xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 พ.ค.-3 มิ.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."ทักษิณ" งงข่าวดีลลับ พท.ตั้ง รบ.ไร้ "ก้าวไกล" ด้าน "ชลน่าน-พิธา" ประกบมือรูปหัวใจ ยัน ไม่มี "ดีลลับ" มีแต่ "ดีลรัก" ย้ำ จะอยู่ด้วยกันตลอดไป!

สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเกิดภาพความขัดแย้งแย่งชิงตำแหน่งประธานสภา ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณจากแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนว่า หากพรรคก้าวไกลคิดจะกินรวบ ทั้งตำแหน่งนายกฯ และประธานสภา พรรคเพื่อไทยอาจถอนตัวจากการร่วมจัดตั้งรัฐบาล

นอกจากนี้ยังมีกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาเปิดประเด็นว่ามี "ดีลลับ" ที่ลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุว่า เป็นการประชุมลับ "ดีลพิเศษ" สนับสนุนให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน และให้พรรคเพื่อไทยถอยไปเป็นรัฐบาลขั้วใหม่กับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา.... ไม่เท่านั้น โพสต์ของนายชูวิทย์ดังกล่าว ยังกลายเป็นประเด็นที่มีการระบุว่า ดีลพิเศษดังกล่าว มีแพ็กเกจ "กลับบ้าน" ของนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามาด้วย

ร้อนถึงนายทักษิณ รีบทวีตข้อความตอบโต้ว่า "ผมงงมากกับดีบลับที่คุณชูวิทย์พูด ทั้งๆ ที่น้องอิ๊งก็ยืนยันที่สนับสนุนคุณพิธาเป็นนายกฯ และผมเองก็ไม่ได้พบตัวแทนพรรคไหนเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ไม่มี งงจริงๆ ครับ"

ขณะที่การปรากฏตัวของนายเศรษฐา ทวีสิน 1 ในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทย ที่ไปนั่งชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่สนามคิงพาวเวอร์สเตเดียม ของสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างเกมนัดสุดท้ายของเลสเตอร์ซิตี้ พบกับทีมสโมสรเวสแฮม ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ดีลลับ ส่งผลให้ทั้งนายเศรษฐาและนายอนุทิน ต้องรีบปฏิเสธว่า ไม่มี ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง ซึ่งภายหลัง นายอนุทินยังได้โพสต์ภาพถ่ายคู่กับภรรยา พร้อมระบุว่า "ดีลเลิฟไม่ใช่ดีลลับ @ London"

ด้านแกนนำ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ประชุมหารือกันที่ทำการพรรคประชาชาติเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เพื่อสยบข่าวดีลลับ และยืนยันจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล โดยหลังประชุม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า การทำงานร่วมกันของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ในการจัดตั้งรัฐบาล ตนในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย เราได้รับมอบอาณัติจากประชาชนรวมกัน 25 ล้านเสียง เพราะฉะนั้นเจตจำนงของประชาชนเช่นนี้ เพื่อไทยและก้าวไกลปฏิเสธไม่ได้ จะทำความฝันของประชาชนให้บรรลุ คือรัฐบาลจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ที่ต้องการปิดกั้นอำนาจไม่ชอบธรรมทั้งหลาย เราสองฝ่ายเห็นตรงกัน เป็นการมัดที่แน่น เป็นข้อผูกมัดที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ให้ความมั่นใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอด

ทั้งนี้ หลัง นพ.ชลน่าน พูดเสร็จ ได้พูดหยอกตอนท้ายกับสื่อว่า “หวานไหม หวานไหม” และมีการกอดพร้อมกับจับมือนายพิธา และพูดว่า “ขอเน้นย้ำไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เพื่อตั้งรัฐบาลของพี่น้องประชาชนให้ได้”

เมื่อถามว่า ที่ นพ.ชลน่าน พูดว่า เพื่อไทยกับก้าวไกลอยู่ด้วยกันตลอดนั้น สมมติหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายพิธา หรือพรรคก้าวไกล เพื่อไทยและพรรคร่วมจะจับมือจัดตั้งรัฐบาลอยู่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่มีสมมติ หรืออุบัติเหตุ แต่ยืนยันไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เชื่อว่า 8 พรรคอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะก้าวไกล เพื่อไทย จะเป็นพรรคหลักที่จะนำเรื่องนี้ ขอให้ความมั่นใจ

"ไม่มีแต่ แต่จัดตั้งรัฐบาลด้วยกันอยู่แล้ว ต้องการจัดตั้งโร้ดแมป แต่ไม่ได้จัดตั้งตามกระทรวง จัดตั้งตาม MOU เพราะ MOU คือวาระร่วม จัดตั้งคณะทำงานตาม MOU สัปดาห์ก่อน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า MOU ไม่ใช่กระดาษเปล่า แต่มีคณะทำงาน ทำได้จริง"

นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยมี 3 ประเด็นที่จะแจ้งแก่ประชาชนคือ 1.เพื่อไทยสนับสนุนภารกิจที่เราได้แถลงต่อสื่อวันนี้ คือคณะกรรมการประสานงานระยะเปลี่ยนผ่าน คณะทำงานชุดต่าง ๆ คาดหวังนโยบายที่ดีที่สุดของรัฐบาลพวกเรา เป็นคำแถลงนโยบายที่ดีที่สุด นั่นคือเป้าหมายของพวกเรา 2.การจัดสรรตำแหน่งต่าง ๆ พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า เป็นการแบ่งงานกันทำตามวาระงาน ที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกฯ จะใช้วาระงานเป็นหลัก เสนอร่วมกันใน MOU กระทรวงใดก็แล้วแต่ จะยึดเป็นเรื่องสำคัญ 3.ดีลล้วง ดีลลับต่างๆ เพื่อไทยยืนยัน จะเปลี่ยนเป็นดีลรักให้หมด เพื่อรัฐบาลของพี่น้องประชาชน

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว นพ.ชลน่าน และนายพิธา ได้นำมือมาประกบกันเป็นรูปหัวใจด้วย

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (1 มิ.ย.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีมีกระแสข่าวว่า ทางพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ข้อยุติเรื่องตำแหน่งประธานสภา เป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวพรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ขณะนี้ทางพรรคร่วมยังไม่ได้ข้อยุติในการเลือกประธานสภา ซึ่งพรรคก้าวไกลตั้งเป้าไว้ว่า ภายในกลางเดือน มิ.ย.นี้จะได้ข้อยุติ

2.“เจ้าสัวสหพัฒน์” ห่วงขึ้นค่าแรง 450 ทำนักลงทุนย้ายฐานผลิต ไม่ติดใจหากมีนายกฯ อายุน้อย แต่หวั่นบริหารไม่เป็น ทำประเทศเหมือนยูเครน!


เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยอมรับว่า เป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากหากค่าแรงพุ่งสูง อาจส่งผลให้นักลงทุนเบนเข็มย้ายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ที่ถึงแม้ไม่ได้ขึ้นค่าแรงก็มีการย้ายออกไปที่เวียดนามแล้ว อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ส่วนนโยบายการทลายทุนผูกขาดและเก็บภาษีความมั่งคั่ง ที่หลายฝ่ายกังวลว่า จะกระทบต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการ นายบุณยสิทธิ์ มองว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะเป็นแนวทางที่เหมือนกันทั้งโลก ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 7 คณะ และหนึ่งในปัญหาที่จะแก้คือ เรื่องเศรษฐกิจ มองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาในรูปแบบใด ขณะที่การตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีความล่าช้า มองว่าไม่น่ากังวลและไม่กระทบต่อการลงทุน และคิดว่าประเทศไทยยังดีกว่าประเทศอื่น

นายบุณยสิทธิ์ ยังฝากการบ้านไปยังว่าที่รัฐบาลใหม่ด้วยว่า ให้เร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้คนมีการศึกษา มีงานทำ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น คนที่ทำการเกษตรก็จะมีรายได้เทียบเท่ากับคนที่ทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าเกษตรลดลง คนก็จะหนีจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และก็จะมีปัญหาเรื่องค่าแรงอีก

ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จะมีไอเดียแบบใหม่ ทำอะไรเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอายุมากก็จะมีความรอบคอบ แต่อาจทำงานช้า เพราะฉะนั้นถ้ามีคนรุ่นใหม่มาก็จะเป็นจุดเด่น ในต่างประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงบางประเทศก็มีผู้หญิง ทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลง จึงเชื่อว่าเรื่องอายุไม่เกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ เปรียบเสมือนขับรถหรูรถมัสแตง แต่ยังต้องให้ความสำคัญและระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่การทำธุรกิจในยุคนี้ต้องรู้จักปรับตัว โดยบริษัทเอกชนก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาก็พร้อมที่จะร่วมมือ และปรับตัวเช่นกัน

“ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือความมั่นคงของประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองของไทย เข้าใจว่าเมืองไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ผมห่วงผู้นำประเทศบริหารไม่เป็น และทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน”

3. “ทักษิณ” ย้ำอีกครั้ง กลับไทย ก.ค.นี้แน่นอน อยากกลับมาเลี้ยงหลาน 7 คน ยอมรับ แก่แล้ว หมดสมัยที่จะเป็นนายกฯ!



เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. มีรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ คุยแหลก แดกดึก ของนายคชาภา ตันเจริญ หรือ มดดำ พิธีกรชื่อดัง และเพื่อนสนิทนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ที่เดินทางไปพบนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยก่อนการให้สัมภาษณ์ ได้มีการถ่ายทำคลิปวิดีโอสั้นๆ นายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ร่วมกันเล่นหยอกล้ออย่างสนุกสนานและอุ้มลูกทั้ง 2 คน ของนายพานทองแท้ กับ น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ

จากนั้นให้สัมภาษณ์นายคชาภาตอนหนึ่งว่า ถ้าวันหนึ่งเป็นอะไรไป ยังจะเก็บสมองไว้? นายทักษิณ ตอบว่า เดี๋ยวนี้มี Robot ซึ่งใกล้เคียงขึ้นมา และ FDA อนุมัติให้ฝังชิปในสมองมนุษย์ แต่มี Robot อีกตัวหนึ่งซึ่งสามารถถ่ายความจำในสมองเราทั้งหมดลงไปใน Robot ได้ เช่น สมองเรา คอนโทรลร่างกายไม่ได้ คนเป็นอัมพฤกษ์ ชิปตัวนี้ จะทำให้ร่างกายขยับ หรือทำให้คนตาบอดเริ่มมองเห็นได้ ตอนนี้ FDA สหรัฐอเมริกา อนุมัติให้บริษัท Elon Musk ให้ฝังในคน ซึ่งเขาฝังในลิงมาแล้ว แต่ตอนนี้ขอฝังในคน องค์กรดังกล่าวก็อนุญาติฝังในคน แต่เลือกในคนป่วยก่อน จะช่วยให้สมองทำหน้าที่เต็มร้อย จากเดิมสมองเสียไปก็เริ่มเต็มร้อยใหม่ ทำให้การมองเห็นดีขึ้น ประสาทการเดินเหินก็กลับคืน

พิธีกรถามว่า กระแสกลับบ้านพี่โทนี่เยอะเหลือเกิน แต่ถ้ากลับมาต้องติดคุก นายทักษิณ กล่าวว่า ยังไงก็ได้ ยังไงก็กลับ เมื่อถามต่อว่า กรกฎาคมนี้? นายทักษิณ ตอบว่า พูดไปแล้ว ยืนยันไปแล้ว รอน้องอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว) เป็นคนบอก วันที่เท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่

พิธีกรถามอีกว่า เพราะอะไร เหตุผลถึงอยากกลับ นายทักษิณ กล่าวว่า หลาน 7 คนแล้ว ถึงเวลาต้องไปเลี้ยงหลานแล้ว พ่อแม่เป็นวัยต้องไปทำงาน ปู่ย่าตายายมีหน้าที่ต้องเลี้ยงหลาน เพื่อให้พ่อแม่ ได้ทำงานเต็มที่

พิธีกรถามว่า มีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า แก่แล้ว หมดสมัย วันนี้เป็นยุคคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ยุคคนแก่ คนแก่บางทีแนะนำก็อย่าไปบังคับ เพราะเราไม่ทันเด็ก คนแก่แม้เข้าใจเด็ก แต่เข้าใจแบบคนเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย มันสู้คนโตเมืองนอก ที่รู้ภาษาอังกฤษ แล้วพูดภาษาอังกฤษแตกฉานไม่ได้ คล้ายๆ อย่างนั้น ไม่ใช่เอาคนแก่ มาบอกเข้าใจคนรุ่นใหม่ แล้วบอกเข้าใจ แต่เข้าใจไม่ลึกซึ้ง

พิธีกรถามว่า น้องอิ๊งบอกว่า พ่อไม่ต้องมายุ่งแล้ว นายทักษิณ ตอบทันทีว่า ใช่ พ่อแก่แล้ว ให้คนรุ่นใหม่เขาคิด เราให้คำแนะนำจากประสบการณ์ ให้ไปมีสติเอาเอง แต่อย่าไปบังคับ สมัยพ่อทำอย่างนี้ ลูกต้องทำอย่างนี้ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ๊งเลย เพราะมันไม่เหมือนกัน วิธีคิด ภาษาพูด อยากเห็นอนาคตแบบไหนของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าไม่เหมือนกัน เราประวัติเยอะ อดีตเยอะ อนาคตสั้นจุ๊ดจู๋ คนรุ่นใหม่อดีตน้อย แต่อนาคตยาวนาน เขาจะมองอนาคตเขา ได้ดีกว่าที่เรามอง เพราะอนาคตเรามันสั้น

พิธีกรถามว่า ถึงเวลาสำหรับโลกใบใหม่แล้ว? นายทักษิณ กล่าวว่า ใช่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Paradigm Shift คือ วิธีคิดมันเปลี่ยนไปมาก คนรุ่นเก่าเราคิดว่าพยายามตามทุกอย่าง ตนอ่านหนังสือเยอะ มันได้ระดับหนึ่ง ไม่ได้ระดับลึกซึ้งเท่ากับวัยเขาคิดกัน

พิธีกรถามว่า กรกฎาคมนี้กลับแน่นอน นายทักษิณ เน้นย้ำว่า กลับแน่นอน พิธีกรถามว่า วันเกิดท่าน เดือนกรกฎาคมพอดีด้วย นายทักษิณ ตอบว่า 26 กรกฎาคม

4. "คมนาคม" ตั้ง คกก.สอบสติกเกอร์ส่วยรถบรรทุก ให้เวลา 15 วัน ด้าน "ผู้การทางหลวง" ถูกเด้งเข้ากรุ สะพัด เจ้าตัวแสดงสปิริตขอย้ายเอง!



ความคืบหน้ากรณีมีข่าวการจ่ายเงินของผู้ประกอบการรถบรรทุกเพื่อซื้อสติกเกอร์ที่มีลักษณะพิเศษจากนายหน้า สำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์ว่า รถบรรทุกที่ติดสติกเกอร์ดังกล่าวมีการจ่ายเงินเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดเส้นทางของการขนส่งแล้ว ทำให้รถบรรทุกดังกล่าวสามารถเดินทางและประกอบกิจการขนส่ง โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ร้อนถึงกระทรวงคมนาคม เนื่องจากด่านชั่งน้ำหนักตามเส้นทางต่างๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม อาจส่งผลให้ประชาชนเกิดความสงสัยในความโปร่งใสของการปฏิบัติงานของหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จนอาจกระทบถึงภาพลักษณ์โดยรวมได้

โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยการติดสติกเกอร์บนรถบรรทุก มีนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เป็นประธาน โดยให้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการตรวจสอบต่อรัฐมนตรีภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง หากพบว่าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กระทรวงฯ จะดำเนินตามระเบียบและกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

วันเดียวกัน (30 พ.ค.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเดิม พร้อมกันนี้ยังได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ผบก.ทล. อีกตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ยังมีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปด้วยความโปร่งใสไร้ข้อเคลือบแคลงจากสังคม

มีรายงานว่า ที่มาที่ไปของการโยกย้าย พล.ต.ต.เอกราช ครั้งนี้ สืบเนื่องจากมีการเปิดโปงขบวนการสติกเกอร์ส่วยรถบรรทุก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจทางหลวงอย่างหนัก ทาง พล.ต.ต.เอกราช ในฐานะ ผบก.ทล. ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ถูกพาดพิงถึง จึงตัดสินใจเดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.จิรภพ เพื่อขอให้โยกย้ายตนเองมาประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ยืนยันว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว จะทำด้วยความตรงไปตรงมา และจะไม่มีการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำการทุจริตอย่างเด็ดขาด

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. เผยเมื่อ 1 มิ.ย.ถึงเรื่องส่วยสติ๊กเกอร์ว่า ได้สั่งการให้ทุกกองกำกับการมีผลปฏิบัติการในการจับกุมรถบรรทุกที่ฝ่าฝืนกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เริ่มมีการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินบ้างแล้ว ในพื้นที่จังหวัดศรีษะเกษ สมุทรปราการ และอุบลราชธานี คาดว่าหลังจากที่มีการถ่ายทอดคำสั่งนโยบายไปแล้ว ต่อไปน่าจะมีการจับรถที่ทำผิดกฏจราจรมากขึ้น

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยด้วยว่า ได้สั่งให้ยกเลิกชุดเฉพาะกิจทุกชุด พร้อมทั้งตั้งชุดสืบสวนสอบสวนทางลับแสวงหาข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งจะไปพบสมาพันธ์รถบรรทุกเพื่อประสานข้อมูล นำมาเป็นพยานหลักฐานดำเนินการกับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับส่วยสติ๊กเกอร์ "ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตำรวจคนนี้ทำไม่ดี แต่เราก็ยังไม่มีข้อมูลหลักฐาน ซึ่งก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เร็ว สมาพันธ์รถบรรทุกต้องเอาหลักฐานมาให้ จะได้สั่งดำเนินการได้ทันที ตรงนี้เป็นความจริงใจของเราในการแก้ปัญหาต่อไป"

วันเดียวกัน (1 มิ.ย.) ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวหลังหารือ และรับหนังสือจากนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยว่า เป็นเกียรติอย่างสูงที่พวกเราได้ทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องของการกำจัดปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก และจะถูกผลักภาระไปยังภาคสินค้าอุปโภค บริโภคอื่นๆ รวมทั้งทำให้ถนนเสียหาย และเป็นความเสี่ยงของประชาชนผู้ใช้ถนน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ทุกคนคงตั้งเป้าไปที่ตำรวจทางหลวง แต่นอกจากนี้ ยังมีตำรวจภูธร หรือตำรวจในพื้นที่ที่ดูแลการจราจรบางท่านยังมีการกระทำดังกล่าวอยู่ “ตนขอบอกว่าเลิกเถอะ” และในส่วนของสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ที่มีส่วนเกี่ยวพันด้วยนั้น ตนคงจะไปบอกว่าให้เปลี่ยนทั้งหมดหรือเป็นทุกคนคงไม่ได้ ต้องย้ำว่าปัญหาเป็นที่ระบบ โดยคาดว่าความเสียหายอยู่ในระดับหมื่นล้าน เรื่องการทุจริตนี้ คิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของการทุจริตทั้งหมดในประเทศไทย

นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหานี้ยังคงมีเรื่องของกฎระเบียบจุกจิกที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ตนคิดว่าคงต้องเอาเทคโนโลยีมาใช้อย่างจริงจัง เพราะหากตัดปัญหาเรื่องที่ต้องใช้ดุลพินิจออกไป ปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะหมดไปโดยปริยาย และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการยกเลิกการซื้อขายตำแหน่ง และระบบตั๋วของตำรวจ ตนเชื่อว่าถ้าสิ่งนี้หมดไป การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะยั่งยืน

5. ศาลปกครองกลาง ชี้สรรพากรสั่ง "สาธิต" ชดใช้ 854 ล้าน ชอบด้วย ก.ม.แล้ว เหตุเจ้าตัวทุจริตคืนภาษี 3.2 พันล้าน!



เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร เป็นโจทก์ฟ้องกรมสรรพากรและอธิบดีกรมสรรพากร โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรที่ให้นายสาธิต ชดใช้เงินจำนวน 854,943,021.65 บาท กรณีร่วมกับนายสิริพงศ์ หรือศุภกิจ ริยะการธีรโชติ หรือริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่ 22 กรุงเทพมหานคร ทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกว่า 3,206 ล้านบาท เมื่อปี 2555-2556

ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง ระบุว่า คดีนี้มีข้อเท็จจริงสรุปความได้ว่า นายสาธิต รังคสิริ (ผู้ฟ้องคดี) เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กรมสรรพากร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) โดยอธิบดีกรมสรรพากร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สืบเนื่องจากกระทรวงการคลังได้มีหนังสือแจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร และนายสิริพงศ์ หรือศุภกิจ ริยะการธีรโชติ หรือริยะการ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จของสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด

ต่อมา คณะกรรมการฯ ได้เสนอรายงานผลการสอบสวน ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าว ที่มีมติให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1 ใน 3 ของจำนวนร้อยละ 80 จากมูลค่าความเสียหาย คิดเป็นเงินจำนวน 854,943,021.65 บาท เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560 และได้รายงานไปยังกระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบ

จากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 854,943,021.65 บาท ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วย จึงได้มีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แต่ไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ขอให้ศาลพิพากษา หรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าว

คดีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือไม่ ซึ่งศาลฯ เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า มีกลุ่มบริษัทจำนวน 25 บริษัท เป็นผู้ประกอบการส่งออกเศษโลหะและแร่โลหะที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง แต่ได้ยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนาย ศ. อนุมัติให้คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทดังกล่าว

ต่อมา เมื่อนางสาว ข. ได้มีหนังสือรายงานให้ผู้ฟ้องคดีรับทราบถึงความผิดปกติของการคืนภาษีของ สท.กทม.22 ผู้ฟ้องคดีในฐานะอธิบดีย่อมมีอำนาจบังคับบัญชา จึงต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการคืนภาษีให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ระงับยับยั้งการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวได้ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของพยานและผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย ศ. ซึ่งให้ถ้อยคำว่า ผู้ฟ้องคดีได้ฝากรายชื่อกลุ่มบริษัทที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ

แม้จะเป็นการอ้างฝ่ายเดียว แต่จากพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ไม่ระงับยับยั้งให้ชะลอการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่นางสาว ข. ได้เสนอความเห็นก็ดี การที่ผู้ฟ้องคดีได้เข้าตรวจเยี่ยม สท.กทม.22 โดยให้แนวปฏิบัติกรณีการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการรายใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องชะลอไว้เป็นเวลา 6 เดือนก็ดี และการที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวได้โอนเงินจำนวน 179,869,250 บาท เพื่อเป็นค่าซื้อทองคำแท่งในชื่อของผู้ฟ้องคดีก็ดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่า ทองคำแท่งดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีได้มาโดยชอบจากทางทำมาหาได้ทางอื่น จึงฟังได้ว่า เป็นทองคำแท่งที่ได้รับมา เกี่ยวโยงกับเงินของกลุ่มบริษัทดังกล่าว

อีกทั้ง ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่าทรัพย์สินตามรายการสั่งซื้อทองคำแท่งในชื่อของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงและพฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้ฟ้องคดี จึงเชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดีขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรเป็นผู้ใช้หรือร่วมรู้เห็นการกระทำความผิด เพื่อให้นาย ศ. คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทที่ได้รับคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มไปโดยมิชอบทั้งสิ้น 3,206,066,331.17 บาท

พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่เป็นผู้ใช้หรือร่วมรู้เห็นการกระทำความผิดดังกล่าว เพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์เป็นทองคำแท่ง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ต้องคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กลุ่มบริษัทที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง ถือได้ว่า เป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ด้วยความจงใจ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

ทั้งนี้ มีปัญหาที่ต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพียงใด ศาลฯ เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้มีมติให้จัดกลุ่มผู้ที่ต้องรับผิด โดยกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีกับผู้ต้องรับผิดอีก 2 คน อยู่ในกลุ่มกระทำการไปด้วยมีเจตนาหรือจงใจทุจริต ให้ชดใช้ในอัตราร้อยละ 80 ของความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน จึงเป็นการกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดโดยคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรม

ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงินจำนวน 854,943,021.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง


กำลังโหลดความคิดเห็น