xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 มี.ค.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."สมศักดิ์-สุริยะ" ทิ้งพรรค พปชร.-ไขก๊อก รมต. ซบพรรค พท. หวังเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ได้เป็น รบ.สมัยหน้า!

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้ากราบลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด หลังจากตัดสินใจย้ายไปทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย และเตรียมยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและรัฐมนตรี

มีรายงานว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี ด้วยความเข้าใจ ไม่มีปัญหาติดใจ โดยวงสนทนามีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ร่วมวงพูดคุยและรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

ต่อมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เผยว่า วันนี้ ตนและนายสุริยะ ได้เดินทางเข้าพบนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกราบลาหลังตัดสินใจทางการเมือง เนื่องจากนายวิษณุได้กำกับดูแลงานของกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมา ท่านได้ให้การสนับสนุนด้วยดีมาโดยตลอด “ท่านวิษณุ ก็ได้อวยพรให้กับผม และท่านสุริยะ พร้อมบอกว่า การตัดสินใจเป็นสิทธิส่วนตัว โดยเคารพซึ่งกันและกัน แต่ท่านเองไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด จึงไม่ต้องขยับตัว รวมถึงท่านยังได้ขอบคุณที่ได้ร่วมกันทำงานด้วยดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน“

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนและนายสุริยะยังได้มีโอกาสเดินทางเข้าพบ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อกราบลา เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพและช่วยสนับสนุนการดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด 4 ปี จึงเดินทางไปลาท่านด้วยตัวเอง เพราะเรามีแนวทางทำการเมืองด้วยเหตุผลหลายประการ พร้อมนำเรียนท่านว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีบุคลากรที่เข้มแข็งมากพอสมควร ซึ่งท่านก็ได้ขอบคุณที่ได้ช่วยกันทำงาน พร้อมอวยพรซึ่งกันและกัน เพราะยังมีความเคารพท่านอยู่เสมอ โดยไม่มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น

วันต่อมา (17 มี.ค.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้แถลงถึงสาเหตุของการย้ายมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย โดยได้ยื่นเอกสารลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้วว่า การตั้งรัฐบาลในครั้งที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 เข้ามา ทำให้การดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศที่มาก และรัฐบาลก็ไม่ได้แก้ไขในเรื่องของเศรษฐกิจได้ดีเท่าไหร่ แม้ว่าในครั้งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส. มากถึง 118 คน แต่ไม่สามารถทำเรื่องของเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชนเกิดความพึงพอใจได้ เหตุมาจากต้องเป็นรัฐบาลผสม มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่เข้ามาต่อรองกันในเรื่องของกระทรวงต่างๆ และพรรคพลังประชารัฐนั้นก็ไม่ได้ดูกระทรวงเกี่ยวกับเศรษฐกิจทั้งหมด ดูเพียงบางส่วน และให้พรรคการเมืองอื่นเป็นหลัก

ดังนั้น การที่จะทำให้สิ่งต่างๆ สัมฤทธิ์ผล ตนจึงเลือกพรรคการเมืองที่แลนด์สไลด์ และพรรคการเมืองที่จะแลนด์สไลด์ คงต้องเป็นเพื่อไทย และตนจะเป็นส่วนทำให้แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ได้ประสบความสำเร็จ เป็นที่พึ่งที่หวังของพี่น้องประชาชนในเรื่องของการแก้ปัญหาต่างๆ และความยากจนของประเทศ ตนจึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อร่วมแนวทางในการขับเคลื่อนแนวนโยบายต่อไปในวันข้างหน้า

นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การเป็นรัฐบาลก็เป็นความใฝ่ฝันของพรรคการเมืองทุกพรรค แต่จะเป็นได้หรือไม่ได้ ทางพรรคการเมืองก็มีเงื่อนไข แต่ตนเชื่อมั่นว่า “ถ้าประชาชนเลือกมากๆ พรรคเพื่อไทยก็จะแลนด์สไลด์ให้ได้เป็นรัฐบาล”

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถึงการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายกฯ ได้พูดคุยกับนายสุริยะ และนายสุริยะได้ถ่ายทอดให้ตนฟังแล้ว ซึ่งนายกฯ ไม่ได้ติดใจอะไร พร้อมบอกให้โชคดี ตนก็กราบขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้ตนได้มีโอกาสได้ทำงานได้แสดงฝีมือ

2.ภท.สุดทน ร้อง กกต. เอาผิด "ชูวิทย์" ใส่ร้ายพรรคด้วยความเท็จ ด้าน "ชูวิทย์" โต้กลับ ยื่น กกต.ยุบพรรค ภท.!


เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องเรียนกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง มุ่งเป้าใส่ร้ายโจมตีพรรคภูมิใจไทย และทำให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของผู้สมัคร ส.ส. และพรรคภูมิใจไทย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง โดยขอให้ กกต.ดำเนินการสืบสวนไต่สวน และใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งระงับยับยั้งการกระทำของนายชูวิทย์ และดำเนินการตามกฎหมายกับนายชูวิทย์

โดยหนังสือที่ร้องต่อ กกต.ระบุว่า เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎร จะครบวาระในวันที่ 23 มี.ค.66 ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ทุกพรรคเตรียมการเลือกตั้ง และการหาเสียง รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย แต่ปรากฎว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.66 นายชูวิทย์ ได้มีการแถลงข่าวที่โรงแรมเดอะ เดวิส และเผยแพร่ไปตามสื่อว่า จะถล่มพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นศัตรูของชาติ มีการคอร์รัปชั่น มีการโกง ซึ่งถือเป็นการใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทยด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้คนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคภูมิใจไทย

นอกจากนี้ ยังมีกรณีของเฟซบุ๊ก “เนชั่นสุดสัปดาห์” วันที่ 7 มี.ค.66 ที่ลงภาพนายชูวิทย์ พร้อมข้อความว่า “ผมจะทำลายคะแนนของพรรคภูมิใจไทย” รวมทั้งคำพูดประกอบข่าวตอนหนึ่งว่า “นายศักดิ์สยาม เป็นคนหนึ่งที่อยู่พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยามเป็นผู้รับเหมา นายอนุทินก็เป็นผู้รับเหมา นายเนวินกำกับอยู่เบื้องหลัง ส่วนนายสนธิเป็นที่ปรึกษา ผมบอกว่า อย่าเลือกพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้บอกว่าให้เลือกพรรคไหน” ซึ่งคำพูดดังกล่าว เป็นการชักชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เลือกผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยเป็น ส.ส. โดยการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครของพรรค

รวมถึงกรณีเมื่อวันที่ 13 มี.ค.66 นายชูวิทย์ ได้แถลงข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และมีการเผยแพร่ตามสื่อทั่วไป ซึ่งเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ ต้องการทำลายคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทย โดยมีเจตนาให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดและทำลายคะแนนนิยมของพรรคด้วยเช่นกัน

นายศุภชัย กล่าวว่า ส.ส. และสมาชิกพรรคภูมิใจไทยทุกคน ต่างได้รับความเสียหายจากคำพูดของนายชูวิทย์ ที่ใส่ร้ายและทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดว่า พรรคภูมิใจไทยกระทำการเป็นปรปักษ์ของชาติ มีการคอร์รัปชั่นโดยใช้อำนาจหน้าที่ผิดกฎหมายเพื่อให้ได้รับประโยชน์อันมิควร และงดเว้นการกระทำใด อันจะเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น จึงขอให้ กกต.สืบสวน หรือไต่สวนกรณีของนายชูวิทย์ ที่กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 มาตรา 73 โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับนายชูวิทย์ รวมทั้งขอให้ประธาน กกต. หรือ กกต. ใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งระงับ ยับยั้งการกระทำของนายชูวิทย์ ที่จะมีขึ้นในภายหน้าในการกล่าวถ้อยคำใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทย

ทั้งนี้ ก่อนหน้าจะยื่นหนังสือต่อ กกต. นายศุภชัย ใจสมุทร ได้แถลงที่พรรคภูมิใจไทยว่า กรณีที่นายชูวิทย์มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า รับงานมาเพื่อมุ่งร้ายทำลายพรรคภูมิใจไทย เป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริตในฐานะประชาชนที่จะติชมด้วยความเป็นธรรม แต่มีเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งเป็นการใช้เสรีภาพของประชาชนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการพูดอาฆาตมาตร้าย และมีการแสดงออกตามพื้นที่ต่างๆ

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้นถามว่ารับงานจากใคร ก็มีข่าวปรากฏออกมาค่อนช้างชัดว่า เป็นกลุ่มบุคคลที่เสียประโยชน์ในสิ่งที่พรรคออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้น พรรคจะดำเนินการกับบุคคลใดก็ตามที่เข้ามากล่าวร้าย บิดเบือน พรรคภูมิใจไทยในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เราเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม จะไม่ยอมให้กระบวนการที่ทำเหมือนเป็นศาลเตี้ยเข้ามา จนทำให้กระบวนการทางกฎหมายสั่นคลอน

นายชูวิทย์หรือใครก็ตามที่นำเรื่องที่นายชูวิทย์แถลง ไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง มุ่งร้าย บิดเบือนพรรคภูมิใจไทย เราจะดำเนินการทุกคดีกับใครก็ตามที่ใส่ร้ายพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสีย โดยพรรคยึดหลักการเคารพกฎหมาย ฉะนั้น เมื่อมีบุคคลที่ไม่เคารพกฎหมายมาทำแบบนี้ เราก็จำเป็นต้องปกป้องศักดิ์ศรี และคะแนนนิยมของพรรค โดยจะดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมทุกเรื่องกับทุกฝ่ายกับบุคคลทุกคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยว

“มีคนถามว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยปล่อยให้นายชูวิทย์ดำเนินการไปเรื่อยๆ นั้น ผมยืนยันว่า เรื่องนี้เราจะเริ่มดำเนินคดี โดยผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 400 เขต ที่ได้รับความเสียหายจากนายชูวิทย์ จะไปดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ และจะร้อง กกต.จังหวัดแต่ละเขต รวมถึงฟ้องคดีอาญานายชูวิทย์ ผมเชื่อว่า ท่านไม่กลัวติดคุก เพราะท่านเคยติดคุก อาจเสพติดเรื่องการติดคุก มีคดีมากๆ ท่านอาจจะชอบก็ได้ แต่พรรคต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิ ปกป้องชื่อเสียงเกียรติคุณของพรรค"

ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้ออกมาตอบโต้พรรคภูมิใจไทย ด้วยการเข้ายื่นคำร้องให้ กกต. ตรวจสอบการรับบริจาคเงินของพรรคภูมิใจไทย ว่าเข้าข่ายขัด มาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ หรือไม่ พร้อมให้ กกต.พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่า โดยที่นายศักดิ์สยามยังเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว และการที่บริษัทดังกล่าว ได้รับงานจากกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคมอยู่นั้น จึงเป็นการรู้อยู่แล้ว แต่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้บริษัทดังกล่าวได้รับงานกว่า 104 โครงการ 1,500 ล้านบาท โดยมอบอำนาจให้นอมอนี นำเงินที่ได้บริจาคให้พรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง เงินดังกล่าวจึงได้มาโดยมิชอบ

3. ศาลพิพากษาจำคุก "วรุธ" อดีตบิ๊กทีโอที 20 ปี-ชดใช้พันล้าน ฐานใช้อำนาจอนุมัติจ่ายเงินไอ-โมบายโดยทุจริต คอตกเข้าคุก ศาลไม่ให้ประกัน!



เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษา คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายวรุธ สุวกร อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลย ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 14 ม.ค.63 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ.2535 ภายใต้ชื่อบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด บริษัท โทรคมนาคม แห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที มีหน้าที่รับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด

ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.-13 ต.ค.51 เวลากลางวันต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน จำเลยรับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ให้ไปเจรจากับบริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หลังบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่ง เรื่องผิดสัญญาและเรียกร้องเงินจำนวน 2,648,771,009 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินนับถัดจากวันฟ้อง

จำเลยเป็นพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการและรักษาทรัพย์ของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ด้วยการอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เกินกว่าวงเงิน 10 ล้านบาท ที่จำเลยมีอำนาจอนุมัติ ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามคำสั่งคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และจำเลยมิได้ขออนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการ ทำให้บริษัทสามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระเงินไปเป็นจำนวนเกินกว่าที่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ควรต้องจ่าย สร้างความเสียหายเป็นเงิน 525,370,000 บาท

จำเลยให้การปฏิเสธ อ้างว่า อนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นไปตามผลการเจรจาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและกำหนดแนวทางที่นำเสนอมาและมติที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 19/2551 ให้อำนาจจำเลยอนุมัติจ่ายเงินตามฟ้องได้ เนื่องจากเป็นเรื่องการบริหารจัดการสัญญาของฝ่ายบริหาร ทั้งเป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่ยกเว้นให้จำเลยมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินได้เกินกว่า 10 ล้านบาท ตามคำสั่งคณะกรรมการที่ 29/2546 และจำเลยไม่ต้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว เพราะตามมติที่ประชุมที่ 19/2551 ให้อำนาจจำเลยไว้แล้วตามคำสั่งที่ ส.10/ 2561 เรื่องผลการสอบสวนผู้รับผิดทางแพ่งสรุปว่า การจ่ายเงินตามฟ้อง จำเลยไม่มีความผิดทางแพ่ง

ทั้งนี้ ในทางไต่สวนพยานหลักฐาน มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่อนุมัติจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องฟังได้ว่า จำเลยอนุมัติสั่งจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เกินกว่า 10 ล้านบาท จำเลยต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เสียก่อน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อผูกพันในสัญญาตามคำสั่งคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)

การนํายอดเงินจํานวนเต็มตามฟ้องในคดีแพ่งมาเป็นหลักในการเจรจาต่อรอง เท่ากับเป็นการยอมรับว่า บริษัททีโอที จํากัด (มหาชน) เป็นฝ่ายผิดสัญญาและยอมรับผิดเต็มตามฟ้อง นอกจากนี้ ก่อนและหลังจำเลยอนุมัติให้จ่ายเงินแก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) มีการคัดค้านจากบุคคลภายในหน่วยงานของจําเลยหลายครั้ง โดยเฉพาะมีการยกเลิกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เพราะฝ่ายการเงินและบัญชีคัดค้านเรื่องอำนาจจ่ายเงินของจำเลย แต่จำเลยก็ยังอนุมัติให้มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวโดยไม่หารือหรือขอความคิดเห็นจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตอบข้อหารือ หรือนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททีโอที จํากัด (มหาชน)

การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ ได้ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กับเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือโดยทุจริต


พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้ว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง และต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยตามคำร้อง พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 จำคุก 20 ปี กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องเป็นเงิน 1,062,147,006.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 525,370,000 นับถัดจากวันที่ 15 ธ.ค.65

หลังฟังคำพิพากษา นายวรุธ สุวกร จำเลย ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิจารณาเเล้วส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา โดยระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ ได้คุมตัวจำเลยไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

วันต่อมา (17 มี.ค.) ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยแล้ว มีการกระทำที่เกี่ยวกับประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้จำนวนมากที่มีบุคคลได้ไป ประกอบกับมีค่าความเสียหายด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 20 ปี มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง

4. "สารวัตรกานต์" ป่วยทางจิต คลั่งก่อเหตุกราดยิง เสียชีวิตแล้ว หลัง จนท.ใช้กระสุนจริงก่อนบุกชาร์จตัว ด้าน ผกก. พี่ชาย ติดใจ น้องถูกทำร้ายหรือไม่!



เมื่อวันที่ 14 มี.ค. เวลา 11.00 น. ตำรวจได้รับแจ้งเหตุ ชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุกราดยิง บริเวณบ้านมั่นคง แยกซอยสายไหม 46 แขวงและเขตสายไหม กทม. ตำรวจ สน.สายไหม เร่งเข้าระงับเหตุ ต่อมา ทราบว่า ชายที่คลุ้มคลั่ง คือ พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ หรือ "สารวัตรกานต์" อายุ 51 ปี สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว สันติบาล ยิงปืนอยู่ภายในบ้านพัก เพื่อนผู้ก่อเหตุให้ข้อมูลว่า สารวัตรกานต์ มีอาการป่วยทางจิต แล้วโทรศัพท์ให้มารับ แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาก็มีอาการคลุ้มคลั่ง และยิงปืนออกมาจากภายในบ้านเป็นระยะ

ต่อมา ตำรวจอรินทราช 30 นาย พร้อมตำรวจ สน.สายไหม ได้ระดมกำลังปิดล้อม เพื่อระงับเหตุ หลัง สารวัตรกานต์ มีการถือปืนเดินออกมาจากภายในบ้าน พร้อมตะโกนด่าทอเป็นระยะ ด้านเจ้าหน้าที่พยายามเกลี้ยกล่อมสารวัตรกานต์ แต่ปรากฎว่า ยิ่งสร้างความกดดันอย่างหนัก มีการยิงปืนสวนออกมาเป็นระยะกว่า 20 นัด สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านในละแวกดังกล่าว

ทั้งนี้ ชาวบ้าน เล่าว่า สารวัตรกานต์มีภาวะทางจิต ขาดราชการหลายวัน โดยมักจะเห็นเขาถือโทรศัพท์ ใส่หูฟังพูดคนเดียว และตะโกนด่าทอไปเรื่อย บางวันจะใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า สร้างความหวาดผวาให้เพื่อนบ้านไปทั่ว

ต่อมา เวลาเวลาประมาณ 16.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้บังคับบัญชา ได้เข้าเจรจากับสารวัตรกานต์ โดยขยายแนวกั้นพื้นที่ เพื่อกันสื่อมวลชนให้ออกห่างจากรัศมีจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร หลังจากนั้น ได้ให้ตำรวจเร่งพาตัวผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งอยู่บ้านติดกัน ออกจากจุดเกิดเหตุ

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้พาลูกชายของสารวัตรกานต์ เข้าเจรจา เกลี้ยกล่อม เพื่อให้วางอาวุธปืน และมอบตัว แต่การเจรจาไม่เป็นผล ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ "บิ๊กต่อ" รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง พร้อมสั่งห้ามใช้ความรุนแรง เพราะสารวัตรกานต์ป่วยทางจิต ต้องบำบัด

ต่อมา ได้เกิดเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องกว่า 10 นัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตะโกนออกมาบอกว่า "ผู้ก่อเหตุได้ยิงตอบโต้" ทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตากลับไปทันที แต่ปรากฎว่า แก๊สน้ำตาไม่สามารถทำอะไรสารวัตรกานต์ได้

หลังจากนั้น เวลาประมาณ 20.30 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษคอมมานโดร่วม 10 นาย เดินทางมาพร้อมอุปกรณ์และอาวุธพิเศษ เพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยเจ้าหน้าที่แต่ละนายมีกล้องไนท์วิชั่นติดที่หมวก เพื่อใช้ปฏิบัติภารกิจในที่มืด

อีก 1 ชม.ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ต่อสายให้มารดาสารวัตรกานต์ เข้ามาพูดคุยอีกครั้ง โดยบอกว่า ทุกคนเป็นห่วง เเละกำลังจะรีบเดินทางมาหา แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะคุยด้วย พร้อมตะโกนออกมาว่า "อยากตาย" ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประสานทีมจิตแพทย์เข้ามาช่วยพูดคุยเกลี้ยกล่อมอีกทางหนึ่ง

ขณะที่บิ๊กต่อ เน้นย้ำ ไม่ใช้ความรุนแรงในการควบคุม เพราะสารวัตรกานต์ไม่เข้าข่ายเป็นภัยกับคนอื่น ยังให้ใช้การเจรจาเป็นหลัก โดยแพทย์จิตเวช ระบุว่า ผู้ป่วยจิตเวชจะไม่รู้สึกอะไร แม้จะโดนแก๊สน้ำตา

หลังล่วงเข้าวันใหม่ 15 มี.ค. เวลาประมาณ 02.00 น. ตำรวจอรินทราช พร้อมคอมมานโด ได้เข้าปิดล้อมบ้านพักสารวัตรกานต์ พร้อมระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปภายในบ้านกว่า 20 ลูก แต่สารวัตรกานต์ยังไม่ยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่

กระทั่งช่วงเช้า เวลา 06.00 น. หลังเวลาผ่านไปนานกว่า 21 ชม. ตำรวจเริ่มรุกหนัก หลังเจรจาไม่เป็นผล จึงปีนบ้านพร้อมบอกให้สารวัตรกานต์วางอาวุธ จากนั้น ได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอีกเป็นระยะ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตะโกนให้คนที่อยู่ภายในบ้านวางอาวุธ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด

ต่อมา เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพื่อวางแผนกันใหม่ ขณะเดียวกันก็ยังมีการใช้โทรโข่งเจรจากับสารวัตรกานต์เป็นระยะ

ต่อมา 11.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่เข้าติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเอง ก่อนเผยว่า ได้พูดคุยกับสารวัตรกิตติกานต์แล้ว แต่คุยไม่รู้เรื่อง เพราะยังมีภาวะเครียดและหวาดระแวงอันตราย จากนั้น ผบ.ตร. เดินทางกลับ

12.10 น. ชุดปฏิบัติการยกระดับ หลังเจราจาไม่เป็นผล โดยยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เข้าบ้านสารวัตรกานต์อย่างต่อเนื่องรวม 3 ชุด นานประมาณ 10 นาที

12.25 น. รถพยาบาลนำผู้บาดเจ็บส่ง รพ.ภูมิพลฯ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ผู้บาดเจ็บคือ สารวัตรกิตติกานต์

12.35 อรินทราช ถอนกำลังเข้าที่ตั้ง วางอาวุธ ทยอยเคลื่อนกำลังออกจากพิ้นที่ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้งภายนอกและภายในบ้านสารวัตรกานต์

ด้าน พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เผยในเวลาต่อมาว่า สารวัตรกานต์ถูกเจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการยิงระงับเหตุได้รับบาดเจ็บสาหัส แพทย์ รพ.ภูมิพลฯ กำลังวินิจฉัย ยังไม่ทราบรายละเอียดถึงอาการบาดเจ็บ ขณะนี้ยังไม่สามารถให้การได้ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะไม่ได้นอนพักผ่อน และไม่ได้รับประทานอาหารถึง 2 วัน

พล.ต.ต.อรรถพล เผยด้วยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุของตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เบื้องต้น พบอาวุธปืนลูกโม่ 1 กระบอกของผู้ก่อเหตุตกอยู่บริเวณหลังบ้าน ส่วนเครื่องกระสุนยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีอยู่ในบ้านจำนวนเท่าไหร่ รวมถึงอาวุธชนิดอื่นๆ ด้วย แต่จากข้อมูลพบว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ จนถึงเวลาที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ผู้ก่อเหตุยิงปืนออกมาประมาณ 60 นัด พร้อมกับยังไม่ได้ตรวจสอบสารเสพติดภายในบ้าน แต่กำชับกับทีมแพทย์แล้วว่า ให้ตรวจเลือดเพื่อหาสารเสพติดด้วย

ส่วนเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ตัดสินใจเข้าจู่โจมเพื่อควบคุมตัวผู้ก่อเหตุนั้น พล.ต.ต.อรรถพล เผยว่า เป็นการประเมินของผู้บัญชาการจากหลายส่วน ประกอบกับเมื่อคืนนี้ กรมสุขภาพจิตส่งแพทย์มาร่วมประเมินสภาวะจิตใจของผู้ก่อเหตุ และมีความเห็นว่าผู้ก่อเหตุมีสภาพจิตเบี่ยงเบน การตอบสนองไม่ตรง ถามอย่างตอบอย่าง สมควรได้รับการรักษาโดยเร็ว ซึ่งแพทย์เห็นว่าการที่จะใช้การพูดคุย เพื่อให้ยอมมอบตัวนั้น ไม่น่าจะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนเวลาที่เลือกใช้เข้าจู่โจมนั้น ก็เป็นเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม เพราะผู้ก่อเหตุมีอาการผ่อนคลายลง หลังได้พูดคุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า สารวัตรกานต์เสียชีวิตลงในเวลา 21.56 น. วันที่ 15 มี.ค. กระทั่งช่วงบ่ายวันต่อมา (16 มี.ค.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้ร่วมกับตำรวจ สน.สายไหม ตรวจสอบผลการชันสูตรศพสารวัตรกานต์ ก่อนเผยว่า ผลการตรวจหาสารเสพติดในเลือดผู้ตาย เบื้องต้นพบสารเสพติดกลุ่มกัญชาในร่างกาย โดยต้องรอผลการตรวจอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจน คาดว่าอีก 3 วันจึงจะทราบผล

เบื้องต้นแพทย์รายงานสาเหตุการเสียชีวิตว่า มาจากการเสียเลือด แต่ไม่พบกระสุนตกค้างในร่างกาย เนื่องจากกระสุนทะลุออกจากร่างทั้งหมด มีบาดแผลรอยถากตามร่างกาย แต่จุดที่กระสุนเข้าหลักๆ เป็นร่างกายช่วงหน้าอกลงไป มีกระสุนทะลุปอดและมีอาการตกเลือดในช่องท้อง ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้หวังเอาชีวิต แต่เนื่องจากขณะเจ้าหน้าที่พยายามบุกเข้าคุมตัวโดยใช้กระสุนยางและปืนไฟฟ้า สารวัตรกานต์ได้ยิงปืนตอบโต้ ทำให้ตำรวจอีกชุดหนึ่งที่ใช้กระสุนจริงยิงตอบโต้ จนสารวัตรกานต์กระโดดจากหน้าต่างชั้น 2 ร่วงลงมาข้างล่าง ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย โดยเจ้าหน้าที่พยายามเจรจาทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่สามารถเจรจาได้ จนแพทย์จิตเวชเจรจาและประเมินแล้วพบว่า เกินเยียวยา จึงจำเป็นต้องบุกเข้าชาร์จดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม พี่ชายของผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้กำกับการอยู่ สภ.แห่งหนึ่ง ติดใจในสาเหตุการตายของน้องชายว่า เกิดจากการทำร้ายร่างกายหรือไม่

5. อัยการแยกฟ้องใหม่ ส่งฟ้อง 4 จำเลยที่เหลือ หลัง "ปอ-โรเบิร์ต" สารภาพ ด้านศาลนัดสอบคำให้การ 4 จำเลย จะปฏิเสธหรือสารภาพ 28 เม.ย.นี้!



เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่สำนักงานอัยการ จังหวัดนนทบุรี น.ส. สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรืออัยการดาว เผยความคืบหน้ากรณีศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยคดีการเสียชีวิตของ "แตงโม" ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ อีก 4 คน หลังจากนายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ ปอ และนายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต กลับคำให้การจากที่เคยปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ จึงให้แยกฟ้องจำเลยที่เหลืออีก 4 คน คือ นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน, นายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร หรือจ๊อบ, น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก และนายภีม ธรรมธีรศรี หรือเอ็ม ภายในกำหนดวันที่ 17 มี.ค.

โดย น.ส.สุภาภรณ์ เผยว่า ได้ดำเนินการแยกฟ้องจำเลยทั้งสี่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มี.ค. และว่า เมื่อมีการแยกฟ้อง การพิจารณาคดีจะแยกเป็น 2 ส่วน ในส่วนคดีเดิมที่มีเลขคดีดำเดิมอยู่แล้ว ศาลก็จะพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งก็จะเป็นขั้นตอนดุลพินิจว่า ศาลจะตัดสินวินิจฉัยไปในทางไหน ซึ่งในส่วนนั้น ศาลจะมีการนัดฟังคำพิพากษาเดิม คือเดือน พ.ค. (10 พ.ค.) ตามที่ได้ทราบกันแล้ว

ส่วนคดีใหม่ในส่วนจำเลยที่ให้การปฏิเสธ 4 คน ณ ตอนนี้ ยังไม่มีจำเลยที่ให้การรับสารภาพเพิ่ม เพราะฉะนั้นการดำเนินขบวนพิจารณา ก็จะเข้าสู่วิธีการนัดพร้อม นัดพร้อมเพื่อสอบถามความพร้อม สอบถามว่าจำเลยทั้ง 4 จะยืนยันคำให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพอีกครั้ง ศาลจะถามในวันนัดก็คือ ในวันที่ 28 เม.ย. อีกครั้งหนึ่งว่าจะให้การอย่างไร

อัยการดาว เผยด้วยว่า เมื่อสอบถามวันนัดแล้ว จะมีการนัดตรวจพยานและนัดสืบพยานในส่วนของจำเลยที่ปฏิเสธอีกครั้ง ในระหว่างพิจารณา จำเลยสามารถรับสารภาพก็ได้ เมื่อมีการรับสารภาพ ศาลก็จะมีดุลพินิจในแต่ละส่วนแยกออกไป เพื่อไม่ให้สำนวนล้าช้าพ่วงกัน เพราะในส่วนของจำเลยที่รับสารภาพ ตามหลัก เขาก็พร้อมที่จะรับฟังผลของคำพิพากษาของศาล ส่วนศาลจะตัดสินอย่างไร เขาจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกา อยู่ที่จำเลย ถ้าเขาพอใจในคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ลงโทษจำคุกหรือไม่ หรือรอการลงโทษหรือไม่ ถ้าจำเลยพอใจ จำเลยก็อาจจะไม่อุทธรณ์ แต่ถ้าจำเลยไม่พอใจในคำพิพากษา แล้วกฎหมายไม่ได้ต้องห้ามอุทธรณ์ เขาก็มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา


กำลังโหลดความคิดเห็น