เมืองไทย 360 องศา
เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับรัฐบาลผสมที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โดยเฉพาะการประชุมครม.นัดแรก (13 ก.ย.) ที่หลายคนจับตากันว่าจะมีผลอะไรออกมาให้เป็นที่จับต้องได้บ้าง ซึ่งก็นับว่าใช้ได้ทีเดียวสำหรับประชาชน เพราะมีการออกมาตรการหลายอย่างที่เกี่ยวกับการลดค่าครองชีพของประชาชน บางอย่างก็ช่วยให้การลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน อาจส่งผลในเรื่องหนี้สินลงได้ จากการที่เปลี่ยนให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนแบบแบ่งจ่ายเป็นสองงวด ต่อเดือน เหมือนกับบริษัทเอกชนหลายแห่ง แทนการจ่ายเดือนละครั้งแบบเก่า
นายเศรษฐา แถลงไฮไลต์สำคัญ โดยได้มีการสรุปวาระครม.หลายเรื่อง โดยเรื่องแรกที่มีการพูดคุยกันคือ การจัดตั้งคณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติครบรอบ 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีหน้าเพื่อให้สมพระเกียรติ และขอให้ประชาชนมีส่วนร่วม
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่ทุกคนอยากให้มี อยากให้เกิดขึ้น เราจึงมีการสั่งการไปเลยเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นต่างในรัฐธรรมนูญปี 2560 เห็นชอบให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะรองนายกฯคนที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ยึดเอาแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ โดยใช้เวทีรัฐสภาในการหารือรูปแบบแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมออกแบบกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยร่วมกัน
เรื่องที่ 3 เรื่องวีซ่าฟรีชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีการสับสน วีซ่าฟรีหมายความว่ายกเลิกการขอเดินทางเข้ามาประเทศไทยของประเทศจีนและประเทศคาซัคสถาน ซึ่งเรื่องนี้คาดว่าทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วเพียงแต่วันนี้ทำอย่างเป็นทางการ โดยแฝงประเทศคาซัคสถานมาด้วย เพราะเป็นชาติที่อยู่ในเขตยุโรปซึ่งมีภาวะฤดูหนาวที่รุนแรง และดูจากสถิติถือเป็นประเทศที่อยากเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ กราฟอยู่ในแนวขึ้นตลอด โดยทั้ง 2 ประเทศนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนนี้เป็นต้นไป ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นการยกเว้นชั่วคราวเพื่อดูผลกระทบทั้งหลาย
เรื่องที่ 4 มีการตั้งคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายที่เราหาเสียงไป เป็นการดึงศักยภาพของประชาชนชาวไทยทุกคนออกมาเพื่อเสริมสร้างรายได้ เพิ่มโอกาสให้กับประชาชนชาวไทยทุกคน ส่วนเรื่องการพักหนี้เกษตรกรได้มีการตกลงกัน ซึ่งจะมีการพักหนี้เกษตรกรและธุรกิจขนาดเล็กเป็นเวลา 3 ปี
“เรื่องถัดมาเป็นเรื่องที่เราไม่เคยพูดคุยกัน ผมไม่ได้มีการแย้มถึงเรื่องนี้เลย แต่ผมตระหนักดีว่า เรื่องกระแสเงินสดของทุกคนในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงดำริให้เปลี่ยนการจ่ายเงินข้าราชการจากเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ โดยรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า เป็นต้นไป ซึ่งต้องมีการแก้ไขระบบอะไรหลายๆอย่าง จึงทำเลยไม่ได้ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้เยอะพอสมควรถ้ามีการจ่ายเงิน 2 รอบจะได้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องคอยให้ถึงสิ้นเดือนก็จะมีเงินแบ่งจ่ายออกมา” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า เรื่องค่าไฟ เป็นอีกเรื่องที่ได้มีการพูดคุยกัน ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาท ต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาท ซึ่งเชื่อว่าเยอะกว่าที่ประชาชนคาดไว้ โดยจะเริ่มในรอบบิลเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป ส่วนการลดราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงสำหรับค่าขนส่งให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร เข้าใจว่าจะเริ่มต้นได้วันที่ 20 กันยายนนี้ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน ก็มีการพูดคุยกัน แต่ต้องดูให้ดีถึงกลุ่มผู้เดือดร้อนจริงๆ เดี๋ยวคงจะมีมาตรการค่อยๆทยอยออกมา
สอดคล้องกับคำพูดของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ที่กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี รับทราบและเห็นชอบกับแนวทางของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลังที่กำหนดให้น้ำมันดีเซลราคาไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ส่วนราคาเบนซิน เบื้องต้นจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบควบคุมค่าการตลาดไม่ให้เกิน 2 บาทต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารพลังงานอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ราคาเบนซินลดลงได้ในระดับหนึ่ง และจะร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาปรับลดราคาเบนซินให้กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้เบนซิน เพื่อการประกอบอาชีพที่เรียกว่ากลุ่มเปราะบาง เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และแท็กซี่ โดยเร่งด่วนต่อไป
ส่วนไฟฟ้าปรับลดจากราคาหน่วยละ 4.45 บาทเหลือ 4.10 บาท โดยจะดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปอีก เพื่อหาทางปรับลดราคาค่าไฟฟ้าให้เหลือไม่เกินหน่วยละ 4 บาท ส่วนก๊าซหุงต้ม ตามแนวโน้มตลาดโลกจะขึ้นทุกปลายปี เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวจะทำให้ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศไทยสูงตามไปด้วย แต่เราจะตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม ราคาเดิมต่อไป
นั่นเป็นผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน มีการออกมาตรการหลายอย่างที่เกี่ยวกับการ “ลดค่าครองชีพ” การกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อหารายได้เข้าประเทศ เป็นการต่อยอดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเวลานี้การท่องเที่ยวถือว่าเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้และเดินหน้าได้ทันที
เอาเป็นว่าพิจารณาจากผลการประชุม และจากมาตรการดังกล่าวที่ออกมาก็ถือว่าใช้ได้ โดยเฉพาะเรื่องการ “ลดค่าครองชีพ” การเร่งอำนวยความสะดวกในเรื่องการท่องเที่ยว เพื่อหวังว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย เช่น จากจีน เป็นต้น รวมไปถึงการกระตุ้นการทำมาหากินของประชาชนให้เกิดความคึกคักกว่าเดิม ก็ได้แต่หวังว่าผลออกมาตามที่คาดเอาไว้ แม้ว่ายังไม่มีรายละเอียดในเรื่องเงินงบประมาณที่จะต้องนำมาอุดหนุน และการที่รัฐต้องเสียรายได้จากการต้องลดภาษีสรรพสามิตภาษีน้ำมันดีเซล การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม การลดค่าไฟฟ้า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมีราคาต้องจ่าย แต่หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็คงเป็นความเชื่อที่ว่าหากตรึงราคาพลังงานที่จำเป็นพวกนี้แล้วจะทำให้ราคาสินค้าไม่เพิ่มขึ้น การทำมาค้าขายมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น อะไรประมาณนี้
แน่นอนว่าหากถามชาวบ้านก็ย่อมพอใจอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับอีกบางนโยบายหลักที่จะคลอดตามมา เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงินคนละหมื่นบาท ที่คาดว่าต้องใช้เงินงบประมาณอีกกว่า 5 แสนล้านบาท จะหาเงินมาจากไหน ซึ่งเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย หากไม่มีการกู้เพิ่ม และหลายโครงการที่กล่าวมาแม้ว่าเฉพาะผลจากการประชุมครม.นัดแรกมีมาตรการที่ทำให้ประชาชนพอใจ แต่หลังจากนี้ยังมีอีกหลายนโยบายหลักที่กำลังรออยู่ ยังมีค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท ว่าจะทำได้จริงแค่ไหน ทุกอย่างต้องใช้เงิน ต้องมีการอุดหนุน มันจะคุ้มค่ากันหรือไม่ จะเป็นภาระหนี้ในระยะยาวหรือไม่
อย่างไรก็ดี หากดูทรงแล้วสำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนัดแรก ถือว่าใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูกันยาวๆ กว่านี้อีกสักหน่อย แต่ดูจากแนวโน้มแล้วก็น่าจะไปได้ เพียงแต่ว่าต้องระวังอย่าให้กลับมา “ย่ำรอยเดิม” ที่เคยเป็นจุดอ่อน เช่น การทุจริต ที่รวมไปถึงทุจริตเชิงนโยบาย เอาพวกพ้อง เป็นต้น หากไม่มีเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ บริหารเรื่องรายได้ ปากท้องให้ชาวบ้านพอใจ เศรษฐกิจไปได้ดี มันก็ฉลุยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพูดนั้นง่ายแต่ทำยาก แต่ก็รอพิสูจน์กันก่อน !!