจจะชักธงรบกับชาติตะวันตก นำโดยอเมริกา ได้ทุกเมื่อ แม้แต่ในตุรกี ชาติสมาชิกนาโตที่มีกองกำลังใหญ่อันดับสองของนาโต ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่กรุงอิสตันบูล พรรคการเมือง AKP ของประธานาธิบดีแอร์โดอัน จัดการชุมนุมใหญ่เพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ มีคนเข้ามาร่วมชุมนุมถึง 1.5 ล้านคน

นายแอร์โดอัน ออกไปนำประชาชนสวมผ้าพันคอเป็นลายธงชาติตุรกี และธงปาเลสไตน์
การชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดในปาเลสไตน์นี้ ผู้นำตุรกีกล่าวโจมตีอิสราเอลและผู้สนับสนุนชาวตะวันตกบนเวทีปราศรัยอย่างรุนแรงว่า ผู้ร้ายหลัก เบื้องหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา คือชาติตะวันตก พร้อมกับประกาศว่ากลุ่มฮามาสนั้นไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นกลุ่มปลดปล่อยมูจาฮีดีนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนและผู้คนของเขา ผู้นำตุรกีประกาศลั่น ถ้ามองภาพกว้างโดยไม่ถูกข้อมูลของสื่อตะวันตกลวงตา เราจะเห็นได้ชัดว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็มีแนวโน้มจะเป็นสงครามทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจจะขยายวงเป็นสงครามโลกครั้งที่สามได้ง่ายๆ ทุกวัน ทุกเวลา


เมื่อสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ปะทุขึ้นนั้น สงครามยูเครนเรียกได้ว่าถึงจุดจบโดยปริยาย เพราะอเมริกาผู้อยู่เบื้องหลังทั้งยูเครน และอิสราเอล ไม่พร้อมที่จะทำสงครามทั้งสองภูมิภาคพร้อมๆ กัน แม้ว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รวมทั้งนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนกรานว่าอเมริกาสนับสนุนได้ทั้งสองสงคราม

ความจริงในเรื่องนี้ นายเซเลนสกี ผู้นำยูเครน ก็รู้ดี ทำให้วันอังคารที่ 10 ตุลาคม ภายหลังจากเหตุการณ์ฮามาสบุกเข้าช็อกโลกในอิสราเอลและกองทัพอิสราเอลต้องตอบโต้กลับขนานใหญ่ได้เพียง 3 วัน เซเลนสกีออกมาแสดงความเห็นประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะทำให้ประชาคมโลกหันความสนใจไปจากสงครามยูเครน โดยพยายามเปรียบเทียบกลุ่มฮามาสว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายไม่ต่างกว่ารัสเซีย


เสียงนายเซเลนสกี แทบจะไม่มีผลอะไร เพราะความสนใจของผู้นำโลก โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรปนั้นกำลังเหไปทางอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของชาติตะวันตก มากกว่ายูเครน อย่างเปรียบเทียบไม่ได้

วันที่ 5 ตุลาคม 2566 ก่อนเหตุฮามาสบุกอิสราเอลได้ 2 วัน ระเหว่างการประชุมประจำปีของชมรมวัลโดคลับ ครั้งที่ 20 ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย กลุ่มวัลโด ก็คือ World Economic Forum ของรัสเซียนั่นเอง ปูตินบอกว่า เศรษฐกิจยูเครนจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากภายนอก งบประมาณยูเครนในสมัยก่อนอยู่ในภาวะสมดุล มองเศรษฐกิจในระดับมหภาคก็พอจะอยู่รอดไปได้ แต่สิ่งที่ค้ำยันเศรษฐกิจยูเครน ณ วันนี้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือมหาศาลจำนวนหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยทุกเดือนจะมีเงินสนับสนุนให้ยูเครน คิดเป็นมูลค่าราว 4-5 พันล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเงินกู้ เงินให้เปล่า หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ


"ถ้าเงินสนับสนุนเหล่านี้หยุดลง หรือขาดตอน ทุกอย่างก็จะไหลชะลูดอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับระบบป้องกันประเทศของเขา กับความช่วยเหลือหยุดลง ยูเครนจะอยู่รอดได้เพียงสัปดาห์เดียว เพราะพวกเขาจะหมดกระสุนแล้ว" ประธานาธิบดีปูติน กล่าวเพิ่มเติม


วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ระหว่างการเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ประธานาธิบดีปูตินให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวนานาชาติ ว่า สหรัฐฯ นั้นดึงผู้คนมากขึ้นๆ เข้าสู่ความขัดแย้ง พวกเขามีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ มันชัดเจนมาก และไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราคิดว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับความขัดแย้งทางตะวันออกกลาง ความขัดแย้งกำลังร้อนแรงขึ้น ดูซิว่าเขาสั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ เข้าประจำการที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งที่ผมพูดเวลานี้ สิ่งที่ผมบอกพวกคุณ ไม่ใช่เป็นการข่มขู่ แต่ผมได้สั่งให้กองทัพอากาศและกองทัพอวกาศของรัสเซียเริ่มทำการลาดตระเวนอย่างถาวรในน่านฟ้าสากลเหนือทะเลดำ เครื่องบินขับไล่ MIG-31 จะติดตั้งขีปนาวุธ Kinzhal ก็คือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก มันจะมีระยะทำการได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ด้วความเร็ว 9 มัค


คำให้สัมภาษณ์ของปูติน แม้นจะบอกว่าไม่ได้เป็นคำขู่ แต่จริงๆ แล้วคือคำขู่ ที่ว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ ของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้น อย่าคิดว่าใหญ่ คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ เพราะรัสเซียนั้นมีขีปนาวุธ เครื่องบิน และติดขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก

ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ถ้าสั่งยิงแล้ว ปล่อยออกไปแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินก็ไม่ต่างจากเป้านิ่ง จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น เพราะความเร็วของขีปนาวุธนั้นมันเร็วกว่า 9-10 มัค หรือกว่า 10,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สหรัฐฯ ช่วยยูเครนใกล้หมดตูด

จากการเก็บสถิติงบประมาณช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ ให้กับยูเครนในช่วงเวลา 18 เดือน ตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ถึง 31 กรกฎาคม 2566 สถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก พบว่าประเทศอเมริกาให้เงินช่วยเหลือยูเครนคิดเป็นมูลค่าสูงสุดถึงเกือบๆ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกเดือนละเกือบ 4,300 ล้านดอลลาร์ หรือ 153,000 ล้านบาท งบประมาณส่วนใหญ่ที่ส่งไปสนับสนุนนั้น ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงิน 1.7 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณทางการทหาร เพื่อซื้ออาวุธจากตะวันตก เงินช่วยเหลือส่วนใหญ่ที่อเมริกามอบให้ยูเครนนั้นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร เงินช่วยเหลือทางกลาโหม 24 เปอร์เซ็นต์ อาวุธยุทโธปกรณ์ 31 เปอร์เซ็นต์ เงินช่วยเหลือและเงินกู้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ 6 เปอร์เซ็นต์


การช่วยเหลือทางการเงินของสหรัฐฯ ที่ใช้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจยูเครนผ่านเงินให้เปล่า เงินกู้ และเงินสนับสนุนอื่นๆ อยู่ประมาณ 34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนงบประมาณช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ต่อยูเครน 5 เปอร์เซ็นต์เอง แม้กระทั่งอเมริกา และอีก 40 กว่าประเทศจะให้ความช่วยเหลือแก่ยูเครน กับนายเซเลนสกี ทุกวิถีทาง


แต่ผลลัพธ์ปรากฏว่า ณ วันนี้ คือประเทศยูเครนประสบความย่อยยับ แม้อเมริกาและชาติสมาชิกนาโตจะทำสงครามตัวแทน โดยใช้ยูเครนเป็นหมากเบี้ยทำสงครามแทน แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะหรือทำให้รัสเซียสั่นคลอนได้ มิหนำซ้ำยังทำให้กองทัพรัสเซีย รวมทั้งภาวะผู้นำของนายปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แข็งแกร่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน เกิดผลสะท้อนกลับต่อภาวะการนำของมหาอำนาจของอเมริกา โดยเฉพาะรัฐบาลนายโจ ไบเดน ที่ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก นับตั้งแต่การถอนกำลังอเมริกาจากประเทศอัฟกานิถสาน แล้วมาสนับสนุนสงครามในยูเครน เรื่อยมาจนกระทั่งถึงนโยบายในตะวันออกกลางที่ผิดพลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่สงครามใหญ่ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และโลกมุสลิม

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 27 ตุลาคม 2566 ศาสตราจารย์ John Mearsheimer ปรมาจารย์ด้านการต่างประเทศชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่ได้เคยกล่าวเตือนเรื่องสงครามยูเครนกับรัสเซียมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้นในช่วงต้นปี 2565 ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Judging Freedom ผ่านช่องทาง YouTube


Prof. John Mearsheimer บอกว่าสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ตอนนี้คนทั่วโลกได้ลืมยูเครนและลืมคนที่ชื่อเซเลนสกีไปแล้ว ปฏิบัติการโต้กลับที่ทางยูเครนและอเมริกาคุยนักคุยหนาว่าจะเอาคืนรัสเซียเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2566 ตอนนี้จบเห่แล้ว ถือเป็นความล้มเหลวครั้งมโหฬารและหายนะสำหรับยูเครน ว่ากันว่าข้อมูลหลายแห่งยืนยันว่า ยูเครนและนาโตเสียกำลังทหารไปถึง 90,000 คน นี่คือเสียชีวิต ยังไม่นับบาดเจ็บอีกมากมาย สาหัสสากรรจ์

ตอนนี้รัสเซียยังไม่รีบร้อนจะรุกคืบเข้าไปในยูเครน นัยคือ ยูเครนในสายตารัสเซียเวลานี้เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด แต่ผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่ปะทุขึ้นนั้น ส่งผลดีต่อรัสเซียและจีนอย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในเชิงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายโจ ไบเดน ในการขจัดปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในนโยบายการต่างประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย

Prof. John Mearsheimer สรุปโดยเปรียบว่าสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในหลุมโคลนลึกของปัญหาด้านการต่างประเทศที่ยากจะถอนตัว

“เมดเวเดฟ” ชี้สหรัฐฯ และชาติตะวันตกถึงจุดเสื่อมถอย


20 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย และอดีตประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ได้ทวีตผ่านบัญชี X ของเขา เขาบอกว่าโลกที่มีอเมริกาเป็นผู้นำกำลังถลำเข้าสู่หุบห้วงเหวลึก การตัดสินใจต่างๆ ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยทางจิตใจอย่างถาวรเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของมโนธรรม การตัดสินใจเหล่านี้ ทั้งเรื่องใหญ่ๆ หรือเรื่องเล็กๆ ล้วนแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ชัดเจนของอาการป่วยทางสังคม โดย 1.ไบเดน เรียกร้องของบประมาณเพื่อสังหารบุคคลอื่นในดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากอเมริกา ว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด ไม่ว่าเป็นการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน หรืออิสราเอล


2.ระบอบการปกครองของเคียฟ ได้ตัดสินใจสั่งห้ามคริสตจักรออร์ทอดอกซ์แห่งยูเครน ดังนั้นจึงตัดชาวคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ออกจากแหล่งกำเนิดของโบสถ์แม่

3.รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสประณามดาราฟุตบอลคนหนึ่งอย่างไม่ลังเลที่โพสต์สนับสนุนปาเลสไตน์ รัฐมนตรีมหาดไทยกล่าวหาว่า Karim Benzema อดีตดาวเตะมุสลิมทีมชาติฝรั่งเศส และทีมรีลมาดริด เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ประจำปีที่แล้ว (2565) ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่ลีกซาอุฯ มีความเกี่ยวพันกับผู้ก่อการร้ายมุสลิมบราเธอร์ฮูด


ข่าวหลักนี้มีความหลากหลาย แต่ทั้งหมดพูดถึงความเสื่อมโทรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงสร้างของสังคมตะวันตก การเรียกขาน การทุ่มลงทุนไปเพื่อการล่าสังหารผู้คนที่ตัวเองไม่พึงประสงค์ ว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดและดีงาม มันเกินคำบรรยาย มันอยู่เหนือความดี-ความชั่ว ไม่ใช่แค่โรคสมองเสื่อมของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปรัชญาชีวิตของรัฐชาติทั้งหมดของพวกเขาที่มีมาหลายศตวรรษด้วย นายเมดเวเฟ ได้พูดออกมา

จากข่าวสารวงในความมั่นคงของรัสเซียนั้น ศักยภาพในการรบของกองทัพยูเครนร่วงโรยลงทุกวัน งบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่อุดหนุนจากชาติตะวันตก แนวโน้มลดเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยได้รับปกติ ถ้าหากอ้างอิงจากตัวเลขที่ปูตินบอก จาก 4,300 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ก็จะเหลือแค่ 400-500 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน


สถานการณ์อัปเดตล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย กล่าวในที่ประชุมความมั่นคงเชียงซาน ครั้งที่ 10 ที่กรุงปักกิ่ง ว่า นับตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน เท่านั้น คือนับตั้งแต่เริ่มยุทธการตีโต้กลับของยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก เคียฟได้สูญเสียบุคลากรทางการทหารไปแล้วกว่า 90,000 นาย ไม่ว่าจะจากการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ สูญเสียรถถังไปแล้ว 600 คัน รถหุ้มเกราะ 1,900 คัน โดยไม่ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญทางยุทธวิธีใดๆ


ขณะเดียวกัน นิตยสารไทม์ ซึ่งเป็นปากกระบอกเสียงสำหรับทางตะวันตก ในที่สุดก็ได้ตีพิมพ์ขึ้นปกสงครามยูเครน พาดหัวว่า ไม่มีใครเชื่อในชัยชนะของเรา เจาะลึกการต่อสู้ของโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เพื่อรักษายูเครนเอาไว้ เขาบอกว่านี่คือการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวของเซเลนสกี ซึ่งเมื่ออ่านในบทสัมภาษณ์ของนิตยสารไทม์ เซเลนสกีบอกชัดเจนเลยว่า เขารู้สึกว่าถูกชาติตะวันตกหักหลัง เพราะคนรอบตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองเขาเป็นคนหลงผิด จิตหลอน เพราะคิดไปเองว่ายูเครนจะมีโอกาสชนะรัสเซีย ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสเป็นไปได้

เซเลนสกีพูดว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือส่วนหนึ่งของโลกเคยชินกับสงครามในยูเครน ความเหนื่อยล้ากับสงครามนั่นม้วนตัวเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่น คุณสังเกตได้จากปฏิกิริยาในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป เราเห็นได้ว่าพอพวกเขาเริ่มเหนื่อยหน่าย เรื่องในยูเครนกลายเป็นเหมือนละครสำหรับพวกเขา ซึ่งเขากำลังบอกว่า ฉันไม่อยากจะดูหนังเรื่องนี้ฉายซ้ำอีกเป็นครั้งที่สิบ

การเยือนสหรัฐฯ ครั้งหลังสุดของนายเซเลนสกี เมื่อเดือนกันยายน 2566 นั้น มีความแตกต่างจากการเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนธันวาคม 2565 อย่างชัดเจน การเยือนสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดของนายเซเลนสกี เขาถูกจี้ถาม และพบว่านักการเมืองสหรัฐฯ มีความไม่พอใจเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตในรัฐบาลยูเครน อีกทั้งนายเซเลนสกียังไม่ได้รับเชิญให้ขึ้นปราศรัยกับฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภาสหรัฐฯ อีกด้วย


แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของอเมริกา ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนยูเครนตราบนานเท่านาน ภาษาอังกฤษเรียกว่า as long as it takes แต่สภาคองเกรสกลับไม่ได้ข้อสรุปในร่างกฎหมายเรื่องการช่วยเหลือยูเครนฉบับใหม่ โดยเพียงแค่สิบวันหลังจากนายเซเลนสกีเดินทางกลับจากการเยือนสหรัฐฯ รัฐสภาสหรัฐฯ ดำเนินการผ่านร่างกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดตัวของหน่วยงานภาครัฐ โดยที่รัฐบาลไบเดน ยอมที่จะตัดงบประมาณช่วยเหลือยูเครนจำนวน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกไป ก็คือว่าเงินหายไปแล้ว ที่เคยได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้ 6,000 ล้านดอลลาร์ ไม่มีแล้ว


ด้วยเหตุนี้จึงมีการวิเคราะห์ว่า สุดท้ายแล้วยูเครนน่าจะมีทางเลือก 2 ทางเท่านั้นเอง หนึ่ง ต่อสู้แล้วกองทัพยูเครนก็สิ้นสภาพโดยปริยาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ สอง ลงประชามติหยุดรบ และเจรจายอมจำนน ซึ่งวิธีนี้นายเซเลนสกีและพลพรรคไม่มีทางยอม

สิ่งที่พูดกันนี้ ทั้งหมดทั้งมวลจะปรากฏชัดเจนในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยูเครนนั้นแพ้แน่นอนอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าจะพ่ายแพ้ในรูปใดเท่านั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น