1.ตำรวจบุกรวบ "เมฆ รามา" สามี "หยาดทิพย์" หลังพบเอี่ยวเว็บพนัน ยึดทรัพย์พันล้าน เล็งเชิญ "หยาด" สอบ รู้เห็นหรือไม่!
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้นำกำลังตำรวจ สอท. พร้อมชุดปฏิบัติการคอมมานโด นำหมายศาลเข้าตรวจค้นเครือข่ายพนันออนไลน์หลายจุด ก่อนเผยในเวลาต่อมาว่า ตำรวจ สอท.ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นรวม 17 จุด สามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์และฟอกเงิน 9 ราย ในจำนวนนี้มี นายรามา รัศมีรามา หรือเมฆ รามา สามี "หยาดทิพย์ ราชปาล" นางเอกชื่อดัง ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ให้ข้อมูล ซึ่งตำรวจได้มีการสืบสวนสอบสวนทางลับ จนพบความผิดชัดเจน โดยเฉพาะเส้นทางการเงินจากเว็บพนันไปยัง เมฆ รามา ซึ่งตำรวจจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับหยาดทิพย์ ราชปาล ภรรยาของเมฆ รามา เบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ตามหลักของกฎหมายในฐานะสามีภรรยา พนักงานสอบสวนจะต้องเชิญภรรยาซึ่งเป็นนางเอกดังมาให้ปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากความผิดดังกล่าวเข้ามูลฐานการฟอกเงิน ดังนั้นต้องตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินและบุคคลใกล้ชิดทั้งหมด เพื่อดำเนินการให้สิ้นกระแสความ ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า มีบุคคลพยายามเข้ามาแทรกแซงแลกกับการไม่ดำเนินคดีเมฆ รามา และเครือข่าย ส่วนตัวยืนยันไม่มี และยืนยันว่า ใครที่ไปอ้างว่ารับเคลียร์ จะเสียเงินเปล่า เพราะตนเองไม่รับเคลียร์อย่างแน่นอน
ด้าน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า ปฎิบัติการที่เข้าตรวจค้น 17 เป้าหมาย ในพื้นที่ 5 จังหวัดทั่วประเทศดังกล่าว เป็นปฏิบัติการ “เหนือเมฆ” และว่า คดีนี้ต้องมีการตรวจสอบและยึดอายัดทรัพย์สินของเมฆ รามา ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเว็บพนันออนไลน์มาตรวจสอบด้วยทั้งหมด ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินที่ต้องตรวจอายัดในครั้งนี้มีมูลค่าร่วม 1 พันล้านบาท
มีรายงานว่า ระหว่างตรวจค้นบ้านพักของเมฆ รามา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบห้องลับใกล้ๆ โต๊ะทำงาน ก่อนที่จะประสานให้เมฆ นำตรวจค้น โดยภายใน พบตู้เชฟขนาดใหญ่ มีทรัพย์สินหลายรายการ เช่น พระเครื่อง และปืนพกสั้น 1 กระบอก จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดไว้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้นำกำลังไปตรวจค้นคอนโดหรูของเมฆ ที่ย่านเอกมัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เมฆใช้เป็นที่อยู่ รวมทั้งเป็นที่จอดรถยนต์หรู เบื้องต้นได้ตรวจยึดรถยนต์เฟอรารี่สีแดง และรถยนต์หรูหลายรายการ นาฬิกาแบรนด์เนม บ้านและโฉนดที่ดินกว่า 100 ฉบับในจังหวัดภูเก็ตและกรุงเทพมหานคร
ขณะที่ พล.ต.ต. วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท กล่าวว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินบัญชีม้า มีการโอนเงินไปยัง เมฆ รามา จึงยืนยันได้ว่า เมฆ รามา เป็นเจ้าของเว็บไซต์ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเว็บพนันอื่นหรือไม่ ต้องตรวจสอบ เพราะเว็บพนันมักมีการปิดและเปิดใหม่เป็นประจำ ส่วนเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์พนันที่เมฆ รามา เป็นเจ้าของ พบว่าอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาทในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
วันต่อมา (31 มี.ค.) พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้นำตัว เมฆ รามา และพวกรวม 9 คน ขอศาลอาญาฝากขัง ในฐานความผิด ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศการโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และร่วมกันฟอกเงิน โดยท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีดังกล่าวมีมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดจำนวนมาก เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และหลบหนี
มีรายงานว่า ตำรวจได้สอบปากคำเมฆ รามา ตลอดทั้งคืน ซึ่งเจ้าตัวยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนตำรวจจะนำตัวมาควบคุมที่ สภ.ปากเกร็ด และขอศาลฝากขัง
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องขอฝากขังและเหตุจำเป็นแล้ว อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมด จากนั้น เมฆ รามา และผู้ต้องหาที่ 5, 6, 8 และ 9 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ลักษณะการกระทำผิดเป็นเครือข่ายขบวนการ คดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เชื่อว่า หากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกคำร้อง หลังจากนั้น มาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
2.ฮีทสโตรกคร่าชีวิต "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" หลังวูบหมดสติ ขณะซ้อมแข่งรถที่สนามบุรีรัมย์!
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และนักธุรกิจนักการเมืองชื่อดัง ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบุรีรัมย์อย่างเร่งด่วน คาดว่าจากอาการฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด เนื่องจากอากาศร้อนจัด ขณะซ้อมแข่งรถยนต์ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเตรียมแข่งขันในเดือนหน้า
นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ให้ข้อมูลในเวลาต่อมาว่า คนไข้ได้ถูกส่งตัวเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติ คาดว่าน่าจะเกิดอาการฮีทสโตรก เนื่องจากภาวะอากาศร้อนจัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ตอนนี้รู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง ซึ่งแพทย์ก็ทำการรักษาอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายชนม์สวัสดิ์ได้เสียชีวิตลงในช่วงดึกคืนเดียวกัน ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวในช่วงสายของวันต่อมา (31 มี.ค.) ถึงกรณีนายชนม์สวัสดิ์ เสียชีวิต หลังซ้อมแข่งรถที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ว่า “สาเหตุการเสียชีวิตมาจากภาวะหัวใจวาย แต่ในรายละเอียดต้องให้แพทย์เป็นผู้แถลง ซึ่งทางแพทย์ได้ดูแลอาการอย่างใกล้ชิด จนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า ก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ซึ่งแพทย์ทำการรักษาอย่างเต็มที่แล้ว”
นายอนุทิน กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ นายชนม์สวัสดิ์ได้ไปซ้อมแข่งรถที่สนามช้างฯ เมื่อซ้อมแข่งรถเสร็จ พอลงจากรถมีอาการอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง คนใกล้ชิดจึงเรียกรถฉุกเฉินพาไปโรงพยาบาล เมื่อถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้ดูแลทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างเต็มที่ แต่ประคองอาการไว้ได้ถึงเที่ยงคืน
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตนเองและครอบครัว ญาติ รวมถึงนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ได้ให้กำลังใจตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ และได้เฝ้าดูแลนายชนม์สวัสดิ์จนสิ้นลม ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดรอให้แพทย์เป็นผู้แถลง เบื้องต้นทราบว่า นายชนม์สวัสดิ์มีโรคหัวใจและมีภาวะฮีทสโตรกร่วม
สำหรับโรคฮีทสโตรก หรือลมแดด เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่พบได้เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ, เพ้อ, ชัก, ไม่รู้สึกตัว, ไตล้มเหลว, หายใจเร็ว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเกิดอาการช็อกหมดสติ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ ได้มีการเคลื่อนศพนายชนม์สวัสดิ์ออกจาก รพ. บุรีรัมย์ ขึ้นรถมูลนิธิกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมสถานบุรีรัมย์ ในช่วงเช้า 31 มี.ค. เพื่อนำร่างกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด จ.สมุทรปราการ โดยขณะเคลื่อนศพ มีนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด พร้อมด้วยทีมงานจากสนามแข่งรถ รวมทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล มาร่วมส่งศพด้วย ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัว โดยมี น.ส.นันทิดา แก้วบัวสาย ภรรยา และลูกสาว มารอรับศพกลับบ้าน
สำหรับ "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม" เกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2511 จบปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นลูกชายของนายวัฒนา อัศวเหม นักการเมืองชื่อดังแห่งเมืองสมุทรปราการ นายชนม์สวัสดิ์เคยดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ
ชีวิตครอบครัว สมรสกับนักร้องดัง "ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย" และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน คือ "เพลง-ชนม์ธิดา อัศวเหม" ที่เพิ่งเปิดตัวเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 5 ของพรรคภูมิใจไทย แม้จะสมรสกับ นันทิดา แต่เขายังมีข่าวความสัมพันธ์กับนักแสดงหญิงหลายคน ต่อมา เมื่อหย่าขาดจากนันทิดาแล้ว ได้สมรสอีกครั้งกับ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ แต่ก็ยังปรากฏภาพความสัมพันธ์ในครอบครัวของชนม์สวัสดิ์ นันทิดา และบุตรสาว รวมทั้งในปี 2563 เขายังสนับสนุนให้ นันทิดา แก้วบัวสาย ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย ในปี 2564 นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ลูกพี่ลูกน้องนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
นายชนม์สวัสดิ์เคยเป็นนักแข่งรถชื่อดัง ก่อนจะหันมาจับงานทางการเมือง ตามรอยผู้เป็นพ่อ เริ่มจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ ก่อนจะลงเลือกตั้ง ได้รับเลือกเป็นนายกองค์การบริหารส่วน จ.สมุทรปราการเมื่อปี 2554 และยังได้รับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาสโมสรสมุทรปราการเอฟซีอีกด้วย
นายชนม์สวัสดิ์เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคมหาชน เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดิน ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2550 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ต่อมาได้เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ในปี 2551 และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 เขาให้การสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ
นายชนม์สวัสดิ์เคยถูกจำคุกในคดีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ ปี 2542 ซึ่งศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ต่อมา ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามมาตรา 8 (3) ขอพระราชทานอภัยโทษพระราชกฤษฎีพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งได้ลดวันต้องโทษ 1 ใน 4 ของโทษที่เหลือ เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559
3. “ทอม เครือโสภณ” สำนึกผิด โพสต์ข้อความขอขมา “สนธิ” ต่อหน้าศาล คดีหมิ่น ด้านศาลนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 24 เม.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจุลภาศ หรือ “ทอม เครือโสภณ” นักธุรกิจชื่อดัง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย จำนวน 5 ล้านบาท
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 21 ส.ค.2563 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก ที่ชื่อ Tom Julpas Kruesopon ที่เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามเฟซบุ๊กของจำเลยสามารถมองเห็นรับรู้และเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ โดยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2563 จำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยแพร่ภาพและคลิปผ่านเฟซบุ๊กพาดพิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล กรณีแตกหักกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีการกล่าวหาด้วยข้อความต่างๆ ที่เป็นความเท็จทั้งสิ้น เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง
ดังนั้นการที่จำเลยแพร่ภาพสดและวีดีโอ ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า การที่โจทก์ออกมาต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตรในช่วงปี 2548-2552 เกิดจากการไม่ได้รับส่วนแบ่ง หรือไม่ได้รับผลตอบแทนตามสัญญาจากนายทักษิณ ชินวัตร และทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นคนปลดหนี้เป็นพัน ๆ ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้ว โจทก์ไม่เคยมีสัญญาหรือมีข้อตกลงว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทน และในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยมี License (ใบอนุญาต) ทีวีออกมาแต่อย่างใด โดยศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องและประทับรับฟ้องคดีไว้เพื่อมีคำพิพากษา
ต่อมา ในระหว่างการสืบพยาน “ทอม เครือโสภณ” จำเลยได้แถลงต่อศาล ยอมรับสารภาพ ขอเจรจาไกล่เกลี่ย โจทก์จึงให้จำเลยลงข้อความขอโทษลงในเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นเวลา 7 วัน และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 3 แสนบาท แต่เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โดยยังไม่ชำระค่าเสียหายอีก 1 แสนบาท และยังไม่ลงข้อความขอโทษลงในเฟซบุ๊ก จึงขอให้ศาลอ่านพิพากษา เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2566 แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่มาศาล ศาลจึงออกหมายจับเพื่อให้มาฟังคำพิพากษา
กระทั่งวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งศาลนัดฟังคำพิพากษา นายจุลภาค หรือ “ทอม เครือโสภณ” จำเลย ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีท่าทางยิ้มแย้มและระบุสำนึกในการกระทำแล้ว ขณะที่ฝ่ายโจทก์ มีเสมียนทนายความมาฟังคำพิพากษาแทน
จากนั้น ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่า ล่าสุดจำเลยได้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 3 แสนบาทแล้ว แต่ยังไม่โพสต์ข้อความข้อโทษลงในเฟซบุ๊กให้ครบถ้วน ต่อมาจำเลยแถลงว่า ยินดีที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง โดยได้ยินยอมโพสต์ข้อความขอโทษโจทก์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวต่อหน้าศาล และรับปากว่า จะอ่านข้อความขอโทษในไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กภายในวันดังกล่าว และจะคงข้อความดังกล่าวไว้นานเป็นระยะเวลา 7 วัน จนถึงวันที่ 6 เม.ย.2566 ทั้งนี้ ศาลให้จำเลยนำหลักฐานการโพสต์ดังกล่าวมาแสดงให้ศาลทราบด้วย โดยศาลให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาอีกครั้ง ในวันนี้ 24 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (30 มี.ค.) นายจุลภาศ หรือทอม เครือโสภณ ได้โพสต์ข้อความจดหมายเปิดผนึกลงในเฟซบุ๊ก "Tom Krues" กล่าวขอขมานายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ กรณีเคยเฟซบุ๊กไลฟ์กล่าวหานายสนธิผ่านทางเฟซบุ๊ก Tom Julpas Kruesopon เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2563 โดยข้อความขอขมาระบุว่า “ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้าพเจ้าไม่เคยพบเจอคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์หรืออนันตรา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เคยไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์หรืออนันตรา และไม่เคยยกแก้วและพูดว่า "ทักษิณจงเจริญ ทักษิณจงเจริญ" เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าเป็นผู้กล่าวลอยๆ ขึ้นมาเอง คุณสนธิฯ ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องระหว่างคุณสนธิฯ และนายทักษิณฯ”
โดยนายจุลภาศระบุว่า "ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้อความที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวพาดพิงคุณสนธินั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากคุณสนธิไม่เคยมีสัญญาหรือมีข้อตกลงว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการทุจริตคอร์รัปชันของนายทักษิณ และในขณะที่นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยมี License (ใบอนุญาต) ทีวีใหม่ๆ ออกมาแต่อย่างใด และคุณสนธิไม่เคยไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์หรืออนันตรา และไม่เคยยกแก้วและพูดว่า "ทักษิณจงเจริญ ทักษิณจงเจริญ" เกี่ยวกับการปลดหนี้แบงก์กรุงไทยนั้น นายทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ"
นายจุลภาศ ระบุอีกว่า “การกระทำของข้าพเจ้าที่กล่าวพาดพิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านทางเฟซบุ๊ก (Facebook) ของข้าพเจ้าที่ชื่อว่า "Tom Julpas Kruesopon" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 นั้น เกิดจากการขาดความรอบคอบ และไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนพูดออกไป ทำให้ข้อมูลเกิดความผิดพลาด ข้าพเจ้าจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด และจะไม่กระทำพฤติการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป ข้าพเจ้าขอขอบคุณคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นอย่างสูงที่เมตตาให้อภัยในการกระทำผิดพลาดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออภัยและขอขมาต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มา ณ โอกาสนี้”
นอกจากโพสต์ข้อความขอขมานายสนธิผ่านเฟซบุ๊กแล้ว ทอม เครือโสภณ ยังพูดขอขมานายสนธิผ่านคลิปวิดีโอด้วย
4. ศาลพิพากษาจำคุก 8 ตร. “นายพล-ด.ต.” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เรียกรับเงินฮั้วประมูลสร้างแฟลตตำรวจ!
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ คณะกรรมการประกวดราคาจัดสร้างโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์รายการอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จำนวน 163 หลัง วงเงินกว่า 3,709 ล้านบาท กับพวก ประกอบด้วย พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ,พล.ต.ต.สมาน สุดใจ, พ.ต.อ.ปัทเมฆ สุนทรานุยุดกิต, พ.ต.อ.จิรวุฒิ จันทร์เพ็ง, พ.ต.ต.สิทธิไพบูลย์ คำนิล, พ.ต.ท.คมคริบ นุดาลัย, ด.ต.สายัณ อบเชย และบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานตามทางไต่สวนประกอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของโจทก์และพยานหลักฐานของจำเลยทั้ง 9 แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-6 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 9 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการพิจารณาหรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา รู้ หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่า การเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12
ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จำเลยที่ 7 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคำนวณราคาเป็นเงินได้กรณีจำเลยที่ 7 จำนวน 60,000 บาท กรณีจำเลยที่ 8 จำนวน 91,618,000 บาท ที่ได้มาจากการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการให้รับตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 32 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า เงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปรวมกับทรัพย์สินอื่นหรือมีการจำหน่ายจ่ายโอนเป็นทรัพย์สินอื่น โดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้ยากเกินสมควร จึงให้จำเลยที่ 7, 8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบชำระเป็นเงินจำนวนดังกล่าวแทน ตามมูลค่าภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา
จำเลยที่ 9 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-6 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-6 มีความผิดตามฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 1-6 เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-6 ตลอดชีวิต และปรับคนละ 3.9 แสนบาท จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 8 จำคุก 19 ปี จำเลยท่ 9 ปรับ 2.6 แสนบาท
แต่ในทางนำสืบของจำเลยที่ 1-8 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-6 คนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 2.6 แสนบาท จำเลยที่ 7 จำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 8 จำคุก 12 ปี 8 เดือน ให้นับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาอีก 1 คดี ให้จำเลยที่ 7, 8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งรับเป็นเงินแทนตามมูลค่าดังกล่าวในกำหนด 1 เดือน หากจำเลยที่ 1-6 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากจำเลยที่ 9 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามกฎหมายอาญา แต่ยกฟ้องจำเลยที่ 9 สำหรับฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 7, 8
หลังศาลอ่านคำพิพากษา จำเลยทั้ง 8 ได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ด้านศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 7, 8 ประกันตัว ส่วนจำเลยที่ 1-6 ส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ล่าสุด (1 เม.ย.) ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1-6 ถูกฟ้องว่าร่วมกับพวกกระทำความผิดในข้อหาที่มีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 33 ปี 4 เดือน หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 1-6 จะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 1-6 ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
5. ผบ.ตร. สั่งกองปราบฯ สอบ "ชูวิทย์-2 นายพลตำรวจ-ทนายษิทรา" ปมเงิน "สารวัตรซัว" 6 ล้าน เชื่อ อาจได้มาจากการกระทำความผิด!
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้แจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. พล.ต.ท.เปี๊ยก (นามสมมติ) และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนำเงินจาก พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือ “สารวัตรซัว” อดีตสารวัตรฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สังกัดกองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง พัวพันพนันออนไลน์ไปมอบให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำนวน 6 ล้านบาท ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มาแจ้งความให้อายัดเงิน 6 ล้านบาทดังกล่าว มาตรวจสอบ และเอาผิดกับนายชูวิทย์ ในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และว่า จากการตรวจสอบยังพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันถูกโอนเข้าบัญชีของ ภรรยา ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ หลายล้านบาทอีกด้วย
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ช่วงบ่ายตนจะเดินทางไป สน.ทองหล่อ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีอาญากับบุคคลตามภาพในเฟซบุ๊กที่โพสต์โดยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์และชายอีกหนึ่งคนพร้อมถุงเงิน 2 ถุง ในข้อหาเดียวกัน เพื่อจะได้มีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า เงินดังกล่าวถูกนำเงินมาจ่ายให้ใคร ใช่ที่โรงแรมเดวิสหรือไม่ รวมถึงจะไปแขวนป้ายที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟองเงิน เพื่อให้คนในสำนักงานออกมาต่อสู้ หลังมีบุคคลเข้าไปทำให้องค์กรเสื่อมเสีย
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (27 มี.ค.) ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้แถลงเปิดโปงนายชูวิทย์ ว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์จากอดีตข้าราชการตำรวจเพิ่มเติมว่า ตามที่ชูวิทย์กล่าวอ้างไปให้ถึงโรงแรม โดยชื่อแรกคือ พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ อดีตตำรวจ ส่วนคนที่ 2 ชื่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เป็นรองเลขาธิการ ปปง. โดยเรื่องนี้น่าเชื่อได้ว่า อดีตตำรวจทั้งสองนายนี้ได้รับอนุญาตจากสารวัตรซัวให้นำเงินมามอบแก่นายชูวิทย์ โดยรูปถุงเงินดังกล่าวนั้นเป็นการส่งงานให้กับเจ้าของเงินอีกครั้ง โดยผู้นำมาให้ต้องการแสดงให้เห็นว่าเงินถึงมือแล้ว
นายษิทราเผยอีกว่า ส่วนตัวยังมองว่า หากนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เคยเป็นต้นสังกัดของอดีตตำรวจทั้งสองนาย การตรวจสอบก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้กำลังเตรียมทำเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบ ยืนยันว่า เจตนาที่ออกมาแฉนั้น เพราะต้องการทำให้รองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการให้ได้ และจะให้ตำรวจสอบสวนกลางตรวจสอบเส้นทางการเงินสกุลดิจิทัลกว่า 50 ล้านบาท ที่โอนเข้าไปให้ลูกชายนายชูวิทย์ ซึ่งตนพร้อมไปให้ข้อมูลด้วยตัวเอง
นายษิทรา ยังยืนยันด้วยว่า ตนเองไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวตามที่นายชูวิทย์กล่าวหา ก่อนจะโพสต์ภาพทำบุญและสาปแช่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตัวเองไม่ยุ่งกับคนเหล่านี้ พร้อมสาบาน หากตนรับเงินจากฝ่ายใดก็ตามมาโจมตีนายชูวิทย์ ขอให้ตัวเองล่มสลายและมีอันเป็นไป ส่วนพรรคการเมืองที่นายชูวิทย์โจมตีอยู่นั้น ก็ยังฟ้องร้องตัวเองเช่นกัน ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง แต่สาเหตุที่ตัวเองนำเรื่องราวมาเปิดเผยด้วยวิธีนี้ ไม่ไปพูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อน มองว่า หากนำหลักฐานต่างๆ ไปนั่งพูดคุยกันโดยตรง นายชูวิทย์ก็คงไม่ยอมรับ ตนเพียงแค่อยากให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ขอแนะนำว่า หากไม่มีหน่วยงานใดรับเงินบริจาคสีเทาดังกล่าว ขอให้ไปคืนกับอดีตสองตำรวจที่นำมาให้
ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์จะฟ้องร้องเอาผิดตนฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาทนั้น นายษิทรายืนยันว่า พร้อมจะพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย หากแพ้คดีก็ต้องฟ้องร้องให้ตนล้มละลาย เพราะไม่มีเงินขนาดนั้น
วันต่อมา (28 มี.ค.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.พหลโยธิน เพื่อดําเนินคดีกับนายอัจริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในข้อหาหมิ่นประมาทที่พาดพิงตนเองและภรรยา ทําให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก "ผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว อาจจะเคยพูดคุยกันบ้างแต่นานแล้ว และยืนยันว่าไม่เคยไปที่โรงแรมเดวิสแม้แต่ครั้งเดียว"
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า ตนเป็นคนแนะนําให้บุคคล 2 คนในภาพที่นายอัจฉริยะเผยต่อสื่อจริง ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นเอฟซีคุณชูวิทย์ ตนจึงแนะนําให้ 2 คนรู้จักกัน เพราะอีกคนรู้จักกับคุณชูวิทย์ ส่วนจะไปพูดคุยหรือไปโรงแรมคุณชูวิทย์หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ส่วนสารวัตรซัว ตนเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่หลายปีก่อนหน้านี้เคยมีคนพาคนชื่อซัวมาไหว้ แต่ไม่รู้ว่าคือซัวเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่เคยติดต่อกันหลังจากนั้น
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนภรรยาตนที่คุณอัจฉริยะกล่าวหาว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์หลายแห่งนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ในส่วนภาพที่ตนถ่ายรูปคู่กับชายคนหนึ่งร่างท้วม ที่คุณอัจฉริยะอ้างว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์นั้น ยอมรับว่ารู้จัก เพราะเป็นลูกของเพื่อน ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.อ่างทอง และมาขอถ่ายรูปตอนตนไปเป็นอาจารย์สอนสถานศึกษาที่เค้าเรียนอยู่ก็เท่านั้น ขอยํ้าว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการเคลีย์หน้าเสื่อให้กับเว็บพนันออนไลน์หรือพัวพันกับสิ่งผิด หากพบว่า ตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทําความผิดจริง ยินดีลาออกเพื่อรับผิดชอบทันที
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้มาแจ้งความดําเนินคดีแค่คุณอัจฉริยะเพียงคนเดียว ส่วนทนายตั้มเอาไว้ทีหลัง ซึ่งข้อหาที่แจ้งในวันนี้คือ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และกฎหมาย PDPA พร้อมกับเรียกร้องค่าเสียหาย 10 ล้านบาท เพื่อนําเงินไปทําบุญล้างซวย
ด้านนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล ได้ออกมาอ้างว่า ตนทราบมาว่า เงินที่ถูกนำไปมอบให้กับนายชูวิทย์นั้นไม่ใช่เงินของสารวัตรซัวตามที่เป็นข่าว แต่เป็นเงินของนายอ๊อด เป็นผู้นำเงินมามอบให้ชูวิทย์นำไปทำบุญ ซึ่งนายอ๊อดนั้นเชื่อมโยงถึงกลุ่มทุนสถานบริการอาบนวด ย่านรัชดา เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนายชูวิทย์
ขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ จะนำเงิน 6 ล้านบาท ที่ระบุว่าได้รับจากสารวัตรซัว พร้อมกับบันทึกคำให้การที่ไปที่มาของเงิน มาส่งมอบให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า จากข้อมูลที่ปรากฏในข่าว น่าเชื่อได้ว่า เงินอาจเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งตอนนี้ทางกองบังคับการปราบปราม กำลังสอบสวนคดีของสารวัตรซัวอยู่ และมีผู้มาแจ้งความให้ตรวจสอบถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเงินไปมอบให้นายชูวิทย์ ดังนั้น จึงจะมอบหมายให้กองปราบปราม เป็นผู้ดำเนินการในการรับเงินมาในรูปแบบของของกลางเพื่อนำไปสืบสวนข้อเท็จจริงต่อ
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า จะมีการสอบปากคำนายชูวิทย์ด้วย รวมถึงจะต้องเรียกบุคคลที่ปรากฏชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนมาสอบปากคำ ทั้งพลตำรวจตรี อ. พลตำรวจโท ป. รวมถึงทนายษิทราที่เป็นผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ด้วย เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ ส่วนกรณีที่นายสันธนะออกมาเปิดเผยว่า เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ของสารวัตรซัว ก็ต้องให้สืบสวนก่อนว่าเป็นเงินของใครกันแน่ "ส่วนพฤติการณ์ของนายชูวิทย์ที่มีการรับเงินมานั้น จะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ ก็ต้องรอดูการสอบปากคำนายชูวิทย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องก่อน"