ศาล ปค.กลางนัดชี้ปม “ธนาธร” ฟ้อง มท.ให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิก น.ส.3 ก.ที่ดินราชบุรี 27 ก.ย.นี้ ตุลาการผู้แถลงคดี เสนอองค์คณะยกฟ้อง เหตุผลสอบชี้ชัดรุกป่าจริง แถมคนใกล้ชิดรับรู้ที่ดินอาจถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิก่อนขายให้
วันนี้ (13 ก.ย.) องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ยื่นฟ้อง กระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-4 ขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมที่ดินที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มี.ค. 65 ที่ เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 158-159 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรีของตน โดยวันนี้ ตุลาการเจ้าของสำนวนได้สรุปประเด็นในคดี และให้ตุลาการผู้แถลงคดีซึ่งเป็นตุลาการนอกองค์คณะแถลงความเห็นส่วนตนเพื่อประกอบการพิจารณาขององค์คณะให้คู่กรณีทราบ
โดยตุลาการผู้แถลงคดี เสนอความเห็นว่าควรสั่งยกฟ้อง เนื่องจาก ก่อนรองอธิบดีกรมที่ดิน จะมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. จำนวน 59 ฉบับ ซึ่งรวมถึง น.ส.3 ก. แปลงเลขที่ 158-159 ของนายธนาธร ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบเป็นไปตามหลักวิชาการแล้วพบว่าตำแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.3 ก.ทั้ง 59 ฉบับ รวมทั้งที่ดินที่พิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 ทั้งแปลง ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงมีสถานะเป็นป่าไม้ถาวรตามมติครม. มาก่อนที่จะออก น.ส.3 ก. เลขที่ 158-159 ให้กับ นายอุดม กิตติอุดมพานิช และ นายชัยณรงค์ บู่ศรี ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิมในปี 2521 เมื่อที่ดินทั้ง 2 แปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร จึงเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ คำสั่งของรองอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอน น.ส.3 ก.แปลงที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่เจ้าหน้าที่ที่ดินออก น.ส.3 ก.ที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นการทำละเมิดต่อนายธนาธร ผู้ซื้อที่ดินที่เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวมีการออก น.ส.3 ก. โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 159 ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผล ซึ่งเป็น ผู้ขาย กับนายสาโรจน์ วสุวานิช ผู้ซื้อต่างได้รับทราบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอน น.ส.3 ก. ที่ดินบริเวณนี้ได้ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ 12 ก.ย. 28ไว้ และนายนายธนาธร ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้ จึงฟังได้ว่านายสาโรจน์ ขณะซื้อที่ดิน น.ส.3 ก.แปลงพิพาทจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผลรู้อยู่แล้วว่า ที่ดินอยู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส.3 ก.และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออก น.ส.3 ก. วิญญูชนย่อมรู้ว่ามีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน เมื่อนายสาโรจน์รู้ข้อมูลดังกล่าวแต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนายสาโรจน์สมัครใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ต่อมานายสาโรจน์ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายธนาธร รับรู้ว่าที่ดิน น.ส.3 ก.ดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้แต่นายสาโรจน์ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทของครอบครัวนายธนาธร ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัทต้องไม่หลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อที่ดินดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธรจะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต ดังนั้นการที่รองอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก.แปลงที่พิพาทจึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อนายธนาธรและหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้
ทั้งนี้ หลังนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้วองค์คณะจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคดี โดยองค์คณะได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 27 ก.ย. 66 เวลา 10.00 น.