xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 10-16 ก.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."ผกก.เบิ้ม" ปลิดชีพตัวเองคาบ้านพัก วันเผาศพ "สารวัตรศิว" เสียใจ-รู้สึกผิดพาลูกน้องไปเสียชีวิต ด้าน "บิ๊กก้อง" มั่นใจหลักฐานเพียงพอลงโทษประหาร “กำนันนก”!

ความคืบหน้ากรณี พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. หรือสารวัตรแบงค์ หรือสารวัตรศิว ถูกยิงเสียชีวิต และ พ.ต.ท.วศิน พันปี รองผู้กำกับการ 2 บก.ทล. ถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บที่แขน ในงานเลี้ยงบ้านของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก โดยผู้ลงมือคือ นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือหน่อง ลูกน้องคนสนิทกำนันนก ซึ่งต่อมาถูกวิสามัญฯ ขณะที่กำนันนกถูกออกหมายจับและเข้ามอบตัว ขณะนี้อยู่ระหว่างคุมขัง ไม่ได้ประกันตัว

ต่อมา ตำรวจได้ออกหมายจับ 6 ตำรวจที่ไปร่วมงานเลี้ยงบ้านกำนันนก และหลังเกิดเหตุยิงสารวัตรศิว ได้ช่วยคุ้มกันและพากำนันนกหลบหนี ช่วยทำลายหลักฐาน ประกอบด้วย 1.พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข สว.สส.สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 2.ร.ต.อ ณรงศักดิ์ แตงอำไพ บก.ทล. 3.ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม 4.ร.ต.อ.ณัฏฐพล นาคกร บก.ทล. 5.ร.ต.ท.ประสาร รอดผล บก.ทล. 6.ร.ต.ต.สรรเสริฐ ศรีสวัสดิ์ บก.ทล.

นอกจากดำเนินคดี 6 ตำรวจดังกล่าว ยังมีการดำเนินคดี 5 พลเรือนที่ร่วมกระทำความผิดด้วย ได้แก่ นายโบ๊ท อดีตเจ้าหน้าที่เรือนจํากลางราชบุรี ทำหน้าที่นำเซิร์ฟเวอร์วงจรปิดที่เกิดเหตุไปโยนทิ้งน้ำ 2 จุด และนายเก่ง ผู้ที่นำอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุยิง พ.ต.ท.ศิวกร ไปฝังดินเพื่ออำพรางคดี ส่วนอีก 3 ราย ทำหน้าที่ทำลายหลักฐานหลังเกิดเหตุบริเวณจุดกินโต๊ะจีนและล้างคราบเลือดรวมถึงเก็บปลอกกระสุนปืนไปทิ้ง

ต่อมา (11 ก.ย.) พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ พ.ต.อ. ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 หลังปรากฏคลิป พล.ต.ต.จักรกฤษ และ พ.ต.อ.ภูภณ ไปร่วมงานเลี้ยงอวยพรวันเกิดกำนันนก

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล. เผยว่า ตนได้รับทราบมาว่า ก่อนจะเกิดเหตุสารวัตรศิวถูกยิง กำนันนกเคยมาพูดคุยกับสารวัตรศิว เพื่อขอเคลียร์เรื่องการบรรทุกน้ำหนักเกิน หรือค่าแบก ของกิจการตนเอง เพราะที่ผ่านมาตำรวจทางหลวงเข้มงวดมาก กำนันนกจึงต้องการจะขอให้มีการผ่อนปรนให้กับรถของกิจการตนเองกว่า 100 คัน โดยเสนอผลประโยชน์ให้ แต่สารวัตรศิวไม่รับ หลังจากนั้น ก็มีการมาพูดคุยเรื่องขอตำแหน่งอีก ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือ จึงเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว 2 เรื่อง พอมาวันเกิดเหตุ มีการท้าดื่มสุรากัน แล้ว กำนันนกกินสู้ไม่ได้ ก็เกิดการเสียหน้า ประกอบกับเรื่องเดิมที่ไม่พอใจอยู่แล้ว จึงสั่งการไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ซึ่งเป็นวันพระราชทานเพลิงศพสารวัตรศิว ได้เกิดเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด คือ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. หรือ ผกก.เบิ้ม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของสารวัตรศิว ซึ่งมีข่าวก่อนหน้านี้ว่า เป็นผู้ที่ชวนสารวัตรศิวให้ไปงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านพักพื้นที่ย่านคูคต จ.ปทุมธานี โดยมีรายงานว่า พ.ต.อ.วชิรา เคยป่วยโรคซึมเศร้า และรักษาจนอาการดีขึ้น แต่หลังเกิดเหตุสารวัตรศิวถูกยิงเสียชีวิต พ.ต.อ.วชิรา เครียดมาก เสียใจและรู้สึกผิดที่เป็นคนชวนสารวัตรศิวไปงานดังกล่าว

รายงานแจ้งว่า ในคืนเกิดเหตุที่บ้านกำนันนก พ.ต.อ.วชิรา เป็นหนึ่งในกลุ่มตำรวจที่พาสารวัตรศิวส่งโรงพยาบาล หลังถูกลูกน้องกำนันนกยิง โดยมีหลักฐานจากภาพวงจรปิดของโรงพยาบาล

รายงานแจ้งด้วยว่า หลังเกิดเหตุที่บ้านกำนันนก ทาง พ.ต.อ.วชิรา ไม่ค่อยพูดจากับใคร พร้อมทั้งมีการพิมพ์ตัดพ้อเรื่องของตัวเองในไลน์กลุ่ม ก่อนที่จะลบตัวเองออกจากไลน์กลุ่มที่ทำงาน แล้วมาจบชีวิตตัวเองในบ้านพัก

สำหรับร่องรอยคราบเลือดในที่เกิดเหตุที่หลายฝ่ายสงสัยว่า อาจจะมีการเคลื่อนศพ พ.ต.อ.วชิรา นั้น เจ้าหน้าที่พิสูจน์แล้วพบว่า รอยดังกล่าวเกิดจากโรบอทดูดฝุ่นซึ่งเครื่องหมุนทำงานโดยอัตโนมัติ

ด้าน พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผู้กำกับ 1 บก.ทล. เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนของผู้กำกับเบิ้ม กล่าวว่า ผู้กำกับเบิ้มเป็นคนที่มีน้ำใจกับเพื่อนตลอด มีความเป็นผู้นำ ด้วยจิตและวิญญาณของการเป็นตำรวจ ผู้กำกับเบิ้มเป็นคนรักพี่รักน้อง รักครอบครัว ก่อนเกิดเหตุผู้กำกับเบิ้มเคยโทรมาปรึกษากับเพื่อนๆ บอกว่าเครียด และมีน้ำเสียงสั่นเครือ ร้องไห้ รู้สึกผิดที่พาสารวัตรแบงก์ไปเสียชีวิต โทษตัวเอง รู้สึกเสียใจมาก เพื่อนๆ ก็พยายามให้กำลังใจ เพราะไม่มีใครอยากให้เกิด

ล่าสุด (15 ก.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญขาการตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าการกู้ไฟล์ภาพจากเซิร์ฟเวอร์บ้านกำนันนกว่า ภาพแรกหลังจากเกิดเหตุยิงแล้ว ตำรวจ 3 คน ประกอบด้วย พ.ต.ต.ณรงค์, ด.ต.สราวุธ, และ ด.ต.ชนาณัฐ อุ้มสารวัตรศิวขึ้นรถนำส่งโรงพยาบาล ส่วนอีก 2 คนที่เพิ่มมา ร.ต.ท.จตุรวิทย์ และ พ.ต.ท.ภทร ได้ช่วย พ.ต.ท.วศิน ส่งโรงพยาบาล

สิ่งที่สังคมสงสัย ตำรวจคนไหนให้การเท็จ คนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บมีแค่ 5 คนนี้เอง นอกนั้นไม่มีตามที่ให้การไว้ ไม่มีใครจับกุมความผิดซึ่งหน้า ตำรวจพวกนี้จะเจอมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และอีกส่วนที่ช่วยคนผิด มีขับรถนำ ขับตาม คุ้มกันกำนันนก อีกส่วนคือนายตำรวจระดับสูงเผ่นแน่บ แล้วบอกว่าช่วย โกหกซะงั้น แย่มาก ซึ่งคณะกรรมการทั้งหมดจะร่วมกันพิจารณาเอาผิดทั้งอาญาและวินัย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องกล้อง จากที่มีทั้งหมด 15 ตัว 13 ตัวกู้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 2 ตัวพยายามกู้แต่กู้ไม่ได้ ตัวที่ส่องมาบนโต๊ะจีน เพิ่งถอดบอร์ดออกมาได้ 2 ตัว ตัวหนึ่งไม่ได้ใช้งานตั้งแต่ 23 ส.ค. ส่วนอีกอัน ไม่มีภาพตั้งแต่เวลา 10.16 น. สำนักงานพิสูจน์หลักฐานถอดบอร์ดออกมาได้ กำนันนกกดปิดสวิตช์เอง เพราะคงมีคนมาเตือนตั้งแต่ในช่วงกำลังจัดสถานที่ ว่าไม่ควรให้เห็นว่ามีใครมานั่งบ้าง จึงไม่มีการจับภาพตั้งแต่เวลานั้น พบว่า ก่อนยิงมีการกันคนออกไป มีหลักฐานชัดเจนว่ากำนันสั่งยิง หลังเกิดการยิงแล้ว ลูกน้องยืนคุ้มกันทุกจุด แต่ตำรวจต่างคนต่างออก ความผิดซึ่งหน้าไม่จับกุม ส่วนตำรวจที่บอกว่าช่วยคนเจ็บเป็นสิบ แต่ที่จริง 5 คน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากพิจารณาว่าจะแจ้งข้อหาใครบ้างแล้ว จะขยายผลไปเรื่องร่ำรวยผิดปกติด้วย ตรวจสอบเส้นทางการเงินมาจากไหน ต้องตอบให้ได้ การประกอบธุรกิจ การประมูลงานต่าง ๆ 1,500 กว่าโครงการ อภิมหาผิดปกติ ต้องไปตรวจสอบ

นอกจากนี้พบว่า ญาติกำนันนก คือต๋องส่งปืนให้เด้ง สื่อว่าเตรียมพร้อมว่าถ้ามีปัญหาก็ต้องยิง เป็นการตระเตรียม ก่อนมีการยิง มีการเอาคนแก่ออกไปก่อน เปิดทางรถเพื่อเตรียมออก วิธีการแบบนี้รู้แล้วว่าต้องมีการยิง กำนันออกมาคุยกับหน่องก่อนมีการยิง มีการส่งสัญญาณ ฉะนั้นจบสนิท พยานหลักฐาน ยังไงก็ไม่รอด

ส่วน พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ (ผู้กำกับเบิ้ม) จากภาพไม่พบว่าให้การช่วยเหลือ เพราะกล้องปิดไป แต่มีประจักษ์พยาน และมีภาพปรากฎตัวที่โรงพยาบาล ส่วนผู้กำกับ สน.พญาไท ตามภาพไม่เห็นชื่อ ก็จะไม่มี ส่วนผู้กำกับทั้งหมด ต้องเรียกมาสอบดูคำให้การเดิม เราดูไว้แล้วต้องแจ้งข้อกล่าวหาใครบ้าง ต้องแยกทั้งหมดทั้งไม่จับกุมทั้งที่เกิดเหตุซึ่งหน้า และให้การเท็จ

ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ (16 ก.ย.) โดยแสดงความมั่นใจว่า จากพยานหลักฐานที่มีขณะนี้เพียงพอที่จะเอาผิดกำนันนก ฐานเป็นผู้สั่งยิงสารวัตรศิว ซึ่งสามารถทำให้กำนันนกต้องได้รับโทษสูงสุดคือประหารชีวิตได้


2."พิธา" ลาออก หน.ก้าวไกล เปิดทางพรรคเลือก สส.เป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" ด้าน "สมชัย" ชี้ ขับ "หมออ๋อง" ออกจากพรรค เพื่อรักษาตำแหน่งรอง ปธ.สภา!


เมื่อวันที่ 15 ก.ย. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊กประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยระบุเหตุผล เปิดทางให้พรรคเลือก สส. ที่สามารถทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน และยังคงทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลต่อไป โดยระบุว่า "เรียนสมาชิกพรรคก้าวไกลทุกท่าน และพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ แม้วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องเดินหน้าสู่การทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในฐานะฝ่ายค้านที่มีเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ผู้นำฝ่ายค้านจำเป็นต้องเป็น สส. ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1 และปัจจุบันผมยังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ผมจึงยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษราษฎร และไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ในระยะเวลาอันใกล้

"ขณะเดียวกัน ผมได้หารือกับคณะกรรมการบริหารและ สส. ของพรรคก้าวไกลแล้วเห็นว่า บทบาทผู้นำฝ่ายค้านมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อระบบรัฐสภา และสมควรเป็นบทบาทที่รับผิดชอบโดยหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาฯ ซึ่งตอนนี้คือพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้านจะเปรียบเสมือนหัวเรือที่กำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ ของฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลและผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ยังตกหล่นจากนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

"ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล ณ ขณะนี้ เพื่อเปิดทางให้พรรคเลือก สส. ที่สามารถทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทนที่ผม ผมขอยืนยันกับทุกท่านว่า ไม่ว่าสถานะของผมจะเป็นอย่างไร ผมไม่ได้หายไปไหน แต่จะยังคงทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลและพี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังและสุดความสามารถ เพื่อขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาร่วมกัน..."

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (15 ก.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นกรณีนายพิธา ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า “พิธาลาออกจากหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพ้นจากตำแหน่งทั้งชุด ประชุมสมาชิกพรรค เลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารใหม่ ภายใน 60 วัน แต่ยังมีกรรมการบริหารรักษาการอยู่

นายสมชัย ยังระบุกึ่งชี้ช่องด้วยว่า "ที่ประชุมร่วม สส. กับกรรมการบริหารพรรคลงมติไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ลงมติขับหมออ๋องออกจากพรรค เนื่องจากขัดมติที่ขอให้ลาออกจากรองประธานสภา หมออ๋องหาพรรคใหม่ ใน 30 วัน เช่น ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเป็นธรรม ทำให้ยังคงมีสมาชิกภาพเป็น สส. และคงตำแหน่งรองประธานสภาได้ ก้าวไกลเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา สรุป ได้ทั้งรองประธานสภา และผู้นำฝ่ายค้านในสภา จำนวน สส. ฝ่ายค้านเท่าเดิม พรรคเป็นธรรม มี สส.เพิ่มขึ้นอีกคน ใครวางแผนให้เนอะ มือยิ่งกว่าชั้นเซียนเหยียบเมฆ”

ด้านนายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลอีกครั้งว่า "ไม่ต้องห่วงผม ห่วงประชาชน ห่วงบ้านเมือง ห่วงประเทศดีกว่า ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ผมยังยืนยันคำเดิม ผมไม่ยึดติดกับหัวโขน ยึดติดกับตำแหน่ง และเชื่อว่าปัจจุบัน ผมสามารถทำงานได้แม้ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย"

นายพิธา กล่าวอีกว่า ตนยังเป็น สส.ที่เข้าสภาไม่ได้ เป็น สส.ที่ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่และเป็น สส.ที่ยังสามารถทำงานในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้นจิตใจยังเกินร้อย และเดินหน้าทำงานในช่วงที่รอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ เผลอๆ อาจจะเจอตนมากกว่าเดิม เพราะจะเดินหน้าเขย่าการเมืองไทย และเขย่าปัญหาพี่น้องประชาชนผ่านตะแกรงร่อนต่อไปยัง สส.พรรคก้าวไกลที่ยังอยู่ในสภา ซึ่งตนมีกำหนดการเดินทางไปทั่วประเทศ ทั้งจังหวัดที่มี สส.เขตและจังหวัดที่ได้คะแนนบัญชีรายชื่อเยอะ รวมถึงจะมีการเดินทางไปต่างประเทศ ที่จะไปบรรยายในมหาวิทยาลัยต่างๆ

และว่า ตามกฎหมาย ตนยังเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคจนถึงวันที่ 23 ก.ย. ที่จะมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ ส่วนคนที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทนนั้น นายพิธา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการประชุมวิสามัญพรรค และขึ้นอยู่กับคนที่ถูกเสนอชื่อจะยอมเป็นหรือไม่ ส่วนตัวมองว่ามีคนที่เหมาะสมตั้ง 4-5 คน ที่พร้อมจะเป็นหัวหน้าพรรคแทนตนเองได้ ในช่วงเวลาที่รอคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยยอมรับว่า น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นหนึ่งในนั้น "ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเอาบู๊หรือจะเอาบุ๋น ผมไม่ได้กังวลใจอะไร เพราะพรรคเราไม่ใช่พรรคที่มีเจ้าของ หรือสืบทอดอำนาจได้ มีข้อบังคับพรรคมีกฎหมายควบคุมอยู่"

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่เตรียมจะขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือหมออ๋อง ออกจากพรรคก้าวไกล เพื่อรักษาตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไว้ และได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านด้วย นายพิธา กล่าวว่า ต้องรอหลังการประชุมวิสามัญของพรรค เพราะเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่จะต้องหารือกับนายปดิพัทธ์ แล้วต้องฟังความคิดเห็นจากนายปดิพัทธ์ด้วย เมื่อถามต่อว่า ตามข้อกฎหมายสามารถเป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนั้น

3. "เศรษฐา" แถลงนโยบาย รบ.พิทักษ์สถาบันกษัตริย์-ฟื้น ศก.-เพิ่มรายได้ ปชช.-จัดทำ รธน.ให้เป็น ปชต.มากขึ้น ด้าน "ก้าวไกล" ติงนโยบายไม่ชัด สู้ รบ.ประยุทธ์-ยิ่งลักษณ์ไม่ได้!



เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. ได้มีการประชุมรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยมี ครม. สส.และ สว.เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ครม.มีนโยบายมุ่งมั่นสร้างความสามัคคีปรองดอง นำไปสู่ความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้ก้าวหน้า เป้าหมายของรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน สร้างความพร้อมและวางรากฐานเพื่อสร้างอนาคต รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

มีกรอบนโยบายบริหารและพัฒนาประเทศเร่งด่วน กรอบระยะสั้น ต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ส่วนระยะกลางและระยะยาว จะเสริมขีดความสามารถให้ประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ประเทศไทยเปรียบเหมือนคนป่วยที่ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วงโควิด-19 จนมีความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุน นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจถึงฐานราก

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายเร่งด่วนอีก 4 ข้อ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ 1.การแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม 2.ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน 3.ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 4.การแก้ปัญหาความเห็นแตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่แก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ รัฐบาลจะหารือแนวทางการทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบกติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัย เป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง โปร่งใส เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้ นายเศรษฐา ย้ำว่า อนาคต 4 ปีข้างหน้า จะเป็น 4 ปีที่รัฐบาลวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้ประเทศ รัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง จะตั้งใจทุ่มเทสรรพกำลังดำเนินโยบาย เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน

หลังจากที่ประชุมเปิดให้สมาชิกรัฐสภาอภิปราย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า คำแถลงนโยบายที่ดีต้องเหมือนจีพีเอสบอกว่าเป้าหมายตลอด 4 ปี รัฐบาลจะเดินไปเส้นทางไหน เหมือนหรือต่างกับตอนหาเสียงหรือไม่ แต่เมื่อนั่งฟังจบ เปรียบจีพีเอสเหมือนประเทศกำลังหลงทาง ขาดความชัดเจน เทียบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องบรรจุนโยบายที่หาเสียง หากพรรคไหนคิดกลับคำตระบัดสัตย์ ไม่บรรจุนโยบายที่หาเสียงไว้ ถือว่าทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน หากตัดเกรดคำแถลงนโยบายของนายเศรษฐา ให้อยู่เกรดเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ แถลงได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะแถลงยาวกว่า ถือว่าพรรคเพื่อไทยมาตรฐานตก ไม่สามารถรักษามาตรฐานจากสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่แถลงนโยบายได้อย่างชัดเจน

4. "ครม. เศรษฐา" นัดแรกเคาะวีซ่าฟรีให้ นทท.จีน-คาซัคสถาน ลดค่าไฟเหลือ 4.10 บาท ตรึงน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท ส่วนเบนซิน รอเคาะช่วยกลุ่มเปราะบาง!



เมื่อวันที่ 13 ก.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ปกติโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้แถลง แต่วันนี้เข้าใจว่า สื่อมวลชนอยากได้ยินอะไรที่ดีๆ ที่ ครม.นัดแรกทำออกมา จะแถลงโดยสังเขป ที่ประชุม ครม.มีมติเรื่องวีซ่าฟรีชั่วคราว วีซ่าฟรีหมายความว่า ยกเลิกการขอเดินทางเข้ามาประเทศไทยของประเทศจีนและประเทศคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.2566-29 ก.ย.2567 เป็นการยกเว้นชั่วคราวเพื่อดูผลกระทบทั้งหลาย โดยยืนยันว่า เรื่องนี้ได้คุยกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะฝ่ายความมั่นคง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกภาคส่วนพร้อมรองรับ

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ที่ประชุม ครม.มีมติตั้งคณะกรรมการซอฟท์พาวเวอร์แห่งชาติ สอดคล้องกับนโยบายที่หาเสียงไป เป็นการดึงศักยภาพของประชาชนชาวไทยทุกคนออกมาเพื่อเสริมสร้างรายได้ เพิ่มโอกาสให้กับประชาชนชาวไทยทุกคน ส่วนเรื่องพักหนี้เกษตรกรได้มีการตกลงกันจะพักหนี้เกษตรกรและธุรกิจขนาดเล็กเป็นเวลา 3 ปี เรื่องค่าไฟเป็นอีกเรื่องที่ได้มีการพูดคุยกัน ที่ประชุม ครม.มีมติลดค่าไฟฟ้าเป็น 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาท เชื่อว่าเยอะกว่าที่ประชาชนคาดไว้ โดยจะเริ่มในรอบบิลเดือน ก.ย.นี้เป็นต้นไป ส่วนการลดราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงสำหรับค่าขนส่งให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร เข้าใจว่าจะเริ่มต้นได้วันที่ 20 ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของน้ำมันเบนซินจะมีการพิจารณาหลังจากนี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องน้ำมันเบนซินมีการพูดคุยกัน แต่ต้องดูให้ดีถึงกลุ่มผู้เดือดร้อนจริงๆ เดี๋ยวคงจะมีมาตรการ ค่อยๆ ทยอยออกมา

ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ 2 ด้าน ได้แก่ 1.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย ราคาน้ำมันดีเซล ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.-31 ธ.ค.2566 โดยใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงานจะพิจารณารายละเอียดแนวทางการช่วยเหลือแบบมุ่งเป้าให้แก่ผู้ใช้น้ำมันเบนซินกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างและแท็กซี่ และนำเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้ง ส่วนราคาแก๊สหุงต้ม (แอลพีจี) ตรึงราคาขายปลีกระดับ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-31 ธ.ค.2566

2.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า ประกอบด้วย ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย “จะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือส่วนลดค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มเปราะบาง อาทิ การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน โดยกระทรวงพลังงานจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอต่อ ครม.ต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ย. นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้มีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 รอบด้วย โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า ตระหนักดีว่าเรื่องกระแสเงินสดของทุกคนในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ จึงดำริให้เปลี่ยนการจ่ายเงินข้าราชการจากเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.2567 ต้องมีการแก้ไขระบบอะไรหลายๆ อย่าง จึงทำเลยไม่ได้ เชื่อว่า เรื่องนี้จะเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้เยอะพอสมควร ถ้ามีการจ่ายเงิน 2 รอบ จะได้ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องคอยให้ถึงสิ้นเดือน ก็จะมีเงินแบ่งจ่ายออกมา

อย่างไรก็ตาม ได้มีข้าราชการบางกลุ่มบางอาชีพออกมาคัดค้านแนวคิดดังกล่าว เพราะอาจส่งผลต่อการใช้หนี้ของข้าราชการที่ปกติจะจ่ายช่วงสิ้นเดือนตอนเงินเดือนออก ซึ่งในที่สุด นายเศรษฐา ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า ได้รับฟังความเห็นบางส่วนจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว จะนำมาพิจารณา ยืนยันว่า การจ่ายเงินเดือนข้าราชการแบบ 2 รอบจะเป็นทางเลือกให้กับข้าราชการว่า จะใช้ทางเลือกใด ซึ่งเป็นรูปแบบสมัครใจ คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ประมาณต้นปี 2567 ตามกำหนดการเดิม

5. ตุลาการผู้แถลงคดี เห็นควรยกฟ้องคดี "ธนาธร" ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิก น.ส.3 ก.ที่ดินของตนที่ราชบุรี เหตุรุกป่าจริง ด้านศาล ปค.กลางนัดพิพากษา 27 ก.ย.นี้!



เมื่อวันที่ 13 ก.ย. องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-4 ขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมที่ดินลงวันที่ 29 มี.ค. 65 ที่เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 158-159 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรีของตน

โดยตุลาการเจ้าของสำนวนได้สรุปประเด็นในคดี และให้ตุลาการผู้แถลงคดี ซึ่งเป็นตุลาการนอกองค์คณะ แถลงความเห็นส่วนตน เพื่อประกอบการพิจารณาขององค์คณะให้คู่กรณีทราบ

ทั้งนี้ ตุลาการผู้แถลงคดี เสนอความเห็นว่า ควรสั่งยกฟ้อง เนื่องจากก่อนรองอธิบดีกรมที่ดินจะมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. จำนวน 59 ฉบับ ซึ่งรวมถึง น.ส.3 ก. แปลงเลขที่ 158-159 ของนายธนาธร ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบเป็นไปตามหลักวิชาการแล้ว พบว่าตำแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.3 ก.ทั้ง 59 ฉบับ รวมทั้งที่ดินที่พิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 ทั้งแปลง

ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงมีสถานะเป็นป่าไม้ถาวรตามมติ ครม. มาก่อนที่จะออก น.ส.3 ก. เลขที่ 158-159 ให้กับนายอุดม กิตติอุดมพานิช และนายชัยณรงค์ บู่ศรี ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิมในปี 2521 เมื่อที่ดินทั้ง 2 แปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร จึงเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ คำสั่งของรองอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอน น.ส.3 ก. แปลงที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่เจ้าหน้าที่ที่ดินออก น.ส.3 ก.ที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นการทำละเมิดต่อนายธนาธร ผู้ซื้อที่ดินที่เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวมีการออก น.ส.3 ก. โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 159 ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผล ซึ่งเป็นผู้ขาย กับนายสาโรจน์ วสุวานิช ผู้ซื้อ ต่างได้รับทราบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอน น.ส.3 ก. ที่ดินบริเวณนี้ได้ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ 12 ก.ย. 28ไว้ และนายนายธนาธร ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้

จึงฟังได้ว่า นายสาโรจน์ ขณะซื้อที่ดิน น.ส.3 ก.แปลงพิพาทจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผล รู้อยู่แล้วว่า ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส.3 ก. และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออก น.ส.3 ก. วิญญูชนย่อมรู้ว่า มีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน เมื่อนายสาโรจน์รู้ข้อมูลดังกล่าวแต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนายสาโรจน์สมัครใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่

ต่อมา นายสาโรจน์ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายธนาธรรับรู้ว่าที่ดิน น.ส.3 ก.ดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้ แต่นายสาโรจน์ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทของครอบครัวนายธนาธร ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัท ต้องไม่หลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อที่ดินดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธรจะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต ดังนั้นการที่รองอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก.แปลงที่พิพาท จึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อนายธนาธรและหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้

ทั้งนี้ หลังนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว องค์คณะจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคดี โดยนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 27 ก.ย. เวลา 10.00 น.


กำลังโหลดความคิดเห็น